EVE Burst Error
ภาค โคะจิโร่
วันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 19xx
พบ
"เหวอ!" ผมอุทานขึ้นเสียงดัง ทันทีที่เห็นสภาพของ
สำนักงานตัวเอง
ใครกัน เอาเชือกมาผูกทำราว แล้วตากเสื้อผ้าไว้
เต็มทั้งห้องเลย เอ๊ะ! เสื้อผ้าของผมเองทั้งนั้นนี่นา
ใครมาเห็นเข้าต้องนึกว่านี่เป็นดาดฟ้าของแมนชั่น
หรือคอนโดมิเนียมที่ไหนสักแห่งแน่ ที่เขาตากผ้ากัน
เต็มดาดฟ้า แต่นี่มันสำนักงานนักสืบของผมนะ
โอย! อยากร้องไห้
"พริน!" ผมเรียกเสียงดัง
"เจ้าค่ะ" เสียงตอบรับมาทันที แล้วเจ้าตัวก็ลากรอง
เท้าแตะเดินออกมาจากด้านในสำนักงาน
"ฝีมือเราสิเนี่ย" ผมถามเสียงเข้ม
"เจ้าค่ะ" พรินตอบ "เสื้อผ้ามันมีเยอะค่ะ ก็เลยตาก
ไว้เต็มไปหมดเลย ฮิ ฮิ"
"เครื่องปั่นแห้งมีทำไมไม่ใช้"
"หนูไม่ชอบใช้นี่คะ มันจะทำให้เนื้อผ้าเสียหมด"
"เก็บไปเข้าเครื่องปั่นแห้งให้หมดเดี๋ยวนี้!" ผมออก
คำสั่ง "อะไรกัน เอาสำนักงานมาเป็นที่ตากผ้าได้ยัง
ไง ลูกค้ามาเห็นสภาพเข้าวิ่งหนีหมด"
"คุณโคะจิโร่ไม่พอใจหรือคะ?" พรินถามเสียงอ่อย ๆ
ทำหน้าเหย
"ก็ใช่นะสิ เก็บซะพวกเสื้อผ้าที่ตากไว้นี่น่ะ" ผมตอบ
แต่ลดระดับความเข้มลงเมื่อเห็นสีหน้าของพริน
"เจ้าค่ะ จะเก็บไปเข้าเครื่องปั่นแห้งเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ"
พรินตอบ แล้วก็หันไปเก็บเสื้อที่ตากอยู่สี่ห้าชุด นำ
ไปเข้าเครื่องปั่นแห้งที่ด้านในสำนักงาน เฮ้อ! ของ
ผมซื้อไว้ครบทั้งเครื่องซักผ้า เครื่องปั่นแห้ง ก็ไม่
ยอมใช้ให้ครบ ใช้แต่เครื่องซักผ้า แล้วมาตากเอานี่
นะ
ทำงานดีกว่า...
ผมหันเข้าหาเครื่องคอมพิวเตอร์คู่ใจ คีย์ข้อมูลที่ได้
รับมาใหม่ทั้งหมดลงไป พลางคิดวิเคราะห์ข้อมูลที่
ได้ ถึงขณะนี้ ผมค่อนข้างจะได้คำตอบที่ชัดเจน
เกี่ยวกับรูปภาพนั้นแล้ว ว่าคำตอบอยู่ที่ข้อความใน
สมุดฉีกที่ผมค้นพบนั่นเอง การไปหาข้อมูลเกี่ยวกับ
รูปภาพเมื่อเช้านี้ถึงแม้ว่าจะไม่เชิงเสียเที่ยวนักแต่ก็
ใช่ว่าจะได้ข้อมูลที่ช่วยให้เข้าใกล้รูปนั้นเข้าไปอีกที
เดียว อย่างไรก็ตามที่ผมติดใจอยู่ก็คือ "คำสาปแช่ง"
ที่ติดมากับรูปภาพนั้นแหละครับ
ไม่ใช่ว่าผมจะเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ แต่สิ่งที่ทำให้ผม
สงสัยคือ นายโคซึ่งอ้างตัวว่าเป็นเจ้าของรูปควรจะ
ต้องทราบประวัติความเป็นมาของรูปนี้ดี แต่ทำไม
เขาถึงอุบเงียบไว้ ไม่ได้บอกผมนะว่ารูปนี้มีอาถรรพ์
ติดอยู่ เขาเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระหรืออย่างไร ที่
สำคัญที่สุด ถ้ารูปนี้มีอาถรรพ์จริงล่ะก็ มันก็ไม่น่า
จะเป็นสิ่งสำคัญที่จะใช้ในพิธีรำลึกถึงภรรยาที่ตาย
ไปแล้ว ตามที่นายโคอ้างนี่นา
'เอ คำสาปเขาว่าไงนะ' ผมนึก พลางล้วงเอาสมุด
โน้ตขึ้นมาดู และคีย์ข้อความนั้นลงคอมพิวเตอร์
ตามเคย
"สูเจ้าผู้ใด บังอาจแตะต้องของศักดิ์สิทธิ์นี้ สูจักถูก
ทำลายล้างด้วยศาสตราวุธอันคมกริบ แลวิญญาณ
ของสูเจ้าจักต้องโทษในนรกโลกันตร์มิได้ผุดได้เกิด"
หมายความว่ายังไงกันนะเจ้าโคลง หรือคำสาปแช่ง
บทนี้ อืมห์ จะว่าไปก็ไม่น่าถามเลย ความหมายก็
ชัดเจนอยู่แล้วว่า ใครก็ตามที่มาแตะต้องรูปภาพนี้ผู้
นั้นจะต้องมีอันเป็นไป โดยอาจจะถูกทำร้ายถึงแก่
ชีวิตด้วยอาวุธอันแหลมคมก็ได้ ส่วนประโยคหลัง
สุดก็คงเป็นแค่ส่วนเสริมแต่งต่างหากว่า และถึงแม้
ว่าผู้ 'บังอาจ' ผู้นั้นจะตายไปแล้ววิญญานก็ยังคง
ต้องไปทนทุกข์ทรมานในนรกอีก
ผมหรี่ตาลงอย่างใช้ความคิด สิ่งหนึ่งที่ผมสะดุดใจก็
คือ คำว่า 'ของศักดิ์สิทธิ์นี้' แวบแรกที่ได้ฟังประวัติ
ของภาพเขียนและของจิตรกรผู้สรรค์สร้างมันขึ้นมา
ย่อมต้องคิดว่าคำว่าของศักดิ์สิทธิ์ในโคลงดังกล่าว
หมายถึงภาพวาดนี้ นั่นเอง แต่ทำไมถึงใช้คำว่า "
ของศักดิ์สิทธิ์" ล่ะ ภาพวาดนี้มีอะไรพิเศษอย่างนั้น
หรือ ผมอดหยิบภาพถ่ายของภาพวาดนั้นขึ้นดูอีกที
ไม่ได้ พลางคิดถึงข้อความบรรยายที่ปรากฏใน
หนังสืออ้างอิงซึ่งคุณมะทสึโนะแปลให้ฟัง ก็ไม่มี
ส่วนไหนบ่งบอกว่า ลายเส้นนั้นเป็นตัวแทนหรือเป็น
สัญลักษณ์ที่แสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ หรือมีความ
หมายพิเศษในศาสนาอิสลามเลยแม้แต่น้อย
'ถ้าอย่างนั้น ก็ยังปักใจเชื่อไม่ได้รึเปล่า ว่าสิ่งศักดิ์
สิทธิ์นี้ จะเป็นตัวภาพวาดเอง อาจจะเป็นอย่างอื่นก็
ได้' ผมคิดเผื่อไว้ก่อน
อีกจุดหนึ่งที่สะกิดใจผมก็คือ คำว่า "ศาสตราวุธอัน
คมกริบ" อันนี้จะหมายถึงอะไร ถ้าจินตนาการตาม
เทพนิยายหรือนิทานปรำปรา ก็คงจะต้องนึกถึงดาบ
หรืออาวุธมีคมต่าง ๆ ล่ะ
แต่ที่สำคัญมันไปสอดคล้องกับการตายของนายเจ
เจอะไรนั่นซะด้วยสิ เพราะหมอฆ่าตัวตายด้วยมีด
อืมห์.... คิดต่อไปไม่ออกแล้วแฮะ พักแค่นี้ก่อนดี
กว่า ไสยศาสตร์ก็คือไสยศาสตร์ จะมามีจริงในโลก
สมัยใหม่อย่างนี้ได้ไง
ผมพักเรื่องคำสาปแช่งนี้ไปก่อน สิ่งต่อไปที่ผมควร
จะทำในตอนนี้คือ ตีความข้อความในสมุดฉีกนั่น
ต่างหากล่ะ โดยเฉพาะข้อความส่วนที่เป็นภาษา
อาหรับซึ่งผมยังไม่ทราบว่ามันเขียนว่าอะไร คุณ
มะทสึโนะคงจะช่วยเราได้ ไปรบกวนเธออีกทีดีไหม
หนอ?
