EVE Burst Error
ภาค โคะจิโร่
วันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 19xx
เผชิญหน้าลอส มิโด
"สวัสดีครับ คุณนักข่าว ผมขอโทษด้วยครับ ