หน้าบ้าน
การขนส่ง
ติดต่อธนาคาร
การชำระเงิน
UCP500
URC522
INCOTERMS
สุดท้าย

premchai@thaimail.com

เจอกันทักทายกันบ้าง
no.55039868

 

               ก่อนอื่นคำว่า UCP. นั้นย่อมาจาก Uniform Customs and Practice for Documentary Credit เป็นระเบียบประเพณีปฏิบัติในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเลตเตอร์ออฟเครดิต ถ้าจะพูดให้ง่ายๆ ก็คือกฏกติกาที่ในการค้าระหว่างประเทศที่ใช้ L/C ในการชำระเงินนั่นเอง นั่นแสดงว่าคู่กรณีที่เกี่ยวข้องกับ L/C จะต้องถือปฏิบัติภายใต้กฏกติกานี้
              
รายละเอียดในกฏ UCP.500 ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ ถ้าท่านใดสนใจก็สามารถซื้อหาได้จาก ทาง ICC โดยตรงเอง หรืออาจจะสอบถามเอาจากธนาคาร ที่ใช้บริการอยู่ รายละเอียดแต่ละมาตราข้างล่างนี้จะชี้ในเห็นรายโดยกว้างๆ ว่าแต่ละมาตรานั้นเค้ากล่าวถึงอะไรและได้บอกอะไรให้เราทราบบ้าง

กฏ UCP นั้นมีด้วยกันทั้งหมด 49 มาตรา แบ่งออกเป็น 7 หมวดใหญ่

ข้อกำหนดและจำกัดความทั่วไป

  • มาตรา 1 จะกล่าวถึงการใช้ UCP ดังกล่าวถึงการอ้างอิงกฏ UCP ในตัว L/C จะถือพูกพันธ์ทุกฝ่ายที่ระบุถึง
  • มาตรา 2 จะกล่าวถึงความหมายของ เลตเตอร์ออฟเครดิตว่าคือตราสารที่ธนาคารเป็นผู้ออกให้แก่ผู้รับประโยชน์ ตามคำขอของผู้ขอเปิด เพื่อชำระเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์หากผู้รับประโยชน์ทำตามข้อตกลง และเงื่อนไขอย่างครบถ้วน
  • มาตรา 3 จะกล่าวถึงความแตกต่างของเลตเตอร์ออฟเครดิต กับสัญญาซื้อขายที่ทำกัน ซึ่งมาตรานี้ชี้ให้เห็นว่าสัญญาแต่ละชนิดนั้นผูกพันธ์คู่กรณีแต่ ละคู่ จะเอาสัญญาตัวอื่นมาเกี่ยวข้องไม่ได้ ซึ่งมาตรานี้ผู้ซื้อ/ผู้ขายมักจะไม่ค่อยทราบ
  • มาตรา 4 จะกล่าวถึงบรรดาเอกสาร กับสินค้า ว่ากฏ UCP นั้นได้ตั้งข้อกำหนดว่า เลตเตอร์ออฟเครดิตนั้นจะสนใจเฉพาะเอกสารเท่านั้น ไม่สนใจสินค้าที่ทำการซึ้อ/ขาย ซึ่งผู้ซื้อ/ผู้ขายต้องเข้าใจข้อกำหนดนี้ให้ดี
  • มาตรา 5 จะกล่าวถึงคำสั่งต่างๆ ในการเปิด/การแก้ไขเลตเตอร์ออฟเครดิต ว่าควรจะต้องสมบูรณ์ ชัดเจน และไม่ควรมีรายละเอียด มากมาย (ถ้าท่านเห็นเลตเตอร์ออฟเครดิตที่มีรายละเอียดมากมาย ก็พึงระลึกไว้ได้เลยว่าท่านเห็นเลตเตอร์ออฟเครดิตที่เป็นเครื่องมือในการไม่อยากชำระเงิน เพราะจุดประสงค์ของเลตเตอร์ออฟเครดิตนั้นเป็นเครื่องมือในการชำระเงิน)

รูปแบบและการแจ้งเลตเตอร์ออฟเครดิต

  • มาตรา 6 จะกล่าวถึงว่าเลตเตอร์ออฟเครดิตนั้นแบ่งเป็น 2 ประเภทคือแบบที่สามารถเพิกถอนได้ และแบบที่ไม่สามารถเพิกถอนได้ (แบบที่ไม่สามารถเพิกถอนได้ใช่ว่าจะเพิกถอนไม่ได้เลยทีเดียว)
  • มาตรา 7 จะกล่าวถึงภาระที่ธนาคารที่แจ้งเลตเตอร์ออฟเครดิต ต้องรับผิดชอบ ซึ่งมาตรานี้บุคคลที่จะต้องเข้าใจอย่างละเอียดถ่องแท้ เห็นจะเป็นตัว ธนาคารเอง ใช่ว่าตัวADVISING BANK จะสามารถทำการแจ้ง เลตเตอร์ออฟเครดิตไปอย่างหลับหู หลับตาได้
  • มาตรา 8 จะกล่าวถึงการยกเลิก L/C ว่าสามารถทำได้เมื่อไรก็ได้หากเป็นชนิด Revocable แต่ถ้าเป็นชนิด Irrevocable จะยกเลิก L/C ได้ต้องได้รับคำยินยอมจากคู่กรณีทุกฝ่าย
  • มาตรา 9 จะกล่าวถึงภาระที่ ISSUING BANK/OPENING BANK และ CONFIRMING BANK จะต้องรับผิดชอบในตัว L/C ที่ตนได้เปิด/ยืนยันไป ซึ่งเป็นมาตรา ที่ยาวมาตราหนึ่ง และที่แน่นอนบรรดาธนาคารต้องเข้าใจมาตรานี้อย่างถ้องแท้ที่สุด และมาตรานี้ยังชี้ให้เห็นว่าการชำระเงินภายใต้ เลตเตอร์ออฟเครดิตมีด้วยกัน 3 อย่างคือ แบบ PAYMENT แบบ ACCEPTANCE และแบบ NEGOTIATION ซึ่งแต่และแบบก็ มีความหมายของมันเองไม่เหมือนกันน่ะ
  • มาตรา 10 จะกล่าวถึงชนิดของเลตเตอร์ออฟเครดิตที่เปิดไปว่ามีอะไรบ้าง นั่นก็คือ ต้องระบุให้ชัดเจนว่าเป็นประเภท PAYMENT หรือ ACCEPTANCE หรือ NEGOTIATION และมาตรานี้ก็ให้คำนิยามว่าการ NEGOTIATION คืออย่างไรกันแน่แบบไหนที่เรียกว่าได้ NEGOTIATE แล้วกันแน่
  • มาตรา 11 จะกล่าวถึงเลตเตอร์ออฟเครดิตที่เปิดผ่านทางสื่อโทรคมนาคม ว่าสามารถมีผล บังคับใช้ได้เลยเว้นแต่จะบอกว่ายังไม่มีผล และกล่าวถึงการแจ้งเลตเตอร์ออฟเครดิตล่วงหน้า ว่าจะต้องมีตัวเลตเตอร์ออฟเครดิตตัวเต็มส่งตามให้โดยไม่ชักช้า
  • มาตรา 12 จะกล่าวถึงคำสั่งที่ไม่สมบูรณ์ หรือไม่ชัดเจนในตัวเลตเตอร์ออฟเครดิตว่าธนาคารที่ได้รับเลตเตอร์ออฟเครดิต (ส่วนใหญ่คือ ADVISING BANK) จาก ISSUING BANK ควรจะต้องแจ้งกลับไปถึงความไม่สมบูรณ์ดังกล่าว