ผมปิดไฟล์ข้อมูลในคอมพิวเตอร์ ปิดสวิทช์เครื่อง
แล้วเดินกลับไปที่กลางสำนักงาน
"พริน อยู่ไหน"
"อยู่นี่เจ้าค่ะ" เสียงลากรองเท้าแตะดังเตาะแตะๆ
เดินเข้ามา หน้าของเด็กสาวยังจ๋อย ๆ อยู่ "มีอะไร
หรือเจ้าคะ เอ่อ หนูกำลังปั่นแห้งเสื้อผ้าพวกนี้อยู่ค่ะ
อีกสองรอบก็หมดแล้วค่ะ คุณโคะจิโร่"
"ดีแล้ว ก็ทำไปเรื่อย ๆ ก็ละกัน" มองดูเสื้อผ้าที่ตาก
บน 'ราว' ในสำนักงานลดลงไปกว่าครึ่ง "นี่ฉันจะ
ออกไปข้างนอกอีกหน่อย ฝากดูออฟฟิศด้วยนะ"
"เจ้าค่ะ"
"แล้วก็ไปหาผู้ใหญ่ของเธอรึยัง?"
"ยังเจ้าค่ะ เดี๋ยวเก็บเสื้อผ้าพวกนี้หมดแล้ว หนูจะไป
ทันทีเลยเจ้าค่ะ"
"ดี ไปล่ะนะ"
...
"โอ้! สวัสดีครับคุณอะมะกิ เป็นอย่างไรบ้างครับ พบ
รูปภาพนั้นแล้วหรือครับ" คุณโคถามขึ้นด้วย
ประโยคเดิม ๆ หลังจากที่เชิญผมนั่งในโซฟาห้องรับ
แขกของบ้านตัวเอง แล้วตัวเองก็ทรุดตัวอันมหึมา
ลงไปนั่งด้วยแล้ว
"แหม คุณโคก็ ใจร้อนจังเลยนะครับ ยังไม่พบครับ
แต่ผมก็ได้เบาะแสค่อนข้างครบแล้วล่ะครับ"
"โอ! หรือครับ ผมดีใจจริง ๆ เลยครับที่ได้ยินคุณอะ
มะกิพูดอย่างนี้" คุณโคยิ้มแฉ่ง "มีอะไรจะถามผม
อีกหรือครับ"
"ครับ คือผมอยากจะขอดูสมุดฉีกเล่มเมื่อวานอีกที
นะครับ" ผมตอบ "แต่ก่อนอื่น... คุณโคครับ ทำไมไม่
บอกผมด้วยล่ะครับ ว่ารูปวาดที่คุณโคหาอยู่มี
อาถรรพ์ หรือคำสาปติดอยู่"
"ง่า...คุณอะมะกิทราบด้วยหรือครับเนี่ย แหะ ๆ "
นายโคหน้าเจื่อน แล้วก็หัวเราะกลบเกลื่อน "ผมเห็น
ว่ามันไม่จำเป็นต่อการสืบสวนของคุณน่ะครับ เลย
ไม่ได้บอก"
"จำเป็นหรือไม่จำเป็นคนที่จะตัดสินได้คือ ผมนะ
ครับ ไม่ใช่คุณ" ผมพูดเสียงเรียบ ๆ ชักฉุนเหมือนกัน
จะว่าไปแกก็ให้ความร่วมมือดีหรอก แต่ก็ปิดบังผม
หลายอย่างเหลือเกิน "อย่างข้อมูลที่ว่าคุณเป็นผอ.
โรงเรียนนักเรียนต่างชาติเอลเดีย คุณก็ไม่เคยบอก
ผม"
"อา... ขอโทษจริง ๆ ครับคุณโคะจิโร่ ก็อย่างที่บอก
แหละครับ ผมไม่คิดว่ามันจะเกี่ยวข้องกับรูปที่หาย
ก็เลยไม่ได้บอกน่ะครับ" นายโคหน้าเจื่อนอีก นัยน์
ตาทอประกายบางอย่างคล้ายไม่ไว้ใจผมขึ้นมา แต่
ผมไม่แน่ใจนักว่าผมอ่านถูกหรือเปล่า
"อ่า... แล้วมีอะไรที่คุณรู้ขึ้นมาอีกครับ" นายโคถาม
ขึ้น
"ก็ไม่มีแล้วล่ะครับ ... ขอโทษนะครับ ขอผมดูสมุด
ฉีกนั่นอีกทีนะครับ" ผมลุกขึ้นเดินไปทางตู้เอกสาร
มุมห้อง ดึงลิ้นชักตัวกลางแถวล่าง หยิบสมุดฉีกนั้น
ออกมาดูพร้อม ๆ กับที่มีเสียงออดหน้าบ้านดังขึ้น
คุณโคเลยเดินออกไปรับแขกคนใหม่
ขณะที่ผมกำลังจ้องกระดาษแผ่นบนสุดที่ผมฝนดิน
สอเอาไว้และลังเลใจว่าจะคัดลอกตัวอาหรับไป
อย่างไรดี หรือจะขอกระดาษแผ่นนี้ไปเลยดี คุณโค
ก็กลับเข้ามาพร้อมกับแขกอีกคน ซึ่งก็ไม่ใช่ใคร
"ไว้ใจเถอะครับ คุณโค ทางพวกผมจะสืบหารูปภาพ
ให้คุณได้ทันแน่นอนครับ" นายรถไฟชิงกังเซ็นนั่น
เอง "อ๊ะ! แก! นายอะมะกิ มาทำอะไรที่นี่"
"หวัดดีนาย นิไคโด" ผมทักขึ้นยิ้ม ๆ
"ผมชื่อ นิไคโด! อะ..." นายนิไคโดท้วงขึ้นตามความ
เคยชิน แต่แล้วก็นึกได้ว่าเสียทีผมอีกแล้ว เพราะ
คราวนี้ผมเรียกชื่อถูก "แก... เห็นผมเป็นตัวตลกอีก
แล้วเหรอ?"
