ปีที่ 2 ฉบับที่ 835 ประจำวันอังคารที่ 26 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2542

วิวาทะ

พระยังเติร์กสานใจกับคฤหัสถ์ใจเร็ว ปุจฉาคนหนุ่มจึงมีปัญญาจริงหรือ?

ความพยายามออกกฎหมายฆราวาสหัวดำปกครองสงฆ์ ของคณะกรรมาธิการศาสนาฯ ภายใต้แรงผลักดันของกระทรวงศึกษาธิการ ภาพการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด มาจากปัญหา กรณีวัดพระธรรมกาย

สะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการที่มืดบอด

และยังสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เอาไหนของเจ้าหน้าทีที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่หัวยันหางทีเดียว

เรื่องของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะสถาบันสงฆ์เป็นเรื่องละเอียดอ่อนเกินกว่าที่สติปัญญาของนักการเมือง กระโหลกหนาปัญญานิ่มจะสัมผัสได้

ปัญหาวัดพระธรรมกาย สมควรที่จะยุติลงไปได้นานแล้ว

เปล่า!

อย่าเพิ่งเข้าใจผิด อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่า การตัดสินของคณะปกครองสงฆ์ ที่วินิจฉัยออกมา หรือมีมติออกมาเป็นเรื่องที่ไร้สาระ เปล่าประโยชน์ พูดว่างานๆ นี้

"ตัดสินเหมือนไม่ได้ตัดสิน"

อันที่จริงมติมหาเถรสมาคม ที่ให้วัดพระธรรมกาย และพระราชภาวนาวิสุทธิ์ เร่งรีบดำเนินการ 4 ข้อ ทางธรรมกายเองก็พร้อม และยินดีปฏิบัติ

ใครจะมองว่าไม่ใช่บทลงโทษ

แต่สำหรับผมมองว่า มติทั้ง 4 ข้อ ของ มส. ที่ออกไปนั้น ถือเป็นการเตือนสติธรรมกาย ให้สำรวมในเรื่องต่างๆ และดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา ด้วยความระมัดระวัง ให้มากขึ้น

วัดใหญ่วัดโตอย่างธรรมกาย ผมเห็นว่า เป็นเรื่องที่เสียหน้ามากแล้ว

ยังไม่ทันที่มติดังกล่าวจะผลิดอกออกผล คนรักพระพุทธศาสนา แต่ใจร้อนหลายคน ออกมาปฏิเสธ ร้องลั่นว่า … รับไม่ได้ครับ รับไม่ได้ค่ะ

เรื่องที่ควรจะจบด้วยคณะปกครองสงฆ์ ก็เลยไม่จบกันเสียที

เมื่อการตัดสินของมส. ออกมาไม่เป็นที่พอใจของคนใจร้อน และพวกรักพระพุทธศาสนาปนกัน

ผู้ที่เสียหน้ามากกว่าวัดพระธรรมกาย ก็คือสื่อมวลชน ที่เสนอข่าวหวังผลไปแล้ว พิพากษาไปแล้ว พูดให้ชัดลงไปก็คือ "แพ้ไม่ได้"

เมื่อความเห็นที่ว่า แพ้ไม่ได้ดังขึ้น การรบราฆ่าฟันคาดหวังถล่มวัดแห่งนี้ หรือเจ้าสำนักแห่งนี้ให้ตายคามือ จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงมิได้

เมื่อระบบกฎกติกาของสังคม หรือกฎหมาย พระธรรมวินัยที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่อาจเป็นเครื่องไม้เครื่องมือให้ทุกอย่างสำเร็จตามประสงค์ จึงเกิดกระแสเรียกร้อง และจ้องจับผิด ตามมาอีก คำรบด้วยข้ออ้างดังนี้

คณะปกครองสงฆ์หย่อนยาน 1

กฎมหาเถรสมาคมเก่าล้าสมัย 2

มีแต่พระแก่ๆ ปกครองเต็มมส. 3

ต้องออกกฎหมายหัวดำคุมเข้มพระ 4

และต้องนำพระยังเติร์กวัยจ๊าบ ที่เห็ฯขี้หน้าพระเถระสายเก่ามาทำหน้าที่ปกครองแทน 5

…..ฯลฯ….

