ปีที่ 2 ฉบับที่ 841 ประจำวันจันทร์ที่ 1 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2542 |
พระสุเมธาภรณ์ จวกสื่อนั่งเทียน
เจ้าคณะปทุมธานี
ระบุสื่อมวลชนน่ากลัว
ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
บางครั้งเขียนข่าวกันไปเอง
โดยที่ไม่ได้พูดซักคำ
ยันข่าวพระพรหมโมลีบีบ
มุสาทั้งสิ้น ต่อไปจะงดให้ข่าว
แล้ว เผยวันนี้ จะให้คำตอบว่า
จะเรียกพระธัมมชโย
และพระทัตตชีโว ไปฟังข้อกล่าวหา
ย้ำกฎนิคหกรรมต้องเดินหน้าต่อ
เพราะเป็นมติมส.
พระพรหมโมลีรูปเดียวจะค้านไม่ได้
พระสุเมธาภรณ์
เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี
เปิดเผยว่า สมเด็จพระธีราจารย์
เจ้าคณะใหญ่หนกลาง
กำชับให้ผู้พิจารณาชั้นต้น
ดำเนินการตามหน้าที่
ตามที่มติมหาเถรสมาคม
มีมติชัดเจน ว่า
ฆราวาสกล่าวโทษพระสงฆ์ได้
ก็หมายความว่า
สามารถเรียกพระธัมมชโยและพระทัตตชีโว
มารับทราบข้อกล่าวหาได้
การที่พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1
จะให้ชะลอ การเรียก
ให้รับข้อกล่าวหานั้น
จะไม่มีผลต่อการตัดสินของผู้พิจารณาชั้นต้น
เพียงแต่รายงานแจ้งให้พระพรหมโมลีในฐานะผู้บังคับบัญชาทราบเท่านั้น
และในวันนี้ (1พ.ย.)
อาตมาจะให้คำตอบว่า
เรียกพระธัมมชโย
และพระทัตตชีโวมารับทราบข้อกล่าวหาเมื่อใด
ด้าน นายไพบูลย์ เสียงก้อง
อธิบดีกรมการศาสนา
กล่าวถึงข่าวที่ระบุว่า
พระพรหมโมลี
ได้ท้วงติงไปที่เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีว่า
กระบวนการกฎนิคหกรรม
กรณีพระธัมมชโย สิ้นสุด แล้วว่า
วันนี้ (1พ.ย.)
จะให้เจ้าหน้าที่กรมการศาสนา
ไปสอบถามข้อเท็จจริง
จากพระพรหมโมลีว่า เป็นอย่างไร
เพราะมติมหาเถรสมาคมบอกชัดเจนว่า
การดำเนินการครั้งที่ผ่านมา
ไม่สอดคล้องกับกฎนิคหกรรม
ให้เริ่มดำเนินการใหม่
และมิตดังกล่าวที่ประชุมมหาเถรสมาคมเมื่อวันที่
29 ตุลาคม ได้รับรองมติไปแล้ว
พระสุเมธาภรณ์ สามารถเรียก
พระธัมมชโย และพระทัตตชีโว
ไม่รับทราบข้อกล่าวได้เลย
นายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์
รองอธิบดีกรมการศาสนา กล่าวว่า
เรื่องดังกล่าวอาจเกิดความเข้าใจผิดกันขึ้น
ดังนั้น วันนี้ (1พ.ย.)
