![]() |
|||||||||||||||||
![]() |
|||||||||||||||||
สำนักงานประกันสังคมจังหวัดกาญจนบุรี
|
|||||||||||||||||
![]() |
|||||||||||||||||
http://www.oocities.org/ssokanchanaburi
|
|
||||||||||||||||
กองทุนเงินทดแทน | |||||||||||||||||
กองทุนประกันสังคม | 1.
กองทุนเงินทดแทนคืออะไร 2. ใครเป็นผู้มีหน้าที่จ่ายเงินสมทบและผู้ได้รับประโยชน์ 3. เงินสมทบคืออะไร 4. นายจ้างในกิจการใดบ้าง มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบ 5. กำหนดเวลายื่นแบบขึ้นทะเบียน 6. สถานที่ยื่นแบบขึ้นทะเบียน 7. เอกสารอะไรบ้างที่ต้องนำมาในวันยื่นแบบ 8. ใครจะเป็นผู้ยื่นแบบขึ้นทะเบียน 9. หากนายจ้างมีสำนักงานหลายสาขาจะยื่นแบบขึ้นทะเบียนได้ที่ไหน 10. เมื่อนายจ้างยื่นแบบขึ้นทะเบียนแล้วจะได้รับอะไรเป็นหลักฐาน 11. นายจ้างจะต้องจ่ายเงินสมทบประจำปีเมื่อใด 12. หากไม่นำส่งเงินสมทบ หรือส่งไม่ครบจะทำอย่างไร 13. เมื่อใดที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับการคุ้มครอง 14. การประสบอันตรายเนื่องจากการทำงานให้นายจ้างหมายความว่าอย่างไร 15. การเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงานหมายความว่าอย่างไร 16. สูญหาย หมายความว่าอย่างไร 17. เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็ยป่วยเนื่องจากการทำงาน จะได้รับอะไรบ้าง 18. ค่ารักษาพยาบาลได้แก่อะไร 19. กรณีแพทย์ให้หยุดพักรักษาตัวจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง 20. กรณีสูญเสียอวัยวะจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง 21. กรณีทุพลภาพจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง 22. กรณีถึงแก่ความตาย หรือสูญหายจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง 23. ค่าทดแทนจะได้รับเมื่อไรและจำนวนเท่าใด 24. ถ้าลูกจ้างตาย หรือสูญหายใครเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินทดแทน 25. นายจ้างต้องปฏิบัติอย่างไรบ้างเมื่อลูกจ้างประสบอันตราย 26. การแจ้งการประสบอันตรายทำโดยวิธีใดบ้าง 27. ลูกจ้างจะเข้ารับการรักษาที่ใดได้บ้าง 28. จะเบิกค่ารักษาพยาบาลได้อย่างไร 29. เมื่อมารับเงินใช้หลักฐานอะไรบ้าง 30. กิจการที่กฎหมายยกเว้น |
||||||||||||||||
ข้อมูลสำหรับนายจ้าง | |||||||||||||||||
ข้อมูลสำหรับลูกจ้าง/ผู้ประกันตน | |||||||||||||||||
ลิงค์ | |||||||||||||||||
หน้าแรก | |||||||||||||||||
1. กองทุนเงินทดแทนคืออะไร | |||||||||||||||||
กองทุนเงินทดแทน เป็นกองทุนตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 เพื่อเป็นทุนในการจ่ายเงินทดแทนให้แก่ลูกจ้างแทนนายจ้างเมื่อลูกจ้างประสบอันตราย หรือเจ็บป่วย หรือถึงแก่ความตาย หรือสูญหายเนื่องจากการทำงานให้นายจ้าง | |||||||||||||||||
2. ใครเป็นผู้มีหน้าที่จ่ายเงินสมทบและผู้ได้รับประโยชน์ | |||||||||||||||||
นายจ้างเป็นผู้มีหน้าที่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทนเพียงฝ่ายเดียว เพียงปีละ 1 ครั้ง มีลักษณะเหมือนเบี้ยประกัน และเมื่อลูกจ้างทำงานให้แก่นายจ้างแล้วเกิดประสบอันตราย ลูกจ้างก็จะมีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากกองทุนเงินทดแทน ซึ่งประกอบด้วยค่ารักษาพยาบาล ค่าทดแทนรายเดือน ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานและค่าทำศพ | |||||||||||||||||