ดวงตาของนายนิไคโดมองผมอย่างไม่เป็นมิตร แต่
แล้วก็ไปหยุดที่สมุดฉีกในมือของผม "อะ...นั่น"
พูดเหมือนกับรู้มาก่อนแฮะ ว่าสมุดฉีกนี่มีอะไรอยู่
และสำคัญอย่างไร ผมชูหน้าบนให้ดูซะเลย
"พวกนายคงยังไม่เห็นไอ้นี่สินะ" ผมถามอย่างกำชัย
ชนะ แต่แล้วก็นึกได้ ทางฝ่ายนั้นมุ่งประเด็นไปที่
โจรกรรมนี่นา เพราะฉะนั้นย่อมต้องไม่เห็นความ
สำคัญของเจ้าสมุดฉีกและข้อความนี้แน่
"แก... รื้อของซี้ซั้วตามใจชอบได้ไง นี่เป็นการ
โจรกรรมนะ ถ้าเรื่องต้องถึงมือตำรวจแล้วแกจะว่า
ยังไง จะช่วยเจ้าขโมยมันทำลายหลักฐานเรอะ" นิ
ไคโดทำท่าโกรธ ตรงเข้ามาที่ผม แย่งเอาสมุดฉีกไป
โดยไม่สนใจจะเหลือบดูข้อความบนนั้นแม้แต่นิด
เดียว แล้วยัดลงในลิ้นชักอันขวาสุดแถวล่าง
"ตึ้ก!" เสียงดังขึ้น เมื่อเจ้านิไคโดดันลิ้นชักเข้าไป แต่
ปรากฏว่ามันปิดไม่สนิท ปลายปากกาซึ่งเสียบอยู่
กับสันสมุดฉีก โผล่พ้นขอบลิ้นชักขึ้นมา และค้ำอยู่
ทำให้ไม่สามารถปิดลิ้นชักเข้าไปให้สนิทเหมือนเดิม
ได้
"โอ๊ะ ๆ ๆ ใจเย็น ๆ ครับคุณนิไคโด ทางคุณอะมะกิ
เขาเห็นว่านี่ไม่ใช่การโจรกรรมน่ะครับ ซึ่งต่างกับ
ทางคุณนิไคโด" คุณโคพยายามพูดไกล่เกลี่ยขึ้น
นิไคโดหันไปใส่ไคล้กับคุณโคทันทีก็ทำนองเดิม ๆ
แหละครับว่า อย่าไปเชื่อเจ้านี่ (คือผม) ขอให้เชื่อมือ
ฝ่ายสำนักงานคะทสึระงิเถอะ แต่ตอนนี้ สายตาผม
จับจ้องที่ลิ้นชักตัวที่เจ้านิไคโดเพิ่งยัดสมุดฉีกเข้าไป
อย่างไม่กระพริบ ในที่สุดผมก็เอ่ยขึ้นว่า "คุณโคครับ
ผมคิดว่าผมรู้แล้วล่ะครับว่าภาพวาดของคุณอยู่ที่
ไหน!"