ภาระและความรับผิดชอบต่างๆ

  • มาตรา 13 จะกล่าวถึงมาตราฐานในการตรวจเอกสารต่างๆ ซึ่งมาตรานี้บอกไว้ว่าการตรวจเอกสารนั้นต้องเป็นแบบ International Standard Banking Practice ซึ่งก็ไม่มีบอกว่าเป็นอย่างไรที่จะถือว่าเป็นแบบมาตราฐานสากล เพียงบอกว่าให้ยึดถือเอาจากมาตราต่างๆ ที่มีระบุใน UCP นั่นแหละ และยังกล่าวถึงเวลาในการตรวจเอกสารว่าถูกต้องหรือไม่สูงสุดได้ไม่เกิน 7 วันทำการหลังได้รับ
  • มาตรา 14 จะกล่าวถึงเอกสารที่มีข้อผิดพลาด และการแจ้งข้อผิดพลาด ว่าถ้าเอกสารที่ผู้รับประโยชน์ยื่นเพื่อขึ้นเงินนั้นตรวจพบว่าไม่ตรงกับข้อตกลงและเงื่อนไขใน L/C แล้วธนาคารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องนั้นๆต้องทำอย่างไร และถ้าไม่ทำหรือทำไม่ถูกต้อง จะซวยอย่างไรบ้าง เป็นมาตราอันตรายสำหรับบรรดาธนาคารที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ISSUING BANK และมาตรานี้กล่าวกันว่าเป็นมาตรา ที่กลุ่มผู้ร่างกฏ UCP ใช้เวลานานที่สุด เถียงกันเยอะว่างั้นเถอะ และเป็นมาตราใหม่ที่ UCP ฉบับเก่าๆ ไม่ได้กล่าวถึง
  • มาตรา 15 จะกล่าวถึงความไม่รับผิดต่อผลจากเอกสารต่างๆ ว่าธนาคารต่างๆ ไม่รับผิดชอบในตัวเอกสารนั้นไม่ว่าจะเป็นการปลอม ความครบถ้วน คุณภาพสินค้าที่อ้างถึง ปริมาณ และอื่นๆ อีกมากมายเยอะมากจน ดูแทบจะว่าธนาคารไม่รับผิดชอยใดๆ เลยก็ แทบจะว่าได้
  • มาตรา 16 จะกล่าวถึงความไม่รับผิดชอบของธนาคารต่างๆ ในเรื่องที่เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารที่ส่งผ่านทางโทรคมนาคม ไม่ว่าจะช้า จะไม่ครบ ผิดพลาด และผลที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ข้างต้น
  • มาตรา 17 จะกล่าวถึงเหตุสุดวิสัยต่างๆที่เกิดขึ้นว่าธนาคารต่างๆ ไม่ต้องรับผิดชอบในผลที่เกิดขึ้นจาก ภัยธรรมชาติ หรือเกิดจากการจรจลต่างๆ
  • มาตรา 18 จะกล่าวถึงความไม่รับผิดชอบของบุคคลที่ได้รับคำสั่งจากอีกฝ่ายหนึ่งให้กระทำการใดๆ จะสรุปง่ายๆก็คือคนสั่งต้องเป็นผู้รับผิดชอบว่างันเถอะ
  • มาตรา 19 จะกล่าวถึงการชดใช้เงินระหว่างธนาคารกันเองว่าเป็นอย่างไร ใครต้องรับผิดชอบแค่ไหนอย่างไร ซึ่งมาตรานี้ในปัจจุบันจะ ถูกแทนด้วยกฏ URR.525 แล้วซึ่งจะมีรายละเอียดเฉพาะไปเลย และเลตเตอร์ออฟเครดิตในปัจจุบันส่วนใหญ่มักจะอ้างการชดใช้เงิน ระหว่างธนาคารว่าให้เป็นไปตามกฏ URR.525

เอกสารต่างๆ

  • มาตรา 20 จะกล่าวถึงคำที่ถือว่าคลุมเครือ ถ้าหากใช้ในเอกสารต่างๆที่ออก ซึ่งก็รวมถึงตัวเลตเตอร์ออฟเครดิตด้วย เช่นคำว่า "first class" , "wellknown", "official" และคำอีกหลายคำ รวมถึงคำที่มีความหมายคล้ายคลึงกัน ว่าตีความเป็นอย่างไร ซึ่ง UCP จะ พยายามบอกว่าคำเล่านั้นไม่ ควรใช้ถ้านำมาใช้ธนาคารจะไม่สนใจมัน และมาตรานี้ก็ได้กล่าวถึงเอกสารที่ถือว่าเป็นต้นฉบับนั้นเป็น อย่างไร ซึ่งไอ้คำว่าต้นฉบับตามที่ UCP ได้ให้คำนิยามนั้นเชื่อไหมว่าเกิดการโต้แย้ง ขัดแย้งกันขึ้นมากมาย จนถึงปัจจุบันก็ยังเกิดอยู่ และเอกสาร ที่ถือว่าเป็นต้นฉบับนั้นบ้างประเภทอาจจ ะขัดแย้งกับความเข้าใจของเราคนไทย เช่น UCP บอกว่าเอกสารที่จะถือว่า เป็นต้นฉบับนั้นขอเพียงมีข้อความระบุว่าเป็นต้นฉบับ " Original" ก็ OK แม้ว่ามันจะเป็นใบถ่ายเอกสารก็ตาม
  • มาตรา 21 จะกล่าวถึงเอกสารที่ไม่ได้เจาะจงว่าใครเป็นผู้ออก หรือไม่ระบุว่าต้องมีรายละเอียดอะไรบ้าง จะถือว่าเป็นอย่างไรก็ได้ขอ แค่ไม่ขัดแย้งกันเองเป็นอันใช้ได้ อ๋อ...มีการยกเว้นเอกสารอยู่บางประเภทน่ะที่ไม่ต้องบอกก็มีกฏที่บังคับว่าต้องเป็นใครออก และต้องมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง
  • มาตรา 22 จะกล่าวถึง วันที่ออกของเอกสารต่างๆ กับตัวเลตเตอร์ออฟเครดิต ว่าจำเป็นไหมที่เอกสารจะออก หลังวันที่ เลตเตอร์ออฟเครดิตเปิด หลายคนไม่ค่อยรู้น่ะนี่ยังเข้าใจว่าเอกสารต่างๆ ต้องออกหลังวันที่ออกของ เลตเตอร์ออฟเครดิต มาตรานี้จะบอกท่านอย่างชัดเจน
  • มาตรา 23 จะกล่าวถึงเอกสารที่เรียกว่า BILL OF LADING หรือเรียกกันสั้นๆ ว่า B/L แต่เป็นประเภททางทะเลน่ะ (Marine/Ocean/Port to Port) ห รือที่เราเรียกกันว่าใบตราส่งทางทะเล ว่าเป็นอย่างไร ต้องมีรายละเอียดอย่างไรบ้างจึงจะถือว่าครบถ้วน และสมบูรณ์ ซึ่งมาตรานี้เป็นมาตราที่ยาวมากมาตราหนึ่ง นึกง่ายๆ ก็เกือบ 2 หน้ากระดาษ A4 เห็นจะได้ แล้วมาตรานี้ก็ เป็นมาตราที่มีการโต้แย้งกันมากที่ สุดหลังจาก UCP.500ได้ถูกนำมาใช้แรกๆ ทั้งผู้ซึ้อ/ผู้ขาย/บริษัทเรือ และรวมถึงธนาคาร ก็มีการตีความกันไปคนละอย่างก็มาก จนทาง ICC. ที่ตั้งกฏ นั้นทนไม่ไหวต้องออก คำชี้แจงออกมาเลยทีเดียว