3. เงินสมทบคืออะไร | |||||||||||||||||
เงินสมทบ คือ เงินที่นายจ้างสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทน ซึ่งสำนักงานประกันสังคมจะทำการเรียกเก็บจากนายจ้างเป็นรายปี โดยแจ้งจำนวนเงินที่นายจ้างต้องจ่ายให้ทราบตามใบแจ้งเงินสมทบ เงินสมทบนี้จะคิดจากค่าจ้างที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างทั้งปีรวมกัน คูณด้วยอัตราเงินสมทบของประเภทกิจการนั้น โดยนายจ้างแต่ละประเภทจะจ่ายในอัตราเงินสมทบหลักที่ไม่เท่ากันระหว่างอัตรา 0.2%-1.0% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเสี่ยงภัยตามลักษณะงานของกิจการนายจ้าง นายจ้างต้องจ่ายเงินสมทบตามอัตราหลัก 4 ปีติดต่อกันและในปีที่ 5 เป็นต้นไป จะมีการคำนวณอัตราส่วนการสูญเสียเพื่อลดหรือเพิ่มอัตราเงินสมทบให้นายจ้าง | |||||||||||||||||
4. นายจ้างในกิจการใดบ้าง มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบ | |||||||||||||||||
นายจ้างในทุกประเภทกิจการและทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักรที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไปมีหน้าที่จ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน เว้นแต่ กิจการที่กฎหมายยกเว้น | |||||||||||||||||
5. กำหนดเวลายื่นแบบขึ้นทะเบียน | |||||||||||||||||
นายจ้างจะต้องมีหน้าที่ยื่นแบบขึ้นทะเบียนกองทุนเงินทดแทนภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คน | |||||||||||||||||
6. สถานที่ยื่นแบบขึ้นทะเบียน | |||||||||||||||||
กำหนดให้นายจ้างยื่นแบบขึ้นทะเบียนได้
ณ ท้องที่ ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ ในเขตกรุงเทพมหานคร ยื่นแบบขึ้นทะเบียนได้ที่สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ ในเขตต่างจังหวัด ยื่นแบบขึ้นทะเบียนได้ที่สำนักงานประกันสังคมจังหวัด |
|||||||||||||||||
![]() |
7. เอกสารอะไรบ้างที่ต้องนำมาในวันยื่นแบบ | ||||||||||||||||
กรณีจดทะเบียนนิติบุคคล | |||||||||||||||||
1. แบบขึ้นทะเบียนนายจ้าง
(สปส.1-01) 2. สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคลพร้อมวัตถุประสงค์ 3. สำเนาใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) หรือสำเนาคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.01) หรือสำเนาภาษีธุรกิจเฉพาะ (ภ.ธ.20) หรือสำเนาใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (ร.ง.4) 4. แผนที่ตั้งของสถานประกอบการ 5. หนังสือมอบอำนาจ (เฉพาะกรณีมอบอำนาจให้บุคคลอื่นกระทำแทน พร้อมติดอากรแสตมป์ตามที่ประมวลรัษฎากรกำหนด) |
|||||||||||||||||
กรณีเจ้าของคนเดียว | |||||||||||||||||
1. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
(คนต่างด้าวใช้สำเนาหนังสือเดินทางหรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว) 2. สำเนาใบทะเบียนบ้าน 3. สำเนาใบทะเบียนพาณิชย์หรือสำเนาใบอนุญาตให้ประกอบกิจการที่ออกโดยกฎหมายอื่น ซึ่งระบุชื่อที่อยู่ชัดเจน 4. สำเนาบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากรหรือสำเนาใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) หรือสำเนาภาษีธุรกิจเฉพาะ (ภ.ธ.20) หรือสำเนาใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (ร.ง.4) 5. แผนที่ตั้งของสถานประกอบการ 6. หนังสือมอบอำนาจ (เฉพาะกรณีมอบอำนาจให้บุคคลอื่นกระทำแทน พร้อมติดอากรแสตมป์ตามที่ประมวลรัษฎากรกำหนด) |