"หา! อะไรนะ" นิไคโดหันขวับมาทางผมทันที
"โอ้! จริงหรือครับ" คุณโคก็หันขวับมาทันทีเช่นกัน
"แกอย่ามาทำเป็นอวดเก่งนะ นายอะมะกิ" นิไคโด
กระหืดกระหอบ "อ๋อ นี่คงกลัวคุณโคจะเชื่อมือพวก
ผม แล้วเลิกจ้างแกล่ะสิ เลยรีบพูดอย่างนั้น ฮึ! รู้ทัน
หรอกน่า"
"จะจริงไม่จริงเดี๋ยวก็รู้" ผมตอบยิ้ม ๆ "แต่ก่อนอื่น
นายรู้ไหมว่า นายพูดเองว่าอย่าทำลายหลักฐาน
แต่แล้วตัวเองก็ทำลายซะเอง ดูนี่ สมุดฉีกมันไม่ได้
อยู่ในลิ้นชักตัวนี้ซะหน่อย เดิมมันอยู่ในตัวกลางนี่"
ผมชี้ไปที่ลิ้นชัก "แล้วนี่ นายปิดก็ปิดไม่สนิทเห็น
ไหม"
"ฮึ!" นายนิไคโดทำน่ากระฟัดกระเฟียด แต่ก็เห็นกัน
จะจะอยู่ว่าลิ้นชักปิดไม่สนิทจริง ๆ เลยเดินมา หยิบ
สมุดฉีกออกจากลิ้นชัก แล้วใส่เข้าไปใหม่ให้ถูกที่
คราวนี้ลิ้นชักตัวกลางล่างนี่ ปิดได้สนิทโดยไม่มี
ปัญหา
"สังเกตอะไรไหมครับ ทั้งสองคน" ผมพูดขึ้นอีก
ทั้งสองคนมองผมอย่างตามไม่ทัน ผมก็เลยต้อง
เฉลยว่า "เมื่อกี้คุณนิไคโดเอาสมุดฉีกใส่ในลิ้นชักตัว
นี้" ชี้ไปที่อันขวาล่าง "แล้วปรากฏว่าปิดลิ้นชักไม่ได้
เพราะไปติดที่ด้ามปากกาใช่ไหมครับ"
"อ้า... ใช่ครับ ใช่ครับ ด้ามปากกาโผล่ออกมา
ประมาณเซนนึงเห็นจะได้ครับ เลยปิดไม่ลง" คุณโค
รีบตอบ "แต่มันหมายความว่าอะไรหรือครับ"
"นั่นสิ แกหมายความว่าอะไร" นายนิไคโดยัง
พยายามอวดเก่ง "ก็เมื่อกี้มันไม่ใช่ที่ของมัน มันก็ใส่
ไม่ลง พอเอากลับที่เดิม ก็ใส่ลง ก็เท่านั้นเอง"
"ไม่ใช่แค่นั้นหรอก" ผมยิ้มใจเย็น "ถ้าผมคิดไม่ผิด
ลิ้นชักอันอื่น ๆ ก็คงจะเหมือนกันครับ คือสามารถ
ใส่สมุดฉีกพร้อมปากกานี่ได้ทุกลิ้นชัก ยกเว้นอัน
ขวาล่างนี่"
คุณโคกับนายนิไคโดมองหน้ากัน แล้วมองมาที่ผม
ผมเลยมองเจ้านิไคโดอย่างท้า ๆ นายนิไคโดทำ
หน้าไม่เชื่อ แล้วก็เลยเดินหุนหันมาที่ตู้เอกสาร ดึง
ลิ้นชักตัวกลางล่างขึ้นมา จับสมุดฉีกออกมา ใส่ใน
ลิ้นชักตัวขวาบน ลองปิดดู ปรากฏว่า...
"โอ้ ปิดได้สนิท ไม่มีปัญหานี่ครับ" เสียงคุณโคดังมา
นายนิไคโดทำหน้าตื่น แต่ก็ยังงง ยังตามความคิด
ของผมไม่ทันอยู่ดี ได้แต่ลองย้ายสมุดฉีกไปลิ้นชัก
อื่น ๆ อีกสามอัน ปรากฏว่าก็สามารถปิดสนิททุก
อัน
"เป็นไง เป็นตามที่ผมคิดไว้ใช่ไหมครับ" ผมพูดขึ้น
หลังจากนายนิไคโดแสดงให้เห็นจริงแล้ว "ก็คือ มี
ลิ้นชักเพียงอันเดียวที่ไม่สามารถปิดได้สนิท เมื่อใส่
สมุดฉีกนี้ลงไป คืออันนี้"
คราวนี้ผมดึงลิ้นชักตัวสุดท้ายที่นายนิไคโดลองเมื่อ