และมาตรานี้ก็เป็น มาตราที่เป็นบ่อเกิดทำให้เอกสารที่ผู้รับประโยชน์ตาม L/C (ผู้ขาย/EXPORTER) ยื่นนั้นไม่ถูกต้องตามตาม ข้อตกลงและเงื่อนไขใน เลตเตอร์ออฟเคร ดิตกำหนด เรียกง่ายๆว่าตั๋วมี Discrepancy นั้นเองและก็ทำให้ ISSUING BANK สามารถปฏิเสธการชำ ระเงินได้ในที่สุด และปัจจุบันแม้ว่าจะเข้าใจกันชัดเจนยิ่งขึ้นแล้วแต่เชื่อได้ว่ายังมีอีกเยอะที่ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ แม้แต่ตัวธนาคารเองก็ตาม
  • มาตรา 24 จะกล่าวถึงเอกสารการขนส่งที่เรียกว่า Non-Negotiable Sea Waybill ว่าเป็นอย่างไร ต้องมีรายละเอียดอย่างไร บ้างจึงจะถือว่าครบถ้วน และสมบูรณ์ มาตรานี้เนื้อหาคล้ายๆ กับมาตรา 23 (เพราะเป็นเอกสารการขนส่งทางทะเลเหมือนกัน) แต่ไม่ เหมือนกันน่ะไม่งันคงไม่แบ่งเป็นคนละมาตราจริงไหม
  • มาตรา 25 จะกล่าวถึงเอกสารที่เรียกว่า Charter Party BILL OF LADING สังเกตุดีๆจะเห็นว่าต่างก็ B/L เหมือนกันแต่เป็นคน ละชนิดน่ะ ชนิดนี้เป็น B/L ประเภทเช่าเหมาลำถ้าเปรียบเทียบเหมือนรถ TEXI ที่เราต้องเหมาทั้งคัน มาตรานี้ก็ได้กล่าวถึงข้อกำหนดข้อ B/L ประเภทนี้ว่าเป็นอย่างไร
  • มาตรา 26 จะกล่าวถึงเอกสารการขนส่งหลายรูปแบบ คือเอกสารที่รวมการขนส่งตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป (ทางทะเล,ทางอากาศ,ทางบก) บางครั้งเราจะเห็ นว่าเอกสารนั้นเป็นเอกสารฉบับเดียวกันกับเอกสารตามมาตรา 23 ก็เป็นไปได้ ซึ่งต่างกันในรายละเอียดบ้างอย่าง และเป็นเอกสารที่มีผู้เข้าใจผิดกันมากระหว่างเอกสารใน 2 มาตรานี้
  • มาตรา 27 จะกล่าวถึงเอกสารการขนส่งทางอากาศ หรือที่เราเรียกกันว่า AWB : Air Waybill นั่นเอง มาตรานี้ที่เห็นได้ชัดเจนว่ายัง มีผู้เข้าใจผิดว่าวั นที่ถือว่าเป็นวันส่งสินค้าคือวันไหนกันแน่ ซึ่งในมาตรานี้ ได้ระบุไว้ชัดเจนว่า ธนาคารจะถือว่าวันที่ออกของเอกสารนั้นเป็นวันส่งสินค้า
  • มาตรา 28 จะกล่าวถึงเอกสารการขนส่งทางถนน ทางรถไฟ หรือทางน้ำ (ไม่ใช่ทะเลน่ะ) ว่าเป็นอย่างไร และต้องมีรายละเอียดอย่างไรจึงถือว่าถูกต้อง
  • มาตรา 29 จะกล่าวถึงใบรับสินค้าทางไปรษณีย์ และทาง Courier (ไม่รู้ว่าจะเรียกภาษาไทยว่าอย่างไร เอาเป็นว่าเป็นการส่งสินค้า ผ่านทางบริษัทที่รั บขนส่งสินค้าชนิดด่วนที่เราเห็นกันง่ายๆ เช่น DHL อะไรทำนองนั้น)
