ปีที่ 2 ฉบับที่ 861 ประจำวันอาทิตย์ที่ 21 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2542 |
พระภิกษุสงฆ์ต้องหนักแน่นและเชื่อมั่นในพระธรรมวินัย
ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ครั้งแล้วครั้งเล่า ความขัดแย้งทางความเห็นในสถาบันสงฆ์ ปรากฏชัดขึ้นทุกขระ คณะสงฆ์แสดงความเห็นแย้งกัน
แม้จะยึดถึงพระธรรมวินัย
ที่พระบรม
ศาสดาทรงประทานไว้ให้เป็นตัวแทนของพระองค์
ทว่าความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในแผ่นดินไทย ซึ่งถือเป็นแดนพุทธจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก สถานบันสงฆ์กลับไม่ได้นำพระธรรมวินัยมาเป็นข้อยุติ
เป็นเรื่องที่ต้องนำมาขบคิดว่า เกิดอะไรขึ้นในบวรพระพุทธศาสนาของเราชาวพุทธ
ที่นับวันจะมีวิวัฒนาการแอบอิง โน้มเอียงไปตามกระแสชาวโลกสามัญชน
พระภิกษุสงฆ์แทนที่จะใช้เมตตาธรรม เป็นเครื่องลดละกิเลสทั้งหลายทั้งปวง มองเห็นความเดือนร้อนตกทุกข์ได้ยากของสัตว์โลก
พระท่านเน้นย้ำมาตลอดว่า พระสงฆ์ต้องยุติปัญหาด้วยพระธรรมวินัย
แต่ภาพการณ์กลับปรากฏว่า กระแสและหรือความเห็นของสามัญชน หรือฆราวาสกลับมาน้ำหนักเข้าไปชี้แนะ ชี้นำ ยุ่มย่าม พระเถระมาโดยตลอด ผิดบ้าง ถูกบ้าง
ผมไม่ได้มองเป็นเรื่องชั่วช่างชี ดีช่างพระ
เพราะพุทธศาสนาจะบริสุทธิ์งดงาม และสืบทอดต่ออายุไปชั่วลูกหลาน ตราบชีวิตหาไม่แล้ว ย่อมขึ้นอยู่กับพุทธบริษัท 4
สำคัญแต่เพียงว่า ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพุทธบริษัท มีเจตนาบริสุทธิ์
ไม่ใช่ออกมาเคลื่อนไหวยุยงให้หมู่สงฆ์เกิดความแตกแยก
หรือเพื่อหวังผลทางการเมือง ผลประโยชน์เข้าตัวแต่ถ่ายเดียว
เก็บเกี่ยวคะแนนกระสันอยากจะเป็นวุฒิสมาชิก
สองสามวันก่อน เห็นหน้า พ.อ.สิน อินทร์นรา มาในนามตัวแทนองค์กรพุทธ เข้ากราบนมัสการ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง
เพื่อให้กำลังใจเจ้าประคุณสมเด็จฯ กรณีถูกระเบิดข่มขู่ และชมเชยในความกล้าหาญของสมเด็จฯ ที่มีความกล้าเป็นอันดับสองรองจากสมเด็จพระสังฆราช
พ.อ.สิน อินทร์นรา เป็นเลขาองค์กรพุทธ เป็นประธานกรรมการองค์กรพุทธที่โด่งดัง
สรุปทั้งองค์กรมี พ.อ.สินคนเดียวควบคุมเบ็ดเสร็จ
พ.อ.สิน ให้กำลังใจสมเด็จพระมหาธีราจารย์ นัยว่าปมประเด็นระเบิดที่เกิดขึ้น เป็นฝีมือของศิษย์ธรรมกาย หรือกลุ่มผู้ชุมนุม ระบุว่า เจ้าประคุณสมเด็จไม่ต้องหวั่นเกรง
ธรรมกาย แม้จะมีพวก มาก ถึง 10 ล้านคน แต่ยังมีชาวพุทธอีกกว่า 50 ล้าน เป็นพวกท่าน
คำพูดของ พ.อ.สิน ผมไม่อยากจะคิดว่า เป็นการยั่วยุ แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ซึ่งไม่ใช่วิธีของชาวพุทธ ที่ดี พึงจะมีความเห็นแบ่งแยกเช่นนั้น
จะเอาวิธีการทหาร การรัฐประหาร สมัยที่ท่านเป็นกุนซือ เป็นที่ปรึกษาให้ พล.อ.ฉลาดมาใช้กับพระภิกษุสงฆ์ไม่ได้อย่างเด็ดขาด
เพราะรัฐประหารครั้งนั้น นำมาซึ่งการตายของ พล.อ.ฉลาด จบลงด้วยคำว่า "ขบฏ" ถูกตัดสินยิงเป้า ต้องศึกษาประวัติศาสตร์ เพื่อกำหนดอนาคต
จะรู้ว่า คนพุทธอย่าง พ.อ.สินเป็นคนอย่างไร?
การเข้าหมอบราบคาบแล้ว นมัสการสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ต้องกระทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ เป้าหมายสำคัญก็เพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา
ต้องเข้าใจธรรมะที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพูดว่า เรื่องธรรมกายไม่ใช่เรื่องที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไร เพราะฉะนั้น การพูดจาแบ่งพรรคพวกเป็นฝักฝ่าย
ไม่เกิดผลดีใดต่อ พระศาสนา แม้แต่น้อย
วันนี้ก่อนร่ำลา ผมมีความเห็นของชาวพุทธท่านหนึ่งแสดง ความวิตกกังวลต่อพระพุทธศาสนา พอสรุปความสำคัญได้ว่า
คณะสงฆ์ขาดอิสระในการพิจารณาอธิกรณ์ให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย
มีการแบ่งเป็นฝักฝ่าย ฝ่ายผู้กระทำ ประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งของฆราวาส ผู้มีอำนาจให้คุณให้โทษแก่ตน โดยสร้างกระแสข่าวให้เห็นว่า อีกฝ่ายมีความผิดจริง
สมควรต้องถูก ถอดถอน
จากตำแหน่ง ไม่ได้ให้ความสำคัญกับพระธรรมวินัย และแม้กฎกติกาตามนิคหกรรมที่ถูกต้องเที่ยงธรรม
มีแนวโน้มขยายตัวออกไปสู่การ "สังฆเภฑ"
วงการสงฆ์ของเราเคยเกิดภัยในสังฆมณฑลครั้งใหญ่มาแล้ว กรณี "พระพิมลธรรม" หรือศึกสมเด็จ สาเหตุมาจากความอิจฉาริษยา อาฆาตของพระเถระผู้ใหญ่นั่นแหละ
เราจะปล่อย
ให้ประวัติศาสตร์เลว ซ้ำร้ายซ้ำรอย ปล่อยให้พระศาสนาที่บอบช้ำอยู่แล้ว ต้องเสื่อมทรุด ถอยหลังไปอีกหลายก้าวหรือ???
ตลอดเวลาหลายสิบปีแห่งวิวัฒนาการของวัด และสำนักสงฆ์หลายแห่ง ที่มุ่งเน้นการปฏิบัติภาวนา จนเป็นที่พึ่งที่ศรัทธา ญาติโยมหันหน้าเข้าวัดเข้าวากันมาก ท่ามกลางภัยพิบัติ ที่เกิดจากผลพวงทางเศรษฐกิจ การเมือง บุคคลที่บริหารประเทศชาติ ไร้คุณธรรมมุ่งกอบโกยประโยชน์ใส่ตัวเอง เนื่องจากบุคคลเหล่านั้น ขาดคุณธรรม
พิษภัยจากโลกภายนอกเหล่านั้น เป็นอวิชชามืดบอด พระเดชพระคุณเจ้าทั้งหลายจะสามารถเอาชนะ อธรรม ที่กำลังรุกล้ำท่านได้หรือไม่ ความสั่นไหวที่เกิดขึ้นในคณะปกครองสงฆ์ กำลังวิบัติไปแล้ว
สมเด็จพระมหาธีราจารย์ เป็นผู้กำหนดชี้ชะตาของพระพุทธศาสนา ศึกครั้งใหญ่หลวงนัก ร้ายแรงกว่าศึกสมเด็จในอดีตเสียอีก หากมีการสั่งการผิดพลาด ภัยย่อมเกิดแก่สังฆมณฑล และพุทธศาสนาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
พุทธจักรจะเอนเอียดไปตามกระแสโลก ไม่ได้อย่างเด็ดขาด พุทธบริษัทต้องยอมเจ็บดีกว่ายอมให้หลักพระธรรมวินัยต้องเสียหาย
ผู้ทวนกระแสโลกทั้งหลาย จะถูกจ้องทำลายล้าง แม้แต่ชีวิตก็ใช่ว่าความเป็น "สัตบุรุษ" ของท่านจะตายไปด้วยก็หาไม่
ตรงข้ามผู้ที่แสดงตนเป็นสัตบุรุษ แต่ประพฤติอธรรม ไม่มีพรหมวิหารธรรม ย่อมนำความเสื่อมเสียมาสู่พระพุทธศาสนา และอาจสายเกินกว่า จะเยียวยาแก้ไข
สติจะกลับมาก็ต่อเมื่อ
ร่างกายถูกเผาผลาญด้วยไฟร้อน ไม่ต่างอะไรไปจากการเผาตัวตายนั่นเอง
ครับ ความเห็นข้างต้น ไม่เหลือบ่ากว่าแรง ไม่ใช่เรื่องที่เกินกว่าสติปัญญาของพระเถระ จะใช้ภูมิรู้ ภูมิธรรม ยุติปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเร็ว
โซตัส