EVE Burst Error
ภาค โคะจิโร่
วันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 19xx

คดีฆาตกรรมรายแรก


"เฮ้อ!" ผมร้องขึ้นอย่างเหนื่อยอ่อน หลังจากกลับเข้า
สำนักงานอีกครั้ง
เดินไปจนถึงหน้าสถานทูต เพื่อที่จะรับรู้ว่า มีระบบ
ป้องกันภัยอย่างหนาแน่น แถมมีรปภ. หน้าดุยืนเฝ้า
อยู่ต่างหาก ผมไปยืนเตร็ดเตร่อยู่แถวนั้นหน่อย
เดียว โดนสะกิดเลย บอกว่า ถ้าไม่มีธุระอย่าไปยืน
เล่นแถวนั้น อาจโดนเขาจับส่งตำรวจได้ทุกเมื่อ
อืมห์ ทำให้ผมรู้สึกไม่ชอบมาพากลกับเจ้าสถานทูต
แห่งนี้ทันที เพราะรู้สึกว่าจะเส้นตื้น หวาดระแวง
ระแวดระวังภัยจนเกินเหตุ แต่สิ่งทีติดค้างในใจผม
มากที่สุดคือ
ผมเห็นครูสาวที่ชื่อซิเรีย ของโรงเรียนนักเรียนต่าง
ชาติเอลเดีย เดินเข้าไปในสถานทูต ผ่านหน้ารปภ.
ไปอย่างสง่าผ่าเผย ไม่ต้องแสดงบัตรหรือแสดงตัว
ใด ๆ ทั้งสิ้น ท่าทางราวกับว่าสามารถเข้านอกออก
ในได้อย่างสะดวกอย่างนั้นแหละ ผมนึกถึงตอนที่
เจอกันที่สระว่ายน้ำเมื่อตอนบ่ายทันที ยังจำได้ว่า
หล่อนพูดกับผมว่า
"ฮึ คุณเองหรือ พ่อนักสืบ ฝีมือไม่เลวนี่"
แสดงว่า หล่อนรู้จักผมเป็นอย่างดี อืมห์ ใช่แล้วตอน
นั้น ผมโดนพรินดึงความสนใจไป เลยไม่ได้คิดต่อ ที่
หล่อนว่าฝีมือไม่เลวนี่ หมายถึงอะไรกันแน่ ผลงาน
ล่าสุดของผมก็คือ งานสืบหารูปหายให้กับนายโค
ผอ.โรงเรียนนั้น ซึ่งงานก็เพิ่งจะสำเร็จก่อนหน้าที่ไป
สระว่ายน้ำแห่งนั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เอ! เป็น
ไปได้หรือ ที่คำว่าฝีมือไม่เลวนี่ จะหมายถึงผลงาน
ชิ้นนี้?
ผมยังนึกได้ถึงเมื่อคืนที่สะกดรอยตามครูซิเรียคนนี้
แล้วพลาดให้หล่อนสะบัดตัวหลุดรอดการติดตาม
ของผมไปได้ แม่สาวคนนี้ไม่ใช่ครูธรรมดาแน่ ต้องมี
อะไรเบื้องหลัง ลางสังหรณ์นักสืบของผมบอกอย่าง
นั้น แล้วเมื่อครู่นี้ผมยังเห็นเธอเดินเข้าสถานทูตได้
อีก แสดงว่าเธอเป็นคนของสถานทูตหรือไงนะ
"คนของสถานทูตเหรอ" ผมอดพูดพึมพำไม่ได้ เอ!
ประโยคนี้ก็เคยได้ยินที่ไหนหว่า ใช่แล้ว! คำพูดของ
เด็กสาวมะยะโกะนั่นเอง
"คุณโคะจิโร่เป็นคนของสถานทูต หรือเป็นพวกคุณ
มะรินะคะ?"
อืมห์ ชักชอบกลแล้วสิแฮะ
"กริ๊ง! กริ๊ง!..."
ผมตื่นจากภวังค์ครุ่นคิดเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์
"ฮัลโหล! ที่นี่สำนักงานนักสืบอะมะกิครับ"
"คุณอะมะกิหรือครับ ผมชื่อโคนะครับ" เสียงพูดของ
ผู้ชายดังมาตามสาย แปลกที่ผมรู้สึกว่าน้ำเสียงของ
เขาฟังขัด ๆ หู อย่างไรก็ดี ผมพูดตอบไปว่า
"อ้า...คุณโคหรือครับ? มีอะไรให้ผมรับใช้อีกครับ?"