  • มาตรา 30 จะกล่าวถึงเอกสารการขนส่งที่ออกโดยผู้รับจัดการขนส่ง (Forwarder) บุคคลที่เรียกว่า Forwarder นั้นคือบุคคลที่เป็น นายหน้าระหว่างผู้ส่ งสินค้ากับผู้ขนส่ง (Carrier) นั่นก็คือบุคคลที่ไม่ มียานพาหนะในการขนส่งเอง และมาตรานี้ก็เป็นมาตราที่ทำให้ หมดว่าส่งสัยในการแยกแยะว่าเอกสารนั้นออกโดยใครกันแน่ บริษัทที่ออกเอกสารการขนส่งนี้เป็น Carrier หรือ Forwarder กันแน่
  • มาตรา 31 จะกล่าวถึงคำจำกัดความของคำว่า "On Deck" , "Shipper's Load and Count" ว่าเป็นอย่างไร และยังบอกให้ เราทราบว่าเอกสารการขนส่งนั้นชื่อผู้ส่งสินค้า (Consignor) ไม่จำเป็นจะต้องเป็นคนเดียวกับ Beneficiary หากเลตเตอร์ออฟเครดิตไม่ได้ห้าม (จุดนี้หลายท่านยังไม่ค่อยรู้จุดนี้นัก)
  • มาตรา 32 จะกล่าวถึงว่าเอกสารการขนส่งประเภทที่เรียกกันว่า Clean นั้นหมายถึงว่าเอกสารขนส่งสินค้านั้นมิได้ระบุความบกพร่อง/เสียหาย/ชำรุด ของตัวสินค้าที่รับบรรทุก ไม่ได้มีความหมายว่าไม่มีรอยแก้ไขน่ะ และไม่จำเป็นต้องมีข้อความว่า Clean
  • มาตรา 33 จะกล่าวถึงคำจำกัดความของคำว่า Freight Payable หรือ Freight Prepaid ของบรรดาเอกสารการขนส่งต่างๆ ว่าเป็นอย่างไร
  • มาตรา 34 จะกล่าวถึงเอกสารอีกประเภทหนึ่งที่เรารู้กันในนาม Insurance Policy/Certificate นั่นเอง จะบอกเราให้ทราบว่า เอกสารประกันภัยนั้นต้องมีรายละเอียดดย่างไรบ้าง
  • มาตรา 35 จะกล่าวถึงการใช้คำเกี่ยวกับประเภทภัยที่คุ้มครองว่าต้องระบุให้ชัดเจน คำที่กำกวมไม่ควรนำมาใช้ เช่น "usual risks" หรือ "customary risks" เพราะธนาคารจะไม่สนใจคำพวกประเภทนี้
  • มาตรา 36 จะกล่าวถึงประเภทประกันที่เรียกกันว่า All Risks จะตีความเป็นอย่างไร
  • มาตรา 37 จะกล่าวถึงเอกสารที่เรียกว่า Commercial Invoices ว่าจะต้องออกโดยผู้รับประโยชน์ และออกให้แก่ผู้ยื่นคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต และระบุรายละเอียดสินค้าตรงกับที่ในเลตเตอร์ออฟเครดิตกำหนด มาตรานี้จะทำให้เราทราบว่า Invoice นั้นไม่จำเป็นต้องเซ็นชื่อก็ได้น่ะ เว้นแต่จะสั่งให้มี
  • มาตรา 38 จะกล่าวถึงเอกสารอื่นๆ

