หลักการทำงานจอมอนิเตอร์
เทคนิคของการทวีคูณความถี่
ระบบัลติซิงค์หรือซิงค์มาสเตอร์เป็นการนำเอาเทคโนโลยีของการทวีคูณความถี่
(The Multiple Frequency
Technology)มอนิเตอร์ประเภทนี้เป็นมอนิเตอร์ที่สามารถปรับความถี่ได้อย่างอัตโนมัติเมื่อนำไปต่อเข้ากับการ์ดของระบบภาพในระบบ
ของการสแกนความถี่แบบต่าง ๆ
ตามค่าเรโซลูชั่นที่เครื่องคอมพิวเตอร์ต้องการ
มอนิเตอร์ในรูปของมัลติซิงค์ (Multi
Sync) หรือซิงค์มาสเตอร์
(SyncMaster)จึงออกแบบให้มีระบบของการทวีคูณความถี่ให้ทำงานรองรับกับคำสั่งของสัญญาณภาพที่มาจากการ์ดของเครื่องคอมพิวเตอร
์แบบพีซีหรือเครื่องคอมพิวเตอรในจระกูลแมคอินทอช(Macintosh)หากพิจารณาไปที่ภาพซึ่งมีรายละเอียดสูงซึ่งเราเรียกว่าภาพที่มีเรโซลูชั่นสูง
(Higher Resolution)
ในระบบที่ไม่ใช่อินเตอร์เรชจะอยู่ที่
1,024 x 768
ซึ่งระบบนี้จะให้ภาพที่ออกมาใสสะอาด
ซึ่งเราสามารถที่จะเห็นข้อมูล
ส่วนนี้ได้จากจอมอนิเตอร์ในกราฟิกที่เป็นมาตรฐานอย่างนี้ระบบมัลติซิงค์จะต้องสามารถตอบสนองระบบต่างๆได้ดังต่อไปนี้ต้องตอบสนองระบบ
VGA 60H Z ค่าเรโซลูชั่น 640 x 480
ได้ต้องสามารถตอบสนองระบบ ETGO VGA
ความถี่ 72 และ 75HZ ที่มีค่าเรโซลูชั่นไม่น้อยกว่า
640 x 480 ได้ สามารถตอบสนองระบบ Super- VGA
ความถี่ 56HZ หรือ 60HZ ที่มีค่าเรโซลูชั่น
800 x 600 ได้
- ต้องสามารถตอบสนองระบบ
ERGO VGA ความถี่ 72HZ ได้
- ต้องสามารถตอบสนอง
Extended VGA ความถี่ 60Hz และ 70HZ
ที่มีค่าเรโซลูชั่น 1,024 x 768 ได้
- ต้องตอบสนองระบบ
8514A, ระบบ XGA, ระบบ XGA2
หรือมากกว่านี้ที่ทำให้เรโซลูชั่น
1,024 x 768 ที่ทำงานด้วย
- ความถี่ 60 และ 70HZ
ได้
- ต้องสามารถตอบสนองค่าเรโซลูชั่นของแมคอินทอช
หรือ Macintosh Quadar ซึ่งมีค่าเรโซลูชั่น
640 x 480 (ความถี่ 66.7HZ )
- และ 832 x 624
(ความถี่ 75HZ )ได้
ลักษณะของการส่งข้อมูลในรูปแบบของสายในวงจรมอนิเตอร์
จากรูปที่ 1 เป็นวิธีการทั่วไปของการเชื่อมโยงระบบข้อมูลที่จะส่งจากเครื่องคอมพิวเตอร์ไปยังมอนิเตอร์
โดยการส่งข้อมูลภาพนั้น
จะต้องส่งข้อมูลผ่านตัวคอนเน็กเตอร์ที่เป็นดีซับ
(D-Sub) ซึ่งขาใช้งานทั้งหมด 15 ขา
ดังปรากฏในรูปที่ 1
รูปที่1.