จะให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายนิติกร
ไปนมัสการเจ้าคณะ จังหวัด
ปทุมธานี
เพื่อถวายคำชี้แจงขั้นตอนการปฏิบัติต่างๆ
ซึ่งตามอำนาจหน้าที่ขั้นนี้
พระสุเมธาภรณ์ตัดสินใจได้เต็มที่ในการเรียกพระธัมมชโย
และพระทัตตชีโว ไปรับทราบข้อ
กล่าวหา
โดยไม่ต้องหารือพระพรหมโมลี
แม้ว่าจะเป็นพระผู้ปกครองตามสายบังคับบัญชา
แต่ต้องปฏิบัติตามมติมหาเถรสมาคม
ซึ่งถือเป็นคำสั่งสูงสุดกว่าคำบัญชาของพระผู้ปกครอง
ผู้สื่อข่าวถามว่า
หากพระพรหมโมลี
ยังยืนยันความเห็นเดิม
การดำเนินการตามกฎนิคหกรรม
จะไปได้หรือไม่
และควรจะเปลี่ยนคณะผู้พิจารณาหรือไม่
รองอธิบดีกรมการศาสนา กล่าวว่า
ตามกฎนิคหกรรมเขียนไว้ตายตัวว่า
คณะผู้พิจารณาประกอบด้วย
เจ้าคณะภาค 1 รองเจ้าคณะภาค 1
และเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี
ถ้าจะเปลี่ยนต้องเปลี่ยนที่ตัวบุคคล
ซึ่งเป็น
การพิจารณาของเจ้าคณะใหญ่หนกลาง
กรมการศาสนาไปเสนอไม่ได้
ด้านอาการของพระธัมมชโย
ซึ่งเข้าพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเกษมราษฎร์
เป็นเวลา 20 วันแล้ว นพ.พรชัย
พิญญพงษ์
แทพย์ประจำมูลนิธิธรรมกาย
กล่าวว่า อาการของพระธัมมชโย
ดีขึ้น เรื่อยๆ แต่ยังมีอาการไอ
และมีเสมหะปนเลือดออกมาเล็กน้อย
และยังคงปฏิบัติธรรมอยู่เช่นปกติ
น้ำหนักตัวลดลง 4 กิโลกรัม
แพทย์ของโรงพยาบาลเกษมราษฎร์
ต้องการตรวจสอบปอดว่า
เป็นปกติหรือยัง
จึงให้พักอยู่ต่ออีก 4-5 วัน
อาการเป็นปกติ ร่างกายสมบูรณ์
แล้วจะให้กลับวัดพระธรรมกายได้
ส่วนที่มีข่าวว่า
พระธัมมชโยในวันที่เดินทางไปรับข้อหาที่กองปราบปราม
เป็นตัวปลอมนั้น นพ.พรชัย
กล่าวยืนยันว่า
พระธัมมชโยที่ไปวันนั้น
เป็นตัวจริง ล้านเปอร์เซ็นต์
นายจรวย หนูคง
ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
กล่าวถึงข่าวพระสุเมธาภรณ์
เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี
ระบุว่าพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1
ท้วงติงว่า การดำเนินตาม
กฎนิคหกรรมกรณีพระธัมมชโย
สิ้นสุดแล้วว่า
ต้องสอบถามเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีให้ยืนยันว่า
มีการทักท้วงจากเจ้าคณะภาค 1
จริงหรือไม่
ทั้งด้วยวาจาหรือลายลักษณ์อักษร
ถ้าเป็น จริงถือว่า
ขัดมติมหาเถรสมาคม
ที่บอกให้เริ่มดำเนินการใหม่
เนื่องจากที่ผ่านมา
ทำไม่ถูกต้อง และนายไพบูลย์
เสียงก้อง อธิบดีกรมการศาสนา
ต้องนำเข้ามหาเถรสมาคมด้วย
เพื่อหา แนวทางแก้ไข
จะมาเล่นแง่เปลี่ยนแปลงอีกทำไม่ได้
เพราะที่ประชุมวันนั้น
มีผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายอย่าง
นายมีชัย ฤชุพันธุ์
ประธานวุฒิสภา เข้าให้ความเห็น
และพระพรหมโมลีก็เป็น กรรมการ
มหาเถรสมาคม
นั่งฟังอยู่ด้วยตั้ง 4 ชั่วโมง
ถ้ายังไม่เข้าใจอีก
ก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว
แม้ว่าท่านจะพูดในที่ประชุมยืนยันว่า
เรื่องจบแล้ว แต่ที่ประชุมทุกคน
ไม่เอาตามท่านโดยบอกว่า
ที่ทำมานั้นไม่ถูก
ให้ทำเสียใหม่ แม้ว่า
อำนาจตามกฎนิคหกรรมจะอยู่ที่พระพรหมโมลีก็จริง
แต่ผู้ตัดสินว่า ถูกหรือผิด
คือที่ประชุมมหาเถรสมาคม
นายจรวย กล่าวด้วยว่า
ตามกฎนิคหกรรมแล้ว
การที่พระพรหมโมลี
จะมาทักท้วงในขั้นตอนนี้
ถือว่าไม่ถูกต้อง
ยังไม่ถึงหน้าที่
เพราะต้องรอให้เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี
รายงานการมา
รับฟังข้อกล่าวหาของพระธัมมชโยและพระทัตตชีโว
เจ้าอาวาสและรองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายก่อน
แล้วจะทักท้วงในขั้นตอนที่เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีรายงานให้แล้ว
แต่อย่าเพิ่ง มา ทักท้วงในตอนนี้
ด้านพระสุเมธาภรณ์
เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี
กล่าวว่า
ไม่เป็นความจริงตามข่าวที่ว่า
พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1
ได้ท้วงติงว่า
ไม่สามารถดำเนินการกฎนิคหกรรมกับพระธัมมชโย
ได้
เพราะอาตมาต้องดำเนินการตามหนังสือ
ที่กรมการศาสนา ส่งมาให้โดยเร็ว
และยังไม่ได้รับการทักท้วงจากพระพรหมโมลี
ทั้งด้วยวาจาหรือลายลักษณ์อักษร
ขณะนี้ก็ไม่มีใครมา
กดดันทั้งสิ้น
แต่วันที่จะนัดพระธัมมชโยและพระทัตตชีโว
เจ้าอาวาสและรองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
มารับฟังข้อกล่าวหา
ยังระบุไม่ได้แน่นอน
ที่บอกว่าวันที่ 10 พฤศจิกายนนั้น
เป็นวันที่อาตมาว่างรูปเดียว
แต่คนอื่นๆ
จะว่างหรือไม่ยังไม่รู้
รวมทั้งต้องหารือผู้ใหญ่ให้รอบคอบก่อนเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้นอีก
"ข่าวชอบลงทำให้เขาทะเลาะกัน
ไม่ได้พูดกันด้วยซ้ำ
สื่อมวลชนน่ากลัว
ทำให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่
ต่อไปนี้ว่าจะไม่ให้ข่าวกับใครทั้งนั้น
ยังไม่ได้มีหนังสือหรืออะไร
เห็นแต่หนังสือ ของกรมการศาสนา
ที่ไปถวายทุกแห่ง ทั้ง
เจ้าคณะภาค 1 เจ้าคณะใหญ่หนกลาง
ตอนนี้ก็กำลังรอๆ อยู่ว่า
จะเอายังไงดี
จริงอยู่ที่เป็นอำนาจของหลวงพ่อ
ในการเรียกให้มารับข้อกล่าวหา
แต่ก็มีความจำเป็น
ที่เรามีผู้ใหญ่ที่ต้องหารือกันบ้าง
เดี๋ยวทำไปแล้วไม่เหมาะสม
การรีบร้อนพลาดพลั้งไปจะลำบาก
เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน
ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
แต่ที่ถามผู้ใหญ่ ไม่ใช่
เรื่องของมติมหาเถรฯ
เพราะมติชัดเจนแล้ว
ให้ทำโดยเร็ว
แต่ถามในรายละเอียดของขั้นตอน"
พระสุเมธาภรณ์ กล่าว
พระสุเมธาภรณ์ กล่าวด้วยว่า
ตั้งใจจะเรียก
พระธัมมชโยและพระทัตตชีโว
มารับฟังข้อกล่าวหาตามกฎนิคหกรรมใหม่
ที่มหาเถรสมาคม ได้ระบุว่า
ฆราวาสกล่าวหาพระสงฆ์ได้ 1-2 ครั้ง
ไม่นับรวมครั้งที่เคยเรียกมาครั้งหนึ่งแล้วไม่มา
แต่ได้ทำหนังสือทัดทาน
กฎนิคหกรรมแทน
เมื่อได้คำตอบแน่นอนว่า
ปฏิเสธหรือรับข้อกล่าวหา
จะได้ทำหนังสือ รายงาน
พระพรหมโมลี ต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานถึงบรรยากาศวัดพระธรรมกายวันเดียวกันนี้
ปรากฏว่า
ยังมีผู้เดินทางไปปฏิบัติธรรมตามปกติ
พระทัตตชีโวแสดงธรรมโปรดกัลยาณมิตรในช่วงบ่าย
โดยหยิบยก พระมหาชนกมาเทศน์
มีความตอนหนึ่งว่า
พระมหาชนกเสด็จประพาสป่า
พบต้นมะม่วง 2 ต้น
ที่มีความต่างกัน
ต้นหนึ่งมีใบเขียวชะอุ่มไร้ดอกผล
ส่วนอีกต้นหนึ่งออกดอกออกผลเต็มต้น
พระมหาชนกทรงเสวยมะม่วง 1 ผล
มีรสชาติอร่อยมาก
และตั้งพระทัยว่า
จะกลับมาเสวยอีก
เมื่อกลับมาก็ทอดพระเนตรเห็นข้าราชบริพารพากันปีนป่ายต้นมะม่วง
เพื่อกินผล จนทำให้
ต้นมะม่วงต้นนั้น หักโค่นลง
พระมหาชนกทรงนึกถึงสัจธรรมที่ว่า
มะม่วงต้นที่มีผล
เปรียบเสมือนผู้ที่มีสมบัติมาก
มีลาภ ยศ สมบัติ
ไม่เป็นไปเพื่อสันโดษ
ส่วนต้นที่มีแต่ใบไม่มีใครมาแก่งแย่ง
จึงเป็นสาเหตุ ให้
ทรงออกผนวชนั่นเอง