ข้อกำหนดปลีกย่อย

  • มาตรา 39 จะกล่าวถึงยอดเงิน ปริมาณสินค้า และราคาต่อหน่วยที่ระบุใน เลตเตอร์ออฟเครดิตว่าสามารถยืดหยุ่นได้ 10 % หากมีคำว่า about หรือ approximately หรือคำที่มีความหมายเดียวกัน ประกอบมา และกล่าวไว้ว่า ปริมาณสินค้าประเภทไม่สามารถนับเป็นหน่วย/หีบห่อ สามารถ ขาด/เกิน 5 % ได้
  • มาตรา 40 จะกล่าวถึงการแบ่งส่งสินค้า หรือการขึ้นเงินเป็นส่วนๆ ว่าเป็นอย่างไร ซึ่งจะทำให้เรารู้ว่า แม้จะมีเอกสารขนส่งออกมามาก กว่า 1 ฉบับ แม้จะระบุวันส่งสินค้าต่างวันกัน ต่างสถานที่บรรทุกสินค้า แต่ถ้าบรรทุกในยาพาหนะชนิดเดียวกัน และเที่ยวเดียวกัน และปลายทางเดียวกันไม่ถือว่าเป็นการแบ่งส่ง
  • มาตรา 41 จะกล่าวถึงเลตเตอร์ออฟเครดิตที่มีเงื่อนไขการขึ้นเงิน/การส่งสินค้า แบ่งเป็นงวดๆ ว่าหากมีกำหนดมาแล้วมีงวดใดไม่ได้ขึ้นเงิน/ส่งสินค้า จะทำให้หมดสิทธิในงวดต่อๆ ไป
  • มาตรา 42 จะกล่าวถึงวันหมดอายุของเลตเตอร์ออฟเครดิต (expiry date) และการยื่นเอกสารต่างๆ ว่าเลตเตอร์ออฟเครดิตต้องระบุ วันหมดอายุ และสถานที่ในการยื่นเอกสารไม่ว่าจะเป็นเลตเตอร์ออฟเครดิตแบบ payment หรือ acceptance หรือ negotiation
  • มาตรา 43 จะกล่าวถึงข้อจำกัดของวันหมดอายุเลตเตอร์ออฟเครดิตว่า เลตเตอร์ออฟเครดิตควรระบุช่วงเวลาที่ต้องยื่นเอกสารหลังส่งสินค้า หากมิได้ระบุให้ถือ 21 วัน
  • มาตรา 44 จะกล่าวถึงว่าวันหมดอายุของเลตเตอร์ ออฟเครดิตนั้นสามารถยืดออกไปได้ในวันทำการถัดไปของธนาคารหากวันหมดอายุบังเอิญตรงวันหยุด แต่สำหรับว่าสุดท้ายในการส่งสินค้าไม่สามารถยืดได้น่ะ
  • มาตรา 45 จะกล่าวถึงว่าธนาคารไม่มีภาระผูกพันธ์ในการรับรองการยื่นเอกสารหากเลยเวลาทำงานของธนาคารแล้ว
  • มาตรา 46 จะกล่าวถึงคำจำกัดความของคำว่า Shipment คืออาจจะหมายถึงวันที่ loading on board/dispatch/accepted for carriage/date of post receipt/date of pick-up
  • มาตรา 47 จะกล่าวถึงคำต่างๆที่ใช้เกี่ยวกับวันส่งสินค้าว่าเป็นอย่างไร เช่นคำว่า "from" ให้นับวันรุ่งขึ้นเป็นต้นไป ส่วน "after" นับรวมวันดังกล่าวนั้นเป็นต้นไป ความหมายว่า beginning of month คือวันที่ 1 ถึงวันที่ 10 ของเดือน, middle of month คือวันที่ 11 ถึงวันที่ 20 ของเดือน, end of month คือวันที่ 21 จนถึงสิ้นเดือน

เลตเตอร์ออฟเครดิตที่สามารถโอนได้

  • มาตรา 48 แม้ว่าจะมีอยู่มาตราเดียวแต่ก็เป็นมาตราที่ยาวมากมาตราหนึ่ง ซึ่งมาตรานี้หากทำความเข้าใจให้ดีจะทำให้ท่านมีความรู้ เรื่องการโอนเลตเตอร์ออฟเครดิตว่าเป็นอย่างไร มีข้อจำกัดอย่างไร ทำอย่างไรจึงจะโอนแล้วไม่มีปัญหาตามมาภายหลัง เพราะใน ปัจจุบันผู้ ที่โอน หรือรับโอนมัก จะประสบกับปัญหาต่างๆมาก แม้แต่ธนาคารที่ทำการโอนให้บางครั้งก็ทำอย่างผิดๆ ก็มี สรุปได้ย่อๆ เช่นเลตเตอร์ออฟเครดิตจะโอนได้ต้องมีคำว่า Transferable เท่านั้น จะเปลี่ยนแปลงข้อกำหนด หรือเงื่อนไขต่างๆในได้ 6 อย่าง 1.ยอดเงิน 2.ราคาต่อหน่วย 3.วันหมดอายุ 4.ระยะเวลาในการยื่นเอกสารขึ้นเงิน 5.วันสุดท้ายในการส่งสินค้า 6.จำนวน % ในการทำประกันภัย

การมอบสิทธิในการรับชำระเงิน

  • มาตรา 49 ซึ่งเป็นมาตราสุดท้ายใน UCP.500 ใช้สำหรับเลตเตอร์ออฟเครดิตที่ไม่สามารถโอนได้เหมือนมาตรา 48 แต่ก็ยังสามารถ โอนสิทธิในการรับเงินให้บุคคลอื่นได้

 

 

Disclaimer : Articles represent the opinions of the author and do not necessarily reflect the views of my work place. No legal imputation should be attached to any of the articles in this home page and no legal responsibility is accepted for any errors, omissions or misleading statements caused by negligence or otherwise

Copyright © 2003 Premchai Wisidwutikul All right reserved