กี้ออก ย้ายสมุดฉีกไปที่ลิ้นชักตัวขวาล่างอีกที แล้ว
ลองปิดก็ปรากฏว่าปิดไม่เข้า ปลายปากกาโผล่พ้น
ขอบมาประมาณหนึ่งเซนติเมตร
"หมายความว่าอะไรพอเข้าใจไหมครับ" ผมถาม
"อืมห์ ปลายปากกามันขัดอยู่อย่างนี้... ก็แสดงว่า
ความลึกของลิ้นชักไม่พอนะสิ ปลายมันเลยโผล่พ้น
ขอบออกมา" นิไคโดตอบ เออ เริ่มฉลาดขึ้นแล้วล่ะสิ
"แต่แปลกนา อันอื่นไม่เห็นเป็นอย่างนี้นี่นา" หมาย
ถึงลิ้นชักตัวอื่น
"ใช่แล้ว ข้อสรุปก็คือ ลิ้นชักตัวนี้ตื้นกว่าตัวอื่นไงล่ะ
ครับ" ผมตอบ หันไปทางคุณโค นายนิไคโดไหวตัว
ทันทันที ดึงลิ้นชักอันปัญหาออกมา แล้วมองมาที่
ผม
"แกหมายความว่า ลิ้นชักอันนี้อันเดียว ผิดจากอัน
อื่นงั้นเหรอ" ผมเชื่อว่าเจ้านิไคโดเริ่มตามผมทันแล้ว
ล่ะ แต่ยังไม่ยอมพูดตรงๆ ด้วยกลัวเสียฟอร์ม
ผมเลยเฉลยให้แจ่มแจ้งแดงแจ๋ไปซะเลย
"ใช่แล้ว ถ้าผมคาดการณ์ไม่ผิดนะครับ ลิ้นชักตัวนี้
จะมีพื้นหนากว่าตัวอื่น ซึ่งก็หมายความว่า มันเป็น
พื้นสองชั้นนั่นเอง และพอเราดึงเอาแผ่นไม้ที่วาง
ซ้อนอยู่ชั้นบนออก..."
"ก็จะพบภาพวาดที่ผมต้องการใช่ไหมครับ" คุณโค
เสริมขึ้นมาทันที ตาเป็นประกาย
"ฮึ! มันจะง่ายอย่างนั้นเหรอ?" นายนิไคโดยังไม่เชื่อ
น้ำยาผมเท่าไร แต่ก็จับลิ้นชักตัวนั้นตะแคง เอามือ
ตบด้านล่างของลิ้นชัก แล้วแผ่นไม้ที่วางซ้อนอยู่ใน
ลิ้นชักนั้นก็เผยอออก นิไคโดดึงมันออกทันที
"โอ้! เป็นพื้นสองชั้นจริง ๆ ด้วยครับ แล้วรูปล่ะ
ครับ..." เสียงคุณโคดังมา
สายตาเราสามคนจับมองที่ก้นลิ้นชักไม่กระพริบ
แต่... ว่างเปล่าครับ ว่างเปล่า ไม่มีอะไรอยู่เลย
"ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ" นายนิไคโดหัวเราะสะใจทันที "ไหนล่ะ
รูป นายโคะจิโร่ บอกแล้วไงว่านายน่ะสืบผิดทาง
แล้ว"
"ปะ...เป็นไปไม่ได้" ผมพูดพึมพำ
ใช่! เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีรูปอยู่ในลิ้นชักนี้ ก็เบาะ
แสทุกอย่างมันล้วนแล้วแต่บ่งชี้มานี่นา ว่ารูปมันไม่
ได้ถูกขโมย แต่ถูกซ่อนอยู่ที่ใดที่หนึ่งในบ้านหลังนี้
เท่านั้นเอง
"เดี๋ยวก่อน ขอฉันคิดก่อน" ผมโบกไม้โบกมือ ให้สอง
คนเงียบเสียง ใช่! ตอนนี้เป็นเวลาออกโรงของสมอง
นักสืบอัจฉริยะอีกแล้วล่ะ ผมคำนวณอะไรผิดพลาด
งั้นหรือ อืมห์
นึกถึงข้อความบนสมุดฉีก "เดินให้ไกลขึ้นไปอีก" "
เดินให้ไกลขึ้นไปอีก" อืมห์.... ลิ้นชักทุกตัวเหมือน
กันหมด ยกเว้นอันขวาล่างมีพื้นเป็นสองชั้น เลยทำ
ให้มีขนาดตื้นกว่าปกติ ...
