คำว่า URC มาจากคำย่อของ
Uniform Rules for Collections กฏระเบียบสำหรับตั๋วเรียกเก็บ เป็นกติกาที่ใช้ในการชำระเงินแบบที่เราเรียกกันว่า ตั๋วเรียกเก็บ จำพวก D/P หรือ D/A นั่นเอง เป็นกฏคนละตัวกับ UCP500 น่ะอย่าสับสนกัน ่ กฏ URC.522 ก็ได้แบ่งรายละเอียดเป็นหมวดหมู่เช่นกัน 7 หมวดหมู่ รวมแล้ว 26 มาตราด้วยกันโดยมีรายละเอียดหมวดหมู่ดังนี้ - หมวดที่ว่าด้วยเรื่อง
ข้อกำหนดและคำจำกัดความโดยทั่วไป มาตราที่ ( 1-3) - หมวดที่ว่าด้วยเรื่อง
รูปแบบและโครงสร้างของตั๋วเรียกเก็บ มาตราที่ ( 4) - หมวดที่ว่าด้วยเรื่อง
รูปแบบในการยื่นเรียกเก็บเงิน มาตราที่ ( 5-8) - หมวดที่ว่าด้วยเรื่อง
ภาระและความรับผิดชอบต่างๆ มาตราที่ ่( 9-15) -
หมวดที่ว่าด้วยเรื่อง
การชำระเงิน มาตราที่ ่( 16-19) - หมวดที่ว่าด้วยเรื่อง
ดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย มาตราที่ ( 20-21) - หมวดที่ว่าด้วยเรื่อง
อื่นๆ มาตราที่ ( 22-26)
หมวดที่ว่าด้วยเรื่องข้อกำหนดและคำจำกัดความโดยทั่วไป - มาตรา 1
ว่าด้วยเรื่องการนำไปใช้ของกฏ URC.522 ว่าถ้าผู้ที่เกี่ยวข้องยินยอมที่จะใช้กฏ URC มาเป็นข้อตกลงในการค้าครั้งนั้ นๆ ก็ต้องระบุให้ชั ดเจนว่าการชำระเงินประเภทตั๋วเรียกเก็บนั้นยึดถือเอาตามกฏ URC.522
และกล่าวถึงว่าบรรดาธนาคารต่างๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่มีข้อผูกพันธ์ว่าจะทำ ตามทุกอย่าง แต่ถ้าไม่ทำก็ควรแจ้งกลับไปยังผู้สั่งในเรื่องดังกล่าว - มาตรา 2
ว่าด้วยเรื่องคำนิยามของตั๋วเรียกเก็บ ไม่ว่าจะบอกความหมายของคำว่า Collection หรือความหมายของคำว่า Documents (เอกสาร) ว่าเป็นอย่างไรแบ่งได้กี่แบบ - มาตรา 3
ว่าด้วยเรื่องคำนิยามของบุคคลที่เกี่ยวข้อง เรียกว่าอย่างไร คือใครอย่างไร (ดูในหัวข้อ Collection ได้)
หมวดที่ว่าด้วยเรื่องรูปแบบและโครงสร้างของตั๋วเรียกเก็บ - มาตรา 4
ว่าด้วยเรื่องคำสั่งต่างๆในการเรียกเก็บ ว่าควรมีรายละเอียดอะไรบ้าง เช่น -รายละเอียดของธนาคารที่รับตั๋วเรียกเก็บ -รายละเอียดของผู้ส่งเรียกเก็บ -รายละเอียดของผู้จ่าย -รายละเอียดของธนาคารผู้ยื่นเรียกเก็บ -รายละเอียดของยอดเงิน และสกุลเงิน -รายละเอียดของเอกสารที่ส่งเรียกเก็บ
-รายละเอียดของเงื่อนไขการเรียกเก็บ -รายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายต่างๆ รายละเอียดที่ผู้ฝากเรียกเก็บระบุมานั้นต้องสมบูรณ์ครบถ้วน เพราะธนาคารจะไม่รับผิดชอบใดๆในผลกระทบอันเนื่องจากระบุคำสั่ง หรือเงื่อนไขต่างๆ
หมวดที่ว่าด้วยเรื่องรูปแบบในการยื่นเรียกเก็บเงิน