เพื่อนสื่อมวลชนที่รัก และพระยังเติร์กทั้งหลายพิจารณาเรื่องความแก่เป็นของธรรมดา เข้าใจบทบาทของไตรลักษณ์เพียงใด โดยเฉพาะเรื่องของ "สติ"

ปุจฉาที่ว่า ..คนหนุ่มจึงมีปัญญาจริงหรือ?

สมัยพุทธกาล สมณพราหมณ์บางพวกกล่าวว่า คนยังหนุ่มอยู่ในวัยปฐมวัย จึงประกอบด้วยความเป็นผู้เฉลียวฉลาดด้วยปัญญา เมื่ออายุถึง 80, 90, 100 ก็เสื่อมจากความ เป็น ผู้เฉลียวฉลาดด้วยปัญญานั้น ซึ่งไม่พึงเห็นเช่นนั้น เพราะพระองค์เองมีพระชนมายุ 80 ดำเนิน พระสาวก 4 รูป มีอายุถึง 100 ปีก็ยังประกอบด้วย สติ คติ และความทรงจำ อันยอดเยี่ยม ประกอบด้วยความเป็นผู้เฉลียวฉลาดด้วยปัญญาอันยอดเยี่ยม

สาวกเหล่านั้น ทูลถามปัญหาเกี่ยวกับสติปัฏฐาน (การตั้งสติ) 4 ก็ทรงตอบไปว่า เธอก็ทรงจำไว้ได้ ไม่ต้องถามเป็นครั้งที่สอง่ การแสดงธรรม การแยกบทแห่งธรรม การตอบปัญหา ของ ตถาคตไม่มีที่สิ้นสุด (คือดำเนินไปได้ติดต่อกัน) เว้นไว้แต่กิน ดื่ม หรือถ่ายอุจจาระปัสสาวะ เป็นต้น

สาวกทั้ง 4 รูปนั้น ผู้มีอายุ 100 ปี ก็จะทำกาละเมื่อล่วง 100 ปี แม้ท่านทั้งหลายจะหามตถาคตไปด้วยเตียง ความแปรเป็นอย่างอื่นแห่งความเป็นผู้เฉลียวฉลาดด้วยปัญญา ย่อมไม่มีเลยแก่ตถาคต

พระนาคสมายละถวายงานพัดอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์ กราบทูลว่า ท่านสดับธรรมบรรยายนี้แล้วเกิดขนลุก ควรจะเรียกธรรมปริยายนี้ว่ากระไร พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า ควรเรียก ได้ว่า โลมหังสนปริยาย (เรื่องที่ทำให้ขนลุก)

จากมหาสีหนาทสูตร ซึ่งถือว่าเป็นการเปล่งพระวาจาที่อาจหาญยิ่ง

คำก็แก่ สองคำก็แก่…

อย่ามองอะไรเป็นเรื่องหยาบเสมอไป พระสงฆ์ปกครองด้วยพระธรรมวินัย ไม่ใช่หนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชน ที่สำคัญจะปกครองด้วยฆราวาส หรือไอ้ทิดหน้าแหลม ใจแตกหยาบช้า ตัวไหน

ผมอยากรู้นักว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ พระพรหมโมลี พระธรรมราชานุวัตร ฯลฯ กับพระธรรมปิฎก ใครเจ๋งกว่ากัน

ไม่ใช่เรื่องหมัด ศอก เข่า นะครับ หากแต่เป็นเรื่องของศีล ทาน บารมี และเมตตาธรรมค้ำชู ชี้แนะ เพื่อร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย โดยเฉพาะผู้ที่ยึดมั่นในพระรัตนตรัย แสวงหา พระนิพพาน เป็นอารมณ์เหมือนๆ กัน

ใครเจ๋งกว่ากันขอรับพระคุณเจ้า

โซตัส


[หน้าหลัก][หน้า1][สหัสวรรษ][วิวาทะ][ปุจฉา]