แล้วผมก็คิดว่า คนซ่อนรูปก็คงจะซ่อนไว้ในก้นลิ้น
ชักนี่ แต่เพื่อกันลืม หรือเพื่อส่งสัญญาณให้ใครบาง
คน ก็เลยวางสมุดฉีกไว้ เพื่อเป็นตัวบอกว่า ความ
ลึกของลิ้นชักนี้แตกต่างไปจากลิ้นชักอันอื่นนะ แต่
เขากลับไม่วางสมุดฉีกพร้อมปากกานี้ในลิ้นชักตัวนี้
โดยตรง กลับไปวางในลิ้นชักตัวข้าง ๆ
"เดินให้ไกลขึ้นหรือ" แปลว่า ให้คิดให้ลึกขึ้นอีกหนึ่ง
ชั้นหรือ
ลิ้นชักทั้งหกนี้ มีตัวที่ไม่เหมือนตัวอื่นอยู่สองตัว คือ
ตัวกลางล่าง มีสมุดฉีกวางอยู่ กับอีกตัวคือตัวขวา
ล่าง มีพื้นสองชั้น แต่อันหลังนี่จะไม่รู้เลยจนกว่าจะ
ลองเอาสมุดฉีกใส่เข้าไปดู
ฮะฮ้า! ผมเริ่มจะมองออกแล้ว สรุปแล้วก็ต้องใช้คีย์
เวิร์ดที่ว่า "เดินให้ไกลขึ้นไปอีก" นั่นเอง
"โอเคครับ ความคิดของผมไม่ผิดหรอกครับ คุณทั้ง
สองคน" ผมเอ่ยขึ้นอีกครั้ง หลังจากตั้งหลักได้
"เฮอะ! ยังไม่ยอมรับอีกหรือ" นิไคโดพูดอย่างหมิ่น ๆ
ส่วนคุณโคมองผมเขม็ง คงภาวนาอยู่ว่า คราวนี้ขอ
ให้ผมได้คำตอบที่ถูกต้องเสียที เพื่อที่แกจะได้ภาพ
วาดนั้นโดยเร็ว
"ลองคิดดูนะครับ ว่า เจ้าสมุดฉีกพร้อมปากกานี่ มี
ความหมายว่าอะไร" ผมถามนำขึ้น แต่แล้วก็ตอบ
เอง "คำตอบก็คือ เพื่อเอาไว้เตือนใจ หรือเอาไว้เป็น
ตัวบอกไงล่ะครับว่า ในลิ้นชักหกตัวนี้มีอยู่ตัวหนึ่งที่
มีความลึกไม่เท่ากับตัวอื่น ใช่ไหมครับ"
"ใช่ครับ แต่ภาพวาดไม่ได้อยู่ในลิ้นชักตัวนั้นนี่ครับ
คุณอะมะกิ" คุณโคตอบ
"ครับ แต่ความหมายของมันไม่ได้หมดแค่นั้นครับ
ลองคิดถึงข้อความบนสมุดฉีกนี่สิครับ - เดินให้ไกล
ขึ้นไปอีก- หมายความว่า ให้เราคิดให้ไกล ให้ลึกขึ้น
ไปอีกน่ะครับ"
ผมหยุดเว้นระยะสักหน่อยหนึ่ง เมื่อเห็นว่าทั้งสอง
คนทำท่าคิดอยู่ผมก็เฉลยต่อ
"ความหมายของลิ้นชักตัวขวาล่างจึงมีความหมาย
แค่ว่า มีลิ้นชักที่มีพื้นสองชั้นอยู่เท่านั้นครับ ตัวมัน
เองไม่ได้เป็นที่ซ่อนของรูปภาพหรอกครับ"
"เอ๊ะ! งั้นภาพวาดนั่น..." คุณโคเริ่มกระวนกระวาย
"ภาพวาดนั่น อยู่ในลิ้นชักที่เป็นตัวที่วางสมุดฉีกเดิม
นั่นแหละครับ ลองคิดดูสิครับว่า ในเมื่ออีกห้าตัวที่
เหลือ ต่างก็สามารถวางสมุดฉีกพร้อมปากกานี่และ
ปิดสนิทได้เหมือนกันหมด ทำไมเขาต้องเจาะจงวาง
ไว้ในตัวกลางล่างล่ะครับ ก็หมายความว่าลิ้นชักตัว
กลางล่างนั่นแหละครับ คือ ที่หมายที่เราต้องการ
และลิ้นชักตัวนี้ก็มีพื้นสองชั้นเหมือนกันครับ"
ผมเฉลยไปหมดเปลือก เอาล่ะ! สิ่งที่ผมสามารถ
ประมวลได้ก็มีเท่านี้ ต่อไปก็เหลือแต่รอคำตัดสิน
จากสวรรค์ล่ะครับ ว่าการณ์ทุกอย่างจะเป็นไปตาม
ที่ผมคาดไว้หรือไม่
นิไคโดหน้าซีดเผือด ริมฝีปากสั่นระริก แต่ก็ยังมอง
ผมอย่างไม่เชื่อถือ เดินไปดึงเอาลิ้นชักตัวกลางล่าง
ออกมา มองผมนิดหนึ่งก่อนจับมันตะแคง มีเสียง
ดังกุกกักเกิดขึ้น แล้วนิไคโดก็สามารถเปิดแผ่นไม้
บางที่วางรองไว้ตรงพื้นลิ้นชักออกมาได้ และ...
"โอ! นั่นเองรูป..." คุณโคอุทานมาด้วยความดีใจ
"อ๊ะ!" นายนิไคโดอุทานออกมาเช่นกัน หน้าซีดเผือด
หมอแพ้ผมเข้าให้แล้ว
ผมตรงเข้าไปหยิบภาพวาดขนาดเล็กนั้นออกจาก
ลิ้นชัก แล้วส่งให้คุณโคซึ่งยิ้มร่า หันมาทางผมทันที
รับรูปวาดนั้นไปดู แล้วก็ยื่นมือมาให้ผมจับ
"โอ! ใช่แล้วครับ รูปนี้จริง ๆ แหละครับ ขอบคุณ
มากครับคุณอะมะกิ ผมให้หาแค่ 'ที่ซ่อน'ของรูปเท่า
นั้น นี่คุณอะมะกิหาได้ถึงตัวรูปด้วย โอ! ขอบคุณ
จริง ๆ ครับ"
"ไม่เป็นไรครับ นี่เป็นงานของผมอยู่แล้วครับ" ผม
ตอบ
"ใช่แล้ว ค่าแรงของคุณอะมะกิ ผมจ่ายสดให้เลย
นะครับ หกแสนเยน รอสักครู่นะครับ" คุณโคเดิน
ออกไปจากห้อง ผมมองตามไปด้วยความตื่นเต้นที่
จะได้ค่าจ้างแล้ว สักประเดี๋ยวหนึ่งคุณโคก็เดินกลับ
มา พร้อมซองกระดาษ ส่งให้ผม ผมรับมาเปิดดูเป็น
ธนบัตรปึกใหญ่ หยิบออกมาแบ่งใส่กระเป๋ากางเกง
ทั้งสองข้างจนตุงทันที
"ขอบคุณครับคุณโค" ผมตอบ
"ไม่นับหรือครับ คุณอะมะกิ" คุณโคถาม
"คนอย่างคุณโคไม่โกงผมหรอกครับ" ผมตอบ แต่
แล้วก็อดพูดต่อไม่ได้ "แต่นี่ก็เป็นคดีที่น่าสงสัยมาก
นะครับ มีคนจงใจซ่อนรูปนี้ไว้ แล้วก็ยังพยายามตบ
ตาว่าเป็นการโจรกรรมอีก ผมว่าเพื่อนคุณโคคนนั้น
น่าสงสัยมากนะครับ"
"อ้า! คุณอะมะกิครับ เราตกลงกันแล้วไงล่ะครับ ว่า
คุณจะไม่มายุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้น มีหน้าที่หา
ภาพวาดให้ผมจนพบก็พอน่ะครับ" คุณโคติง
"โอเคครับ ถ้างั้นงานของผมก็สิ้นสุดเพียงเท่านี้" ผม
ยอมแต่โดยดี เลิกยุ่งกับนายโคที่น่าสงสัยคนนี้เร็ว ๆ
สักทีก็ดีเหมือนกัน ไม่อยากถลำตัวลึกไปกว่านี้
อย่างน้อยที่สุดเขาก็ไม่ได้โกงหลอกใช้งานเราฟรีนี่
ค่าแรงก็จ่ายให้ครบตามสัญญา แม้จะไม่ได้นับก็
เถอะ
"คุณนิไคโดครับ ผมเองก็คงจะต้องแสดงความเสีย
ใจต่อทางคุณด้วยนะครับ ที่ทำงานได้ไม่สำเร็จ เงิน
ล่วงหน้าที่ผมจ่ายไปแล้วนั่น ก็เป็นไปตามสัญญา
ของเรานะครับ ผมให้ไปเลยถือเป็นค่าแรงของคุณ
ในส่วนที่ได้ทำจนถึงวันนี้ ไม่ต้องมาคืนผมหรอก
ครับ" คุณโคหันไปพูดกับนิไคโด ซึ่งเงียบไปตั้งแต่
พบภาพวาดนั้น
"ครับ! ขอบคุณครับคุณโค และก็ขอโทษด้วยที่ทาง
เราไม่สามารถทำงานให้สำเร็จไปได้" นิไคโดตอบ "
ผมขอตัวเท่านี้แหละครับ" ว่าแล้วก็รีบเดินออกจาก
ห้องรับแขกไปอย่างรุกรี้ลุกลนชอบกล
"ผมก็คงจะขอลาเหมือนกัน โอกาสหน้ามีอะไรให้
ผมช่วยอีกก็ติดต่อมาได้เสมอนะครับ คุณโค" ผมก็
ลาบ้าง
...
back index next