บทเรียน
วงจรโครงข่ายไฟฟ้า
กระแส ไฟฟ้า
แรงดันไฟฟ้า
กำลังไฟฟ้า
พลังงานไฟฟ้า
กฎของโอห์ม
กฎกระแสของเคอร์ชอฟฟ์
กฎแรงดันของเคอร์ชอฟฟ์
วิธีเมชเคอร์เรนท์
วิธีโนดโวลเตจ
ทฤษฏีการวางซ้อน
ทฤษฏีเทวินิน
ทฤษฎีนอร์ตัน
ทฤษฏีการส่งผ่านกำลังไฟฟ้าสูงสุด
วิธีเมชเคอร์เรนท์ (Mesh Current Method)
วิธีเมชเคอร์เรนท์ 
               ในวงจรไฟฟ้าที่ข้อนข้างยุ่งยากสลับซับซ้อนนั้น ถ้านำกฎของเคอร์ซอฟฟ์
มาใช้แล้วจะทำให้การตั้งสมการเพื่อหาค่าของตัวแปรนั้นอาจทำได้ยุ่งยากสับสนและ เสียเวลามาก จึงได้มีผู้คิดค้นหาวิธีการต่างๆเพื่อที่จะนำมาใช้ในการแก้ปัญหาโจทย์
ให้ได้รวดเร็วกว่าดังจะเห็นว่ามีนักฟิสิกส์ชาวอังกฤษชื่อว่า เจมส์คลาด แมกเวลล์ ได้
คิดค้นหาวิธีการแก้ปัญหาโจทย์เกี่ยวกับวงจรไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นโดยการสมมติ
ให้กระแสไฟฟ้าใหลวนอยู่ในวงจรปิดซึ่งแบ่งแยกออกเป็นวงจรย่อยๆและถือว่ากระแส
ไฟฟ้าที่ไหลวนอยู่ในวงจรปิดต่างๆ แตกแยกกันเป็นอิสระต่อกันส่วนการกำหนดทิศทาง
ของกระแสไฟฟ้าที่ไหลในแต่ละวงจรจะให้ไหลไปทางไหนก็ได้ วิธีเมชเคอร์เรนท์ เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาโจทย์ในวงจรไฟฟ้าที่ใช้กฎของ เคอร์ซอฟฟ์ข้อที่2 ที่ว่า “ผลบวกทางพีชคณิตของแรงดันไฟฟ้าในวงจรปิดหนึ่ง ๆ มีค่า
เป็น 0 หรือ ผลบวกทางพีชคณิตของแรงดันไฟฟ้าที่ตกคร่อมส่วนต่าง ๆ ของวงจร
ปิดหนึ่ง ๆ มีค่าเท่ากับผลบวกทางพีชคณิตของแรงดันไฟฟ้าที่แหล่งจ่ายไฟฟ้าให้กับ
วงจรปิดนั้น ๆ” ซึ่งวิธีเมชเคอร์เรนท์นี้จะกำหนดให้ว่าในวงจรปิดหนึ่ง ๆ จะมีกระแส
ไฟฟ้าไหลวนอย่างต่อเนื่องและเป็นอิสระต่อกัน กระแสไฟฟ้าไหลวนนี้
เรียกว่า “เมชเคอร์เรนท์” (Mesh Current Method) หรือ ลูปเคอร์เรนท์ (Loop Current)

วีการของเมชเคอร์เรนท์
1. กำหนดเมชเคอร์เรนท์ลงในวงจรปิดของวงจรที่กำหนดให้
2. สร้างสมการแรงดันไฟฟ้าของแต่ละวงจรปิด โดยยึดหลักที่ว่า
2.1) แรงดันไฟฟ้าที่ตกคร่อมส่วนต่าง ๆ = แรงดันไฟฟ้าที่แหล่งจ่ายไฟจ่ายให้
2.2) ทิศทางของวงจรที่พิจารณา ก็คือ ทิศทางของเมชเคอร์เรนท์ที่เรากำหนดขึ้น
2.3 ) จำนวนสมการแรงดันไฟฟ้าที่ต้องสร้างขึ้นเพื่อหาค่าของตัวแปรต่าง ๆ นั้นจะมี
จำนวนเท่ากับ จำนวนวงจรปิด นั่นคือ จำนวนสมการที่ต้องการ = จำนวนวงจรปิด
3. จัดสมการที่สร้างขึ้นให้อยู่ในรูปเมตริกและใช้ดีเทอร์มีแนนท์เข้าช่วยในการ
หาค่าตัวแปรที่เราสร้างขึ้น

                จากรูป 4.1 จะพบว่า  จำนวนวงจรปิด หรือ เมช หรือ ลูป มีจำนวน = 3
               I1,I2 ,I3 คือ เมชเคอร์เรนท์ที่เรากำหนดให้
               วงจรปิดที่ 1 หมายถึง วงจรปิดที่มี เป็นเมชเคอร์เรนท์
               วงจรปิดที่ 2 หมายถึง วงจรปิดที่มี เป็นเมชเคอร์เรนท์
               วงจรปิดที่ 3 หมายถึง วงจรปิดที่มี เป็นเมชเคอร์เรนท์
               และเวลาที่เราพิจารณาวงจรปิดที่ 1, วงจรปิดที่ 2 , วงจรปิดที่ 3 เพื่อสร้าง
สมการแรงดันไฟฟ้าในแต่ละวงจรปิดจะได้ว่าทิศทางของวงจรปิดที่เราพิจารณาคือ
ทิศทางของ I1,I2 ,I3 ตามลำดับ
  <<<<< หน้าแรก|วงจรโครงข่ายไฟฟ้า |วิธีเมชเคอร์เรนท์ | วิธีโนดโวลเตจ |ทฤษฏีการวางซ้อน |ทฤษฏีเทวินิน |ทฤษฎีนอร์ตัน |ทฤษฏีการส่งผ่านกำลังไฟฟ้าสูงสุด