"ผมไม่มีเวลาแล้ว ฟังให้ดีนะครับคุณอะมะกิ ตอนนี้
ที่นั่น..อะ..."
"กริ๊ง ตุ๊ด ๆ ๆๆๆ"
นายโคพูดมายังไม่ทันจบ ก็ปรากฏว่าแกวางหูไป
เสียก่อน ผมยืนงง ถือหูโทรศัพท์ค้างอยู่ครู่หนึ่ง แล้ว
ค่อยวางหูลง พลางคิดในใจ
'เอ๊ะ! เกิดอะไรขึ้น? พูดไม่ทันรู้เรื่องเลยก็วางหูซะ
แล้ว น้ำเสียงก็แปลก ๆ ด้วย'
ผมจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่อย่างน้อยผมก็รู้จัก
เบอร์โทรศัพท์บ้านคุณโคนี่นา เพราะอะคะเนะจด
เอาไว้ให้ ผมขยับจะหาเบอร์นั้นแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ
รอดูสถานการณ์อยู่ครู่หนึ่ง ไม่พบว่ามีใครโทรฯ มา
อีก ก็ตัดสินใจเดินออกจากสำนักงาน
'ไปหาถึงตัวเลยละกัน ใกล้ ๆ แค่นี้เอง.... แล้วนี่ ดึก
ขนาดนี้แล้วยัยพรินยังไม่กลับมาอีก เหลวไหลจริง
เด็กคนนี้ กลับมาต้องดุสักหน่อยแล้วมั้ง'
...
ผมพาตัวเองมาถึงหน้าบ้านคุณโค เป็นเวลาค่อน
ข้างดึกมากแล้ว อากาศเย็นเฉียบ ก็ปาเข้าไปเดือน
ธันวาคมแล้วนี่ครับ ระหว่างทางผมคิดมาโดย
ตลอดว่า นายโคต้องการพูดอะไรกับผมทาง
โทรศัพท์ แต่ก็ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่ดี เกิด
อะไรขึ้นที่ทำให้เขาวางหูไปก่อนนะ
"อ๊ะ! พริน?"
"โอ๊ะ! คุณโคะจิโร่" ผมพบคนที่ผมอยากพบอยู่อย่าง
ไม่คาดฝัน ที่หน้าบ้านของคุณโคนี่เอง พรินแต่งตัว
ด้วยชุดเดิมของเธอ ใส่หมวกใบเดิม ซึ่งทำให้ดู
เหมือนเด็กผู้ชาย แต่ผมเห็นแวบเดียวก็จำได้ พริน
มองผมด้วยสายตากระวนกระวาย เหลียวมองซ้าย
มองขวาเลิกลั่ก
"มาทำอะไรที่นี่ หือ? ยัยพริน" ผมถาม "ดึกแล้วรู้ไหม
ทำไมไม่รีบกลับไปที่ออฟฟิศ"
"หนู...หนูหลงทางคะ คุณโคะจิโร่ ตอนเย็นหนูออก
ไปซื้อของ แล้วกะว่าจะหาทางลัดสักหน่อย ปรากฏ
ว่า เดินหลงเข้าหมู่บ้านจัดสรรนี่แล้วหนูก็เลยหา
ทางกลับไม่เจอค่ะ" พรินตอบ ผมสังเกตเห็นว่าเธอ
ตัวสั่นนิด ๆ
หลงทาง? ถ้าเป็นจริงล่ะก็ เธอก็คงจะหลงทางมาตั้ง
นานแล้วสินะ และก็คงจะตกใจกลัวมากด้วย ผมคิด
เข้าข้างเธอไว้ก่อน พลางยกมือไปลูบศีรษะเธอ พูด
ด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
"อะไรกัน? หลงทาง โตจะเป็นสาวแล้วนะเรา หือ?"
"ขอโทษคะ คุณโคะจิโร่ หนูใช้ไม่ได้เลยจริง ๆ กลับ
ด้วยกันนะคะ นะ นะ"
สุดท้ายเข้ามากอดแขนผม พลางออดอ้อน แต่ผม
แกะแขนหล่อนออกอย่างนุ่มนวล
"ไม่ได้หรอก ฉันมีธุระต้องทำแถวนี้" ไม่ใช่แถวนี้
หรอก ตรงบ้านที่เห็นอยู่ข้างหน้านี่เลยแหละ "พริน
ล่วงหน้ากลับไปก่อนละกัน จะบอกทางให้"
ผมชี้ทางที่จะกลับไปสู่ท่าเรือให้เด็กสาวดู พรินมอง
หน้าผมอยู่อึดใจหนึ่งก็พยักหน้ารับ "ค่ะ งั้นหนูกลับ
ไปเตรียมอาหารเย็นก่อนนะคะ คุณโคะจิโร่"
แล้วเจ้าหล่อนก็เดินจากไป ตามทางที่ผมบอกไว้
นึกขึ้นได้เลยแฮะ ว่ายังไม่ได้ทานมื้อเย็นเลย ดึก
แล้วด้วย รีบ ๆ คุยธุระกับคุณโคให้เสร็จแล้วกลับไป
ดีกว่า ไม่รู้มีอะไรอีก
ผมยื่นมือไปกดออดที่หน้าบ้าน ซึ่งทุกครั้งที่ผ่านมา
จะมีเสียงตอบจากอินเตอร์โฟนทันทีว่า "ครับ ๆๆ
ใครมาหรือครับ?" แต่ปรากฏว่า คราวนี้เงียบ
ไม่สิ ไม่ใช่เงียบที่ไม่มีเสียงตอบเท่านั้น แม้แต่เสียง
ออดยังไม่มีเลย ผมลองกดออดดูอีกสองครั้ง
'ออดเสียรึไงนะ' ผมนึก ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สังเกตดู
ภายในบ้านคุณโคมืดสนิท เหมือนกับว่าไฟดับทั้ง
หลังอย่างนั้นแหละ แต่มองดูไฟถนนยังติดอยู่นี่
แสดงว่าไม่ใช่ไฟดับแถวนี้
'อยู่รึเปล่านะ เอ! แล้วเมื่อกี้โทรฯ จากบ้านรึเปล่าก็
ไม่รู้'
อืมห์ แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว ผมขยับตัวจะเดินเข้าไปใน
รั้วบ้าน ก็ปรากฏว่า ประตูบ้านเปิดออกมาเสียก่อน
แล้วบุคคลที่ผมไม่คาดคิดอีกคนก็โผล่ออกมา นิไค
โดนั่นเอง
"อ๊ะ! นิไคโด" ผมทักได้แค่นั้น เจ้านิไคโดสีหน้าซีด
เผือด เหงื่อไหลเต็มตัว ท่าทางงก ๆ เงิ่น ๆ เดินออก
จากบ้านมาได้ก็รีบโกยอ้าว ออกไปนอกรั้ว แล้ววิ่ง
หายลับไปทันที
'เป็นอะไรไปแฮะ พิลึกคน เจ้านี่' ผมคิด พลางนึก
เล่น ๆ ว่า เจอผีรึไงนะ แต่พอนึกถึงคำว่าผี เท้าที่ผม
กำลังจะก้าวออกก็ชะงัก มองไปทางตัวบ้านอีกที
มืดสนิทเลยครับ บรรยากาศอย่างนี้ก็สมควรที่ผีจะ
ออกมาอยู่หรอก
เหลวไหลนะ ผีสางมีที่ไหน ผมคิด แล้วก็ตัดสินใจ
เอื้อมมือไปจับลูกบิดประตู พลางส่งเสียง
"คุณโคครับ อยู่ไหมครับ คุณโค ... ถ้าไม่ตอบผมขอ
เข้าไปโดยพลการนะครับ"
เงียบ! บรรยากาศรอบด้านวังเวงอย่างบอกไม่ถูก
ผมตัดสินใจเปิดประตูออกมา แล้วแทรกตัวเข้าไป
ในความมืดมิดของบ้านนั้น ปิดประตูตามหลัง เท้า
ผมเหยียบลงบนพรมในบ้าน