การพ่วงข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เข้าสู่จอมอนิเตอร์ใช้สายพ่วงผ่านสายแคเบิ้ลของดีซับ
แสงสีและการมองเห็น
การมองเห็นสิ่งต่าง ๆ
ที่แวดล้อมอยู่รอบ ๆ
ตัวเราได้นั้น
เนื่องจากมีแสงพุ่งออกมาจากสิ่งนั้นมาเข้าตาเราหากว่าสิ่งนั้นไม่มีแสงในตัวเอง
ต้องอาศัยแสงจากแหล่งกำเนอ เช่น
แสงอาทิตย์ ไปกระทบสิ่งนั้นแล้ว
แล้วสะทอนมาเข้าตาจึงเกิดการมองเห็นได้
สำหรับสิ่งที่มีแสงในตัวเอง
เช่น
จอภาพจะสร้างแสงขึ้นมาเองแล้วส่องเข้าตาโดยตรง
ภาพที่ต่มองเห็นเป็นรูปแบบของแสงซึ่งมีคุณสมบัติเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟ้ฟ้าที่มความ
ยาวคลื่นที่อยู่ในช่วง 380 ถึง 780
นาโนเมตร
การผสมสีแสง
แสงที่มองเห็นเป็นสิ่งต่าง
ๆนั้น
มีความถี่หรือความยาวคลื่นไม่เท่ากัน
การที่ตาเรามองเห็นสีสันก็คือเรามองเห็นแสงวามถี่ต่าง
ๆ กัน
แสงจึงเป็นพื้นฐานของเรื่องสีในโทรทัศน์สีการสร้างภาพสีและการกำเนิดสัญญาณภาพสีอาศัยการผสมสีแสง
โดยมีแม่สีแสงที่มีอยู่สามสีคือ
สีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน
เรานิยมเขียนย่อ ๆ ดังนี้คือ
สีแดง red) เขียนว่า R สีเขียว (green)
เขียนว่า G และสีน้ำเงิน (blue)
เขียนว่า B
การผสมสีแสงจากแม่สีทั้งสามจะเกิดการรวมตัวกันได้เป็นความถี่ที่เกิดจากผลรวมระหว่างแสงของแม่สีทั้งสองซึ่งมีความถี่ผิดไปจากเดิม
ดังนั้นเมื่อแสงความถี่นี้พุ่งเข้าตาจึงทำให้ประสาทตาเกิดความรู้สึกมองเห็นเป็นสีอื่น
การสร้างสีองค์ประกอบจากการผสมแม่สีจะได้ดังนี้
แดง + เขียว = เหลือง
เขียว + น้ำเงิน = ฟ้าซีด หรือเรียกว่าไซอัน
แดง + น้ำเงิน = ม่วงอมแดง
หรือที่เรียกว่ามาเจนต้า
แดง + เขียว + น้ำเงิน = ขาว
เราสามารถสร้างสีต่าง
ๆ
ได้มากมายโดยการผสมสีแม่สีทั้งสามคือ
แดง เขียว น้ำเงิน
โดยการปรับความเข้มหรือส่วนผสมแม่สี
คุณสมบัติของสี
แสงสีมีคุณสมบัติสามประการคือ
- สีสันหรือว่าฮิว
(hue)
หมายถึงสิ่งที่ตาเรามองเห็นเช่น
เมื่อเรามองเห็นวัตถุสีแดงเราก็จะรู้สึกว่า
วัตถุนั้นมีสีสันหรือฮิวเป็น
- สีแดง
กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าฮิวกำหนดโดยความถี่ของแสงจากวัตถุที่ให้ความรู้สึกแก่ตาเรา
- ความเข้มสี
(saturation)
สีที่เรามองเห็นนั้นจะมีความเข้มสีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับส่วนผสมของแสงสีขาวเช่น
สีแดงอ่อน
- หรือสีชมพูก็คือสีที่มีส่วนประกอบของสีขาวอยู่
- ความสว่าง
(brightness)เป็นการวัดความสว่างของแสงที่ตาเรารู้สึกต่อสี
เช่นตาเราจะรู้สึกว่าสีเหลืองสว่างกว่าสีแดงและสีน้ำเงิน
สรุปว่าแสงที่มีพลังงานเท่ากัน
แต่ว่ามีความถี่ไม่เท่ากัน
(คนละสี)
ตาเราจะรู้สึกว่ามีความสว่างไม่เท่ากันแสดงว่าความสว่างขึ้น
อยู่ที่พลังงานของแสง (photo energy)
ส่วนสีสันขึ้นอยู่กับความถี่ของแสง
สำหรับความเข้มของสีขึ้นอยู่กับว่าแสงนั้นมีส่วนผสม
ของสีขาวอยู่มากหรือน้อยเพียงใด
การสร้างภาพสีของจอมอนิเตอร์
การสร้างภาพสีของจอมอนิเตอร์เกิดขึ้นได้โดยการใช้หลอดภาพสีที่มีโครงสร้างภายนอกเหมือนกับของหลอดภาพขาวดำ
แต่ด้านใน
ของจอภาพจะฉาบเอาไว้ด้วยสารฟอสเฟอร์
3
ชนิดที่มีคุณสมบัติเปล่งแสงสีแดง
สีเขียว
และสีน้ำเงินออกมาเมื่อถูกลำอิเล็กตรอนวิ่งมาชน
ลักษณะการฉาบสารฟอสเฟอร์จะใช้วิธีการฉาบเป็นจุดหรือเป็นเส้นที่เล็กมากเรียงสลับกันไปจนเต็มตลอดหน้าจอ
เนื่องจากสารฟอสเฟอร์มี 3 ชนิด
ดังนั้นจึงต้องใช้อิเล็กตรอนกันถึงสามอันเพื่อแยกยิงลำอิเล็กตรอนแต่ละลำให้ไปชนสารฟอสเฟอร์แต่ละสี
โดยจะตั้งอิเล็กตรอนกันแต่ละอัน
ให้ยิงไปชนแต่ละสีหนึ่งสีใดโดยเฉพาะ
เช่นอิเล็กตรอนกันที่ยิงลำอิเล็กตรอนกันไปชนเฉพาะสารฟอสเฟอร์สีแดงจะทำการสร้างแต่สีแดงเท่า
นั้นให้ปรากฏออกมาหน้าจอภาพทุกครั้งที่อิเล็กตรอนกันอันนี้ทำงานจึงเรียกว่าอิเล็กตรอนกันสีแดง
ส่วนอิเล็กตรอนกันที่เหลืออีก 2
อัน ซึ่งตั้งเล็ง
ยิงลำอิเล็กตรอนไปชนสารฟอสเฟอร์สีเขียวและสีน้ำเงิน
เพื่อสร้างสีเขียวและสีน้ำเงินให้เกิดที่หน้าจอเราเรียกว่า
อิเล็กตรอนกันสีเขียว และ
อิเล็ตรอนกันสีน้ำเงินหลอดภาพของจอมอนิเตอร์
ก็จะสร้างแสงให้เกิดขึ้นที่หน้าจอโดยมีวงจรไบอัสจ่ายแรงดันให้กับชิ้นส่วนต่าง
ๆ ที่อยู่ใน
อิเล็กตรอนกันทั้ง 3
เพื่อให้ยิงลำอิเล็กตรอนไปชนจอโดยปรับระดับไบอัสเพื่อทำให้ปริมาณอิเล็กตรอนทั้ง
3 ที่ยิงไปชนจอพร้อม ๆ กนนั้น
สร้างแสงขาวให้ปรากฏขึ้นที่หน้าจอ
โดยมีความสว่าง 50%
ขณะที่ยังไม่มีสัญญาณป้อนเข้ามายังอิเล็กตรอนกัน
ลำอิเล็กตรอนทั้งสามจะ
ถูกเบี่ยงเบนโดยสนามแม่เหล็กจากขดลวดชุดเบี่ยงเบนทางแนวนอนและแนวตั้ง
เพื่อให้เกิดการกราดสร้างแสงขึ้นเต็มจอ
สัญญาณที่ส่งมา
ที่อิเล็กตรอนกันทั้งสามต้องมีสามสัญญาณเช่นกัน
คือ
สัญญาณสีแดงส่งป้อนให้อิเล็กตรอนกันแสง
เพื่อให้เกิดการสร้างแสงสีแดง
และ
สัญญาณสีเขียวกีบสีน้ำเงินส่งป้อนให้กับอิเล็กตรอนกันสีเขียวกับอิเล็กตรอนกันสีน้ำเงิน
 |
รูปที่
2. การป้อนสัญญาณขับจอมอนิเตอร์
เพื่อสร้างแสงสีเขียวและสีน้ำเงิน
สัญญาณทั้ง 3
จะป้อนเข้าไปเพื่อทำให้อิเล็กตรอนกันแต่ละอันเปลี่ยนแปลงปริมาณของลำอิเล็กตรอน
ที่ยิงไปชนจอ
เป็นการสร้างสีต่าง ๆ
ให้เกิดบนจอตามต้องการ
เช่นเมื่อส่วนของสัญญาณที่ส่งมาเป็นสีแดงอิเล็กตรอนกันสีแดงจะได้รับสัญญาณ
เพื่อเพิ่มปริมาณอิเล็กตรอนที่ยิงไปชนสารฟอสเฟอร์สีแดงมากขึ้นจึงเกิดการเปล่งแสงเป็นสีแดง
โดยอิเล็กตรอนกัน 2
อันที่เหลือจะถูกทำให้เกิด
คัทออฟถ้าส่วนของภาพเป็นสีไซอันก็จะมีสัญญาณสีเขียวและสีน้ำเงินป้อนให้อิเล็กตรอนกันสีเขียวและสีน้ำเงินเพื่อทำให้เพิ่มปริมาณลำอิเล็กตรอน
ที่ยิงไปชนสารฟอสเฟอร์ที่หน้าจอทำให้เกิดการเปล่งแสงสีเขียวและสีน้ำเงินออกมาพร้อม
ๆ
กันซึ่งทำให้เกิดผลรวมเป็นสีไซอันโดยอิเล็กตรอน
กันสีแดงจะทำให้คัทออฟในจังหวะนั้นสำหรับการสร้างภาพขาวดำนั้นหลอดภาพจะได้รับสัญญาณพร้อมกันทั้ง
3 สัญญาณ ทำให้อิเล็กตรอนกัน
ทั้งสามเปลี่ยนแปลงลำอิเล็กตรอนที่ยิงไปชนจออย่างเป็นสัดส่วนต่อกันจึงเกิดการสร้างส่วนของภาพที่เป็น
สีขาว เทาอ่อน เทาแก่ตามลำดับ
และดำ
ที่หน้าจอเราเรียกสัญญาณขาวดำว่า
สัญญาณลูมิแนนซ์ (luminance)
หรือเรียกย่อ ๆ ว่าสัญญาณวาย (Y)
คือสัญญาณความสว่าง
วิธีการสร้างสัญญาณ
Y ก็คือการนำสัญญาณ R, G, B
มารวมกันทางไฟฟ้าตามสัดส่วนรู้สึกสว่างเทียบกับแสงสีขาว
(15) ดังสมการต่อไปนี้Y = 0.3R + 0.59GB + 0.11B
สำหรับสีขาว มีส่วนผสมแม่สีคือ R
=1, B = 1 , G = 1 แทนในสมการจะได้
Y = 0.3 + 0.59 + 0.11
Y = 1
ได้สีขาวสว่าง 100%
สำหรับสีแดง
มีส่วนผสมของแม่สีคือ R = 1, G = 0 , B = 0
แทนในสมการจะได้
Y = 0.3
ได้สีแดงความสว่าง 30%
สำหรับสีเขียว
มีส่วนผสมแม่สีคือ R = 0, G = 1, B = 0
แทนในสมการจะได้
Y = 0.59
ได้สีเขียวความสว่าง 59%
สำหรับสีน้ำเงิน
มีส่วนผสมแม่สีคือ R = 0, G = 0, B = 1
แทนในสมการจะได้
Y = 0.11
ได้สีน้ำเงินความสว่าง 11%
เราสามารถสร้างสัญญาณ Y
ได้จากสัญญาณ R, G, B
โดยใช้ตัวต้านทานลดระดับแรงดันของสัญญาณทั้ง
3 ให้ได้ขนาดความแรงของสัญญาณ
เป็นสัดส่วนตามสมการที่กล่าวมาแล้วคือ
Y = 0.3R + 0.59G + 0.11B
แล้วนำสัญญาณที่ได้มารวมกันดังรูป
รูปที่ 3.
การสร้างสัญญาณลูมิแนนซ์
การสแกน
การสแกนคือการนำเอาสัญญาณภาพที่อยู่ใรรูปของของสัญญาณไฟฟ้านำมาเรียงกันให้เกิดเป็นภาพโดยการกวาดเป็นเส้นภาพท
ี่หน้าจอโดยตัวที่มีหน้าที่สำคัญคือหลอดภาพ
หลอดภาพมีโครงสร้างคล้ายกับกับหลอดสุญญากาศทั่ว
ๆ ไปที่ปล่อยอิเล็กตรอนมาจาก
คาโถด
แล้วมีการดึงลำอิเล็กตรอนให้วิ่งเป็นลำกระทบเข้ากับหน้าจอหรือ
อะโหนด การสแกนมี 2วิธีคือ
การสแกนแบบเดินหน้า
(progressive scnning) กับการสแกนแบบสลับเส้น
(interlaced scanning) (18)
การที่จะทำให้การสแกนมีความต่อเนื่องขององค์ประกอบภาพ
ต้องคำนึงถึงหลัก 3 ประการ คือ
- ลำอิเล็กตรอนที่กวาดไปทางแนวนอน
(horizontal scanning)
ในแต่ละครั้งจะต้องครอบคลุมองค์ประกอบภาพทั้งหมดของ
เส้นนั้น
- ในแต่ละเส้นของการสแกนลำอิเล็กตรอน
ลำแสงต้องกวาดกลับด้วยความเร็วสูงไปยังด้านซ้ายเพื่อเริ่มการสแกนในลำดับต่อ
ไป
เวลาของการสบัดกลับเราเรียกว่ารีเทรซ
(retrace) หรือฟลายแบ็ค (flyback)
ในกรณีดังกล่าวจะต้องไม่มีข้อมูลภาพใด
ๆ เพราะ
หลอดภาพจะเกิดการแบลงค์เอาท์ (blank
out) ในขณะนั้น
- ในขณะที่เส้นสแกนสบัดกลับมาเพื่อเริ่มต้นทางซ้านใหม่ตำแหน่งทางแนวตั้งต้องต่ำกว่าตำแหน่งเดิมเพื่อทำให้การสแกนเส้น
ต่อไปไม่ทับกันทั้งนี้โดยการควบคุมทางแนวตั้ง
(vertical scanning)

รูปที่ 4.
การสแกนทางแนวนอน
การสแกนที่ใช้ในจอมอนิเตอร์ต้องใช้การเรียงภาพ
30 ถึง 60
ภาพต่อวินาทีจึงจะเกิดเป็นภาพที่ต่อเนื่องแต่ก็ยังมีการกระพริบ
(fricker)
เนื่องจากว่าการสแกนเริ่มจากขอบบนลงมาด้านล่างแสงทางด้านบนเริ่มมืดลงกว่าด้านล่างจึงมองเห็นว่ามันกระพริบ
และเวลาที่ลำแสงการสแกนวกกลับไปด้านบนด้านล่างก็เกิดปัญหาเช่นเดียวกันความรู้สึกต่อกรณีนี้ก็คือ
เกิดแสงกระพริบหรือวูบวาบขึ้นซึ่งจะเกิดขึ้น
ในการสแกนแบบเดินหน้า (progressive scanning)
ซึ่งเป็นการสแกนพื้นฐาน
เพื่อแก้ปัญหาการกระพริบจึงต้องใช้การสแกนสลับเส้นหรือการสแกน
แบบสอดแทรก (interlaced
scanning)โดยครั้งแรกจะสแกนที่ฟิลด์คี่
(odd line trace)
และครั้งต่อไปจะสแกนแบบฟิลด์คู่
(even line trace) เป็นการสแกน
แบบเส้นเว้นเส้น
หมายความว่าการที่จะได้ภาพ1
ภาพหรือ 1
เฟรมต้องใช้การสแกนแนวตั้ง 2
ครั้งหรือ 2 ฟิลด์ (field) มาตรฐานของจอ
VGA
จะใช้เส้นสแกน320เส้นทางแนวนอนและ240เส้นทางแนวตั้งเริ่มต้นการสแกนสมมุติว่าจากเส้นสแกนคี่ทางแนวนอนโดยเริ่มจากทางซ้ายแล้วกวาด
ไปทางขวานับเป็นเส้น
สแกนที่ 1 แล้วจึงสแกนเส้นที่ 3, 5, 7, 9
และต่อๆไปจนได้เส้นสแกนครบ 320
เส้นดังแสดงรูปด้านล่าง
(ในส่วนที่เป็นเส้นทึบ)

รูปที่
5. การสแกนทางแนวตั้ง
ที่จุดสิ้นสุดการสแกนเส้นคี่ทางแนวนอนนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นการสแกนทางแนวตั้งของฟิลด์คี่ซึ่งเราเรียกว่าการสแกนทางแนวตั้งว่า
เวอร์ติคอลรีเทรซ
(vertical retace) หรือสัญญาณฟลายแบ็ค (flyback)
เพื่อดึงกลับไปยังด้านบนของจอภาพในตำแหน่งนี้เพื่อให้เริ่มต้นการสแกนเส้นคู่ต่อไปที่กล่าว
มาทั้งหมดคือการสแกนในหนึ่งฟิลด์
แสดงในรูปที่ 2.6
(ในส่วนที่เป็นเส้นทึบ)
เวลาของการรีเทรซ (retrace timse)
ทั้งทางแนวนอนและแนวตั้งเป็น
เวลาสั้น ๆ
ถึงอย่างไรก็ตามเราไม่ต้องการให้เส้นสแกนของช่วงที่เป็นการสบัดกลับเข้ามารบกวนให้เกิดภาพในส่วนนี้จึงต้องทำการลบเส้นสบัดกลับ
เวลาของการรีเทรซจะใช้เวลาประมาณ
10 16
เปอร์เซ็นต์ของเวลาทั้งหมดในการสแกน
การสแกนของเส้นคู่ก็เป็นในทำนองเดียวกันต่างกันที่จุดเริ่ม
ต้นเท่านนั้น
โดยจะเริ่มที่จุดสุดท้ายของขั้นตอนก่อนหน้านี้
และก็จะสลับกันเป็นเช่นนี้เรื่อยไป
 
|