เมาเซอร์ออกศึก
ในปีต่อมาได้มีผู้นำศาสนาในซูดานรวบรวมคนจัดเป็นกองทัพขับไล่อิทธิพลอังกฤษ และรุม สังหารนายพลกอร์ดอนที่เมืองคาร์ทูม ลอร์ดคิดเช่นเน่อร์จึงนำทัพจากอียิปต์ 20,000 คน ล่องแม่น้ำไนล์
มาเพื่อปะทะกับเหล่าสาวกที่เรียกว่าพวกเดอร์วิช (Dervishs) คราวนี้เชอร์ชิลล์แอบมาอยู่กับกองพัน ทหารม้าแลนเซอร์ที่ 21 (ทหารม้าถือทวนยาว) ที่ต้องแอบมาเพราะท่านแม่ทัพไม่ชอบหน้าเนื่องจากไป
เขียนวิจารณ์วิธีการรบของท่านเข้า ทำนองเป็นเพียงนายร้อยแต่มาสอนนายพล ท่านลอร์ดเหม็นหน้า เชอร์ชิลล์ไปจนถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เมื่อโชคชะตาพาโคจรมาพบกันอีก คนหนึ่งในฐานะ รมต.
อีกคนหนึ่งในฐานะจอมพลมีอำนาจสูงสุดของกองทัพ
แลนเซอร์ที่ 21 ถูกส่งไปเป็นกองตะเวนหน้า มีเชอร์ชิลล์ออกไปหน้าสุด ได้พบกับทัพใหญ่ของ พวกเดอร์วิชถึง 60,000 คน ที่หวังจะตีทหารอังกฤษให้ตกแม่น้ำไนล์ แม่ทัพใหญ่จึงสั่งให้ถอยมาตั้ง
รับใกล้แม่น้ำเพื่อจะได้รับการยิงสนับสนุนจากปืนใหญ่และปืนเรือบนเรือกลไฟลำเลียงพล เมื่อแนชัดว่า การรบจะมีในเช้าวันรุ่งขึ้นเชอร์ชิลล์จึงหาโอกาสทักทายกับพวกทหารเรือเพื่อขอแบ่งวิสกี้ และได้รู้จัก
กับนายเรือหนุ่มชื่อบีทตี้ (Beatty) ซึ่งทั้งคู่โคจรมาพบในสงครามโลกเช่นกันเมื่อเชอร์ชิลล์เป็น รมต. กระทรวงทหารเรือ ส่วนบีทตี้เป็นนายพลเรือที่หนุ่มที่สุด และนำกองเรือลาดตระเวนอังกฤษวิ่งเข้าล่อ
กองทัพเรือเยอรมันทั้งกองให้ตามยิงในศึกจัทแลนด์ (Battle of Jutland)
ผมคงจะข้ามการรบของพวกเดอร์วิชไป เพราะคงจะยาก ที่ชาวพื้นเมืองจะสู้ปืนใหญ่อาร์มสตรอง ได้และวิ่งหนีกระเจิงกลับเมืองไป ทหารม้าแลนเซอร์จึงได้รับคำสั่งให้ออกรุกไล่ โดยมีเชอร์ชิลล์
บังคับทหารหมวดหนึ่ง มีทหารม้าประมาณ 25 นาย
|