|||||||||||||||||
8. ใครจะเป็นผู้ยื่นแบบขึ้นทะเบียน | |||||||||||||||||
นายจ้างจะมายื่นแบบขึ้นทะเบียนด้วยตนเอง หรือมอบอำนาจให้บุคคลอื่นมาทำการแทนได้ โดยทำหนังสือมอบอำนาจติดอากรแสตมป์ 30 บาท แนบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบและผู้รับมอบอำนาจ | |||||||||||||||||
9. หากนายจ้างมีสำนักงานหลายสาขาจะยื่นแบบขึ้นทะเบียนได้ที่ไหน | |||||||||||||||||
นายจ้างที่มีสำนักงานสาขา หรือมีลูกจ้างทำงานในหลายจังหวัด จะต้องยื่นแบบขึ้นทะเบียน และจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน รวมกันเพียงแห่งเดียว ณ เขตท้องที่ ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ โดยแจ้งรายละอียดสถานที่ตั้งและจำนวนลูกจ้างรวมของสาขาไว้ด้วย | |||||||||||||||||
10. เมื่อนายจ้างยื่นแบบขึ้นทะเบียนแล้วจะได้รับอะไรเป็นหลักฐาน | |||||||||||||||||
1. เลขที่บัญชี
ซึ่งเป็นเลขเดียวกับกองทุนประกันสังคมเพื่อใช้อ้างอิงในการติดต่อ 2. ใบแจ้งเงินสมทบ เพื่อแจ้งให้นายจ้างทราบถึงจำนวนเงินสมทบที่จะต้องจ่ายเข้ากองทุนพร้อมทั้งกำหนดวันที่นายจ้างจะต้องนำเงินมาจ่าย 3. หนังสือสำคัญแสดงการขึ้นทะเบียน |
|||||||||||||||||
![]() |
11. นายจ้างจะต้องจ่ายเงินสมทบประจำปีเมื่อใด | ||||||||||||||||
กองทุนเงินทดแทนจะเรียกเก็บเงินสมทบจากนายจ้างเป็นรายปี (ปีละ 1 ครั้ง) โดยในปีแรกนายจ้างจะต้องจ่ายเงินสมทบภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คน สำหรับปีต่อ ๆ ไปจ่ายภายในเดือนมกราคมของทุกปี เงินสมทบที่เรียกเก็บเมื่อต้นปีนั้น คิดมาจากจำนวนเงินค่าจ้างที่ได้ประมาณการไว้ล่วงหน้าซึ่งอาจไม่เท่ากับค่าจ้างจริงที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากในระหว่างปี นายจ้างอาจมีการเพิ่มหรือลดจำนวนลูกจ้าง ปรับอัตราค่าจ้าง เป็นต้น ดังนั้น ในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีจึงให้นายจ้างแจ้งจำนวนค่าจ้างรวมทั้งปีของปีที่ผ่านมา มายังสำนักงานอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะได้นำไปเปรียบเทียบกับเงินสมทบที่เก็บไว้เมื่อต้นปี หากเงินสมทบที่เก็บไว้เดิมน้อยกว่า ก็จะเรียกเก็บเพิ่ม ภายใน 31 มีนาคม หากจำนวนเงินค่าจ้างรวมทั้งปีต่ำกว่าเดิมนายจ้างจะได้รับเงินสมทบส่วนที่จ่ายเกินไว้คืนไป | |||||||||||||||||
12. หากไม่นำส่งเงินสมทบ หรือส่งไม่ครบจะทำอย่างไร | |||||||||||||||||
นายจ้างผู้ใดไม่จ่ายเงินสมทบภายในกำหนดเวลาหรือจ่ายเงินสมทบไม่ครบจำนวน ต้องเสียเงินเพิ่มอีก 3 % ต่อเดือนของเงินสมทบที่ต้องจ่าย | |||||||||||||||||
13. เมื่อใดที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับการคุ้มครอง | |||||||||||||||||
สิทธิจะเกิดขึ้นทันทีเมื่อนายจ้างมีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คน โดยนายจ้างมีหน้าที่ต้องขึ้นทะเบียน ภายใน 30 วัน ตามที่กฎหมายกำหนด | |||||||||||||||||
14. การประสบอันตรายเนื่องจากการทำงานให้นายจ้างหมายความว่าอย่างไร | |||||||||||||||||
การที่ลูกจ้างได้รับบาดเจ็บ หรือสูญเสียอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย หรือมีผลกระทบแก่จิตใจ หรือทุพพลภาพ หรือตาย หรือสูญหาย เนื่องจากการทำงานให้นายจ้าง | |||||||||||||||||
15. การเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงานหมายความว่าอย่างไร | |||||||||||||||||
การที่ลูกจ้างป่วยด้วยโรคซึ่งเกิดขึ้นตามลักษณะ หรือสภาพของงานหรือเนื่องจากการทำงาน | |||||||||||||||||
16. สูญหาย หมายความว่าอย่างไร | |||||||||||||||||
การที่ลูกจ้างสูญหายไปในระหว่างการทำงานหรือปฏิบัติงานตามคำสั่งของนายจ้าง รวมตลอดถึงหายไป ในระหว่างการเดินทางโดยพาหนะทางบก ทางอากาศหรือทางน้ำ ซึ่งมีเหตุอันควรเชื่อว่า พาหนะนั้นประสบเหตุอันตรายและลูกจ้างตาย ทั้งนี้ต้องเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 120 วัน | |||||||||||||||||
17. เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็ยป่วยเนื่องจากการทำงาน จะได้รับอะไรบ้าง | |||||||||||||||||
ได้รับเงินทดแทน ซึ่งประกอบด้วย ค่ารักษาพยาบาล ค่าทดแทนรายเดือน ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงาน และค่าทำศพ | |||||||||||||||||
18. ค่ารักษาพยาบาลได้แก่อะไร | |||||||||||||||||
ได้แก่ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น ไม่เกิน 35,000 บาท ต่อการเจ็บป่วยหรือประสบอันตราย 1 ครั้ง หากเกินกว่า 35,000 บาท ให้เบิกเพิ่มตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด อีกไม่เกิน 50,000 บาท | |||||||||||||||||
![]() |
19. กรณีแพทย์ให้หยุดพักรักษาตัวจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง | ||||||||||||||||
ได้รับค่ารักษาพยาบาล และค่าทดแทนจำนวน 60% ของค่าจ้างรายเดือน หากต้องหยุดพักรักษาตัวติดต่อกันเกิน 3 วันขึ้นไป แต่ไม่เกิน 1 ปี | |||||||||||||||||
ได้รับค่ารักษาพยาบาล
ค่าทดแทน จำนวน 60% ของค่าจ้างรายเดือนในการหยุดพักรักษาตัว และค่าทดแทน 60%
ของค่าจ้างรายเดือนในการสูญเสียอวัยวะไม่เกิน 10 ปี กรณีที่ลูกจ้างจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟู
จะได้รับค่าฟื้นฟูดังนี้ 1. ค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูด้านการแพทย์และอาชีพเท่าที่จ่ายจริง ไม่เกิน 20,000 บาท 2. ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดเพื่อประโยชน์ในการฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงาน ไม่เกิน 20,000 บาท |
|||||||||||||||||
21. กรณีทุพลภาพจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง | |||||||||||||||||
ได้รับค่ารักษาพยาบาล ค่าทดแทน จำนวน 60 % ของค่าจ้างรายเดือนในการหยุดพักรักษาตัว และค่าทดแทน 60% ของค่าจ้างรายเดือน กรณีทุพพลภาพ เป็นเวลาไม่เกิน 15 ปี | |||||||||||||||||
22. กรณีถึงแก่ความตาย หรือสูญหายจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง | |||||||||||||||||
ได้รับค่าทำศพเป็นเงิน 100 เท่า ของอัตราสูงสุดของค่าจ้างขั้นต่ำรายวันและค่าทดแทน 60% ของค่าจ้างรายเดือน เป็นเวลา 8 ปี | |||||||||||||||||
23. ค่าทดแทนจะได้รับเมื่อไรและจำนวนเท่าใด | |||||||||||||||||
เมื่อมีการหยุดงาน สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพ ตาย หรือสูญหาย จะได้รับในอัตรา 60% ของค่าจ้างรายเดือน ไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท และไม่เกิน 9,000 บาทต่อเดือน | |||||||||||||||||