เอาไงดี ไปทางห้องรับแขกที่ทุกทีเคยมาก็แล้วกัน
คิดแล้ว ผมก็ขยับตัว เดินไปตามทางนั้นโดยอาศัย
ความเคยชินที่มาบ้านนี้หลายหนแล้ว
มืดจริง ๆ ครับ แต่ก็ไม่ถึงกับเดินไม่ได้ พอสายตาชิน
กับความมืดสักหน่อย ผมก็เริ่มเห็นอะไรลาง ๆ ผม
พาตัวเองเข้าไปในห้องรับแขกที่มาบ่อย ๆ มองไป
รอบ ๆ เพื่อดูว่ามีใครอยู่หรือไม่ แต่ก็เงียบสนิท
'บรรยากาศชอบกลแฮะ' ใช่ครับ! ผมบอกไม่ถูก
เหมือนกันว่าบรรยากาศชอบกลอย่างไร มันวังเวง
เยือกเย็นอย่างบอกไม่ถูก ผมขยับเดินไปอีกก้าว
หนึ่ง ไปทางโซฟาที่ผมนั่งทุกครั้งที่มา
"อ๊ะ!" เท้าผมสัมผัสกับความหยุ่นแปลก ๆ ของพื้น
พรมในห้อง ไม่สิ เปียกอยู่นี่นา พื้นพรมตรงบริเวณ
โซฟานี่เปียกอะไรบางอย่างจนชุ่ม พร้อมกันนั้นกลิ่น
ของอะไรบางอย่างที่คล้ายสนิมเหล็กก็ลอยมาเข้า
จมูกผม ให้ตายเถอะ ถ้าประสาททั้งหกของผมไม่
ผิดละก็ นี่คือ
'เลือด!!!' ใช่ครับ พื้นพรมในบริเวณนี้ชุ่มเลือดครับ
ผมขนลุกเกรียวมองไปรอบ ๆ อีกที แล้วคราวนี้ ลอง
มองต่ำไปที่พื้น ด้านหน้าโซฟา ผมก็เห็น...เงาตะคุ่ม
ของใครบางคนนั่งก้มหน้าอยู่หน้าโซฟา
"อ้าว คุณโค อย่าเล่นอย่างนี้สิครับ ตกใจ...หมด"
ผมเอ่ยขึ้น เสียงเบาเพราะถูกบรรยากาศรอบข้างกด
ดัน แต่แล้วไม่ทันพูดจบ ผมก็สังเกตเห็นว่า คนคนน
นี้ไม่ใช่คุณโค เพราะร่างกายผอมบางกว่ากันมาก
"คุณครับ ตื่นอยู่หรือเปล่าครับ...คุณ" ผมลอง
พยายามเรียก แต่... พอนึกถึงเลือดที่เปียกชุ่มรอบ
บริเวณนี้อยู่ ผมก็ขนลุกซู่ขึ้นอีกครั้ง ขยับมือจะไป
สัมผัสตัวคนที่นั่งอยู่นั้นดู แต่แล้วก็หยุดมือไว้ ล้วง
เอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาก่อน พันมือไว้ โดยเฉพาะส่วน
ของปลายนิ้วมือ แล้วค่อยยื่นมือไปเขย่าไหล่ของคน
ที่นั่งอยู่กับพื้นนั้น
"เหวอ!" เสียงผมเองครับ จะไม่ให้ร้องได้ยังไงครับ
ในเมื่อ พอผมแตะถูกไหล่ของคนคนนั้นหน่อยเดียว
ร่างของเขาก็เอนไปด้านหลัง ตัวไปพิงกับโซฟาพอดี
ส่วนศีรษะ ก็พับกลับไปด้านหลังไปพาดบนโซฟาตัว
นั้น ...ไม่ใช่คนแล้วครับ แต่เป็นศพ ผมกำลังพบกับ
คนตายอยู่
'เหวอ! ใจเย็น ๆ โคะจิโร่ ใจเย็น ๆ เราเจอแบบนี้มา
หลายทีแล้วนี่หว่า แค่นี้ไม่ต้องตกใจไป ใจเย็น' ผม
พยายามปลุกปลอบขวัญตัวเอง แล้วในที่สุด ผมก็
สงบสติลงได้
นี่ผมกำลังพบศพคนตาย ในบ้านคุณโค ผมจะทำ
ยังไงดีนะ อย่างน้อยที่สุด คนคนนี้ก็ไม่ใช่คุณโคล่ะ
แล้วเจ้าของบ้านหายไปไหนล่ะ?
แจ้งตำรวจดีไหม แวบหนึ่งผมคิดเช่นนั้น แต่แล้วก็
นึกถึงความยุ่งยากที่จะตามมาในฐานะที่ผมเป็นคน
พบเห็นคนแรก เอ๊ะ!...เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้เจ้านิไคโดมัน
กระหืดกระหอบออกไปจากบ้านนี้นี่นา
หรือว่าเจ้าหมอนั่น... ไม่สิ! ผมรู้ดีว่านิไคโดไม่ใช่คน
ที่จะไปฆ่าแกงใครได้ลงคอหรอก ถ้างั้นหมอจะต้อง
รีบหนีไปด้วยทำไม เป็นไปได้ว่า หมอพบศพนี่ แล้ว
ตกใจมากเลยรีบหนีไป ปัญหาคือ... เจ้านิไคโดเซ่อ
ซ่าทิ้งหลักฐานไว้หรือเปล่า ว่าตัวเองมาที่นี่ ท่าทาง
หมอกระหืดกระหอบหนีออกไปอย่างนั้น ผม
สังหรณ์ใจว่า งานนี้เป็นเรื่องแน่ล่ะสิ
อืมห์ เรื่องของเจ้านิไคโดปล่อยไปก่อน ทีนี้ผมล่ะ
จะทำยังไงดีล่ะ ถึงที่สุดแล้ว ผมก็คงต้องตัดใจแจ้ง
ตำรวจอยู่ดีแหละ แต่ก่อนอื่น ไหน ๆ ก็จะต้องตก
เป็นพยานปากสำคัญ (เผลอ ๆ อาจตกเป็นผู้ต้องหา
รายแรกด้วย) ขอผมตรวจดูสถานที่ก่อนล่ะ แต่อย่า
ลืมนะ ว่าจะต้องพยายามไม่ให้เหลือร่องรอยไว้ในนี้
ว่าผมเข้ามาจุ้นจ้านอยู่
ผมมองไปที่ศพอีกที ในความมืดสลัว ๆ พอจะ
สังเกตได้ว่าเป็นชายวัยกลางคน หน้าตาเป็นแบบ
ชาวเอเชีย ใส่แว่น รูปร่างผอม คะเนว่าค่อนข้างสูง
สวมชุดสูทอย่างเรียบร้อย เสื้อเชิ้ตสีขาวที่บริเวณ
หน้าอก ไม่สิ ตั้งแต่คอลงไปโชกเลือดจนกลายเป็นสี
แดงสนิท ผมมองไปที่ลำคอผู้ตายแล้วก็แทบจะผงะ
ออกมา
'เหวอ โหดเหี้ยมเหลือเกิน' ลำคอผู้ตายขาดออก
จากกัน ไม่สิครับเกือบขาดออกจากกันคงเหลือเนื้อ
ส่วนที่ติดกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้นบริเวณลำคอด้าน
หลัง นี่แสดงว่า ถูกของมีคมบางอย่างตัดฉัวะเดียว
จนลำคอเกือบขาด และนี่ก็คงเป็นสาเหตุการตาย
ท่าทางจะตายด้วยอาการหายใจติดขัด เพราะเลือด
ไหลลงหลอดลม มากกว่าที่จะตายด้วยอาการเสีย
เลือดเกินขนาดนะนี่ นับเป็นการตายที่ทรมานที่สุด
เลยก็ว่าได้ดูสีหน้าผู้ตายก็คงแสดงว่า ก่อนตายได้
รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส
ใครกันนะ โหดเหี้ยมอำมหิตถึงปานนี้ แล้วอาวุธ
ล่ะ... อะไรที่สามารถเฉือนจนลำคอเกือบจะขาด
ออกจากกันได้อย่างนี้
ผมมองไปรอบ ๆ อีก คราวนี้ก็พบ... วัตถุโลหะตก
อยู่ที่พื้นข้างโซฟา ผมหยิบมันขึ้นมาดู แน่นอน! ใช้
ผ้าเช็ดหน้ารองมือไว้ครับ
'มีด!' ผมอุทานในใจ สิ่งที่ผมหยิบขึ้นมาเป็นมีดเล่ม
ยาว ลักษณะเหมือนมีดโบวี่ที่ใช้ในการดำรงชีวิตใน
ป่า แบบที่พวกเดินป่า หรือพวกทหารชอบใช้แต่ยาว
กว่า ทั้งใบมีดและด้ามมีดที่คมมีดยังมีรอยเลือดติด
อยู่บ้างแต่ไม่มากนัก และเริ่มแห้งแล้ว แสดงว่า
อาวุธสังหารคือ มีดคมกริบเล่มนี้นั่นเอง
ดูจากเลือดที่ไหลออกจากลำคอ และที่เปียกชุ่มบน
พรม โดยยังไม่แห้งหรือแข็งตัว แสดงว่าเพิ่งตายได้
ไม่นานมานี้เอง อาจจะไม่เกินหนึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ
back index next