ว่าด้วยเรื่องการยื่นตั๋วเพื่อเรียกเก็บ เริ่มต้นก็ให้คำนิยามของคำว่า การยื่นตั๋ว คือการที่ธนาคารผู้ยื่นตั๋วยื่นเอกสารให้แก่ผู้จ่ายเงิน แล ะในมาตรานี้ก็ระบุมาว่าธนาคารที่เกี่ยวข้องในการยื่นตั๋วนั้นมีสิทธิที่จะจัดส่งเอกสารไปยังธนาคารอื่นอันสมควร หากจำเป็นขึ้นมา มาตรา 6 ว่าด้วยเรื่องชนิดของ คำว่า Sight และคำว่า Acceptance ว่าเป็นอย่างไร มาตรา 7 ว่าด้วยเรื่องการปล่อยเอกสารทางการค้า ว่ามีอยู่ 2 ประเภทคือ -ปล่อยเอกสารเมื่อได้รับการชำระเงิน (D/P) -ปล่อยเอกสารเมื่อได้รับการรับรองการจ่ายเงิน(D/A)
และมาตรานี้ก็ได้กล่าวถึงถ้าคำสั่งการปล่อยตั๋วนั้นไม่ได้ระบุว่าเป็นอย่างไรมา ธนาคารจะถือว่าเป็นแบบD/P มาตรา 8 ว่าด้วยเรื่องเอกสารที่จัดทำขึ้นมา โดยที่ไม่มีมากับเอกสารที่ยื่นเรียกเก็บ ก็จะให้ถือว่าผู้จัดส่งต้องยื่นมา และถ้าผู้ที่รับปฏิบัติต่อมา จะไม่รั บผิดชอบต่อเอกสารที่ตนได้จัดทำขึ้นมา พูดง่ายๆคือถ้าลื้อไม่ส่งแบบฟอร์มว่าเป็นอย่างไร ถ้าอั้วทำให้แทนก็ไม่รับผิดชอบ
หมวดที่ว่าด้วยเรื่องภาระและความรับผิดชอบต่างๆ ว่าด้วยเรื่องความสุจริต และการการปฏิบัติอย่างสมเหตุสมผล ก็ไม่มีอะไรมากเพียงระบุว่า ธนาคารต่างๆจะกระทำการใดๆ โดยสุจริต และสมเหตุผล มาตรา 10
ว่าด้วยเรื่องเอกสาร/บริการ/การปฏิบัติต่างๆ เริ่มต้นมาตรานี้ระบุชัดเจนน่ะว่าผู้ฝากเรียกเก็บตั๋วต้องไม่จัดส่งสินค้า หรือร ะบุ ผู้รับสินค้ าเป็นธนาคาร (มักจะเจอในกรณีที่ B/Lระบุ Consignee เป็นชื่อธนาคาร) โดยที่ยังไม่ได้รับความยินยอมจากธนาคารดังกล่าวก่อน มิฉะนั้น ธนาคา รดังกล่าวไม่ต้องรับผิดชอบผลที่เกิดขึ้นทั้งสิ้น และมาตรานี้ส่วนใหญ่ก็กล่าวถึงความไม่ต้องรับผิดชอบของบรรดา ธนาคารต่างๆในการกระทำใดๆใ นตัวสินค้าเช่นการทำประกันภัยสินค้าให้ เป็นต้น (ดูแล้วหมวดนี้จะพยายามบอกเราว่าธนาคารต่างๆที่เกี่ยวข้องจะไม่รับผิดชอบกับผลต่างๆที่อาจเกิดขึ้นทั้งสิ้น ถือว่าตนเป็นเพียงผู้จัดส่ง หรือ Messenger แค่นั้นเอง)
มาตรา 11 ว่าด้วยเรื่องการไม่รับผิดชอบในสิ่งที่คนอื่นสั่งมา มาตรานี้ก็เช่นกันที่จะพยายามบอกเราว่าใครสั่งทำอะไรคนนั้นรับผิดชอบ ผู้รับคำสั่งจะทำหรือไม่อีกเรื่องหนึ่ง มาตรา 12
ว่าด้วยเรื่องการไม่รับผิดชอบในเอกสารที่ได้รับมา ก็จะบอกไว้อีกนั่นแหละว่าผู้ที่จัดส่งเอกสารต้องรับผิดในเรื่องความถูกต้อง ครบถ้วน ของเอกสารเอาเอง ผู้รับต่อมาไม่สนใจ มาตรา 13 ว่าด้วยเรื่องการไม่รับผิดชอบในผลที่จะเกิดขึ้นของเอกสารต่างๆ ก็อีกนั่นแหละที่จะบอกว่า ธนาคารไม่รับผิดชอบในตัวเอกสาร ต่างๆ จ ะเก๊ จริง ปลอม อย่างไรฉันไม่สนว่างัน มาตรา 14 ว่าด้วยเรื่องการไม่รับผิดชอบในการล่าช้า เสียหาย ตกล่นของการสื่อสาร หรือการแปลความต่างๆทั้งสิ้นทั้งปวง (จะเน้นว่า ธนาคารไม่ต้องรับผิด) มาตรา 15
ว่าด้วยเรื่องเหตุสุดวิสัย ว่าธนาคารไม่ต้องรับผิดชอบในผลกระทบที่เกิดจาก ภัยธรรมชาติ การจราจล สงคราม การก่อความวุ่นวาย และ อื่นๆ อีกมากมายที่ตนควบคุมไม่ได้ว่างันเถอะ หมวดที่ว่าด้วยเรื่องการชำระเงิน
ว่าด้วยเรื่องการชำระเงินต้องไม่ชักช้า ไอ้คำว่าไม่ชักช้า(without Delay)ก็ไม่รู้เป็นกี่วัน กี่เดือนกันแน่เหมือนกันแล้วแต่จะเถียงกัน มาตรา 17 ว่าด้วยเรื่องการชำระเงินเป็นสกุลเงินท้องถิ่น ก็พูดถึงว่าธนาคารที่เรียกเก็บเงินก็จะเรียกเก็บเงินสกุลดังกล่าวนั้น ถ้ามันสามารถจัดการดังกล่าวได้ มาตรา 18
ว่าด้วยเรื่องการชำระเงินเป็นสกุลเงินต่างประเทศ ก็พูดถึงว่าธนาคารที่เรียกเก็บเงินจะเรียกเก็บเงินสกุลต่างประเทศถ้าสกุลนั้น สามารถที่จะโอน หรือจัดการได้ มาตรา 19 ว่าด้วยเรื่องการชำระเงินบางส่วน สรุปว่าถ้าไม่ได้ระบุเป็นอย่างอื่นธนาคารที่เรียกเก็บเงินจะปล่อยเอกสารให้ก็ต่อเมื่อได้รับการ ชำระเงินครบถ้วนแล้วเท่านั้น
หมวดที่ว่าด้วยเรื่องดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย - มาตรา 20
ว่าด้วยเรื่องดอกเบี้ย
สรุปได้ว่าผู้ส่งตั๋วเรียกเก็บจะต้องระบุรายละเอียดในเรื่องดอกเบี้ยที่จะให้จัดเก็บชัดเจน เช่นอัตรา ระย ะเวลา ฐา นในการคิด(360/365) และถ้าผู้จ่ายปฏิเสธจะจ่ายธนาคารที่เรียกเก็บเงินก็ O.K ได้น่ะ ถ้าผู้ส่งตั๋วเรียกเก็บไม่ได้ระบุห้ามไว้ว่าห้าม ละเว้นการเรียกเก็บดอกเบี้ยนั้น - มาตรา 21
ว่าด้วยเรื่องค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่าย สรุปว่าถ้ามีคำสั่งในการเรียกเก็บจำพวกค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่าย แล้วผู้จ่ายปฏิเสธ จะจ่า ยก็ได้ (ถ้าคำสั่งไม่ได้ระบุว่าห้ามละเว้นการเก็บ) และผู้สั่งทำอะไรต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่าย และธรรมเนียมอันเกิดขึ้น
หมวดที่ว่าด้วยเรื่องอื่นๆ - มาตรา 22
ว่าด้วยเรื่องการรับรองตั๋ว คือธนาคารผู้ยื่นตั๋วต้องรับผิดชอบในการรับรองว่าครบถ้วน และถูกต้องหรือไม่ แต่ไม่ต้องสนใจว่า ลายเซ็นถู กต้อง หรือมีอำนาจลงนามหรือเปล่า - มาตรา 23
ว่าด้วยเรื่องตั๋วสัญญาใช้เงิน และเอกสารสิทธิประเภทอื่น ว่าธนาคารผู้ยื่นตั๋วไม่มีภาระรับผิดชอบในลายเซ็น ว่าจริง/เท็จ หรือ มีอำนาจหรือไม่ - มาตรา 24
ว่าด้วยเรื่องการคัดค้าน (Protest) สรุปไว้ว่าคำสั่งการเรียกเก็บควรมีคำสั่งเกี่ยวกับการคัดค้านไว้ด้วย ถ้าหากไม่มีธนาคาร ก็จะไม่ต้อง ทำ และถ้ามีค่าใช้จ่ายผู้สั่งต้องรับผิดชอบ (การคัดค้าน : เป็นศัพท์กฏหมายหมายถึงการดำรงสิทธิในการฟ้องร้องเอาแก่ ผู้จ่ายเงินในกรณีผู้จ่ายไม่จ่าย หรือไม่รับรอง) - มาตรา 25
ว่าด้วยเรื่อง Case of Need(ยามต้องการ) ฟังดูก็แปลกหูน่ะ คือคำสั่งในการเรียกเก็บนั้นสามารถระบุมอบสิทธิในการกระทำสิ่งใดๆ ให้แ ก่บุคคลหนึ่งใดในกรณีที่อาจเกิดขึ้นในการเรียกเก็บ เช่นกรณี ไม่ได้รับการชำระเงิน หรือกรณีไม่ได้รับการรับรองตั๋ว - มาตรา 26
ว่าด้วยเรื่องการแจ้งต่างๆ แบ่งเป็น -แบบฟอร์มการแจ้ง -วิธีการแจ้ง
-การแจ้งการชำระเงิน/การรับรองตั๋ว/การไม่ได้รับการชำระเงิน/การไม่ได้รับการรับรองตั๋ว
|