24. ถ้าลูกจ้างตาย หรือสูญหายใครเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินทดแทน | |||||||||||||||||
1. บิดา
มารดา 2. สามี/ภรรยา 3. บุตรที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี 4. บุตรที่ทุพพลภาพ หรือจิตฟั่นเฟือน ไม่สมประกอบ และอยู่ในความอุปการะของลูกจ้าง 5. หากไม่มีบุคคลดังกล่าวข้างต้นให้ผู้อยู่ในความอุปการะของลูกจ้างเป็นผู้มีสิทธิ |
|||||||||||||||||
25. นายจ้างต้องปฏิบัติอย่างไรบ้างเมื่อลูกจ้างประสบอันตราย | |||||||||||||||||
จัดให้ลูกจ้างได้รับการรักษาพยาบาลทันที และแจ้งเจ้าหน้าที่ ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ทราบ ลูกจ้างสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลใดก็ได้โดยทดรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปก่อน หรือใช้แบบ กท.44 ส่งตัวลูกจ้างเข้ารับการรักษา หากโรงพยาบาลนั้นเป็นโรงพยาบาลในความตกลงกับกองทุนเงินทดแทน | |||||||||||||||||
26. การแจ้งการประสบอันตรายทำโดยวิธีใดบ้าง | |||||||||||||||||
แจ้งตามแบบ กท.16 โดยนายจ้างหรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจ และจะต้องแจ้งภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ทราบ | |||||||||||||||||
![]() |
27. ลูกจ้างจะเข้ารับการรักษาที่ใดได้บ้าง | ||||||||||||||||
สถานพยาบาลทุกแห่งที่มีแพทย์แผนปัจจุบัน ชั้น 1 เป็นผู้ทำการรักษา | |||||||||||||||||
28. จะเบิกค่ารักษาพยาบาลได้อย่างไร | |||||||||||||||||
ให้นำใบเสร็จรับเงินมาเบิกคืนได้ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่จ่าย แต่ถ้าทำการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลที่ทำความตกลงกับกองทุน สถานพยาบาลนั้นจะเรียกเก็บเงินจากกองทุนโดยตรง | |||||||||||||||||
29. เมื่อมารับเงินใช้หลักฐานอะไรบ้าง | |||||||||||||||||
บัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรอื่นที่ทางราชการออกให้ ซึ่งมีรูปถ่ายด้วย หากไม่ได้มารับด้วยตนเองจะต้องมีใบมอบฉันทะพร้อมทั้งบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบและผู้รับมอบมาแสดงด้วย | |||||||||||||||||
30. กิจการที่กฎหมายยกเว้น | |||||||||||||||||
1. ราชการส่วนกลาง
ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น 2. รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ 3. นายจ้างซึ่งประกอบธุรกิจโรงเรียนเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับครูหรือครูใหญ่ 4. นายจ้างซึ่งดำเนินกิจการที่มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจ 5. นายจ้างอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง หากเป็นนายจ้างของลูกจ้างตามกฎหมายแรงงาน เช่น ลูกเรือประมง หรือเป็นลูกจ้างของร้านค้าหาบเร่ แผงลอย(ที่ไม่มีเลขที่) เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายเนื่องจากการทำงาน ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่กองทุนเงินทดแทน เพื่อออกคำสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินทดแทนแก่ลูกจ้างตามสิทธิ |
|||||||||||||||||
สำนักงานประกันสังคมจังหวัดกาญจนบุรี |
|||||||||||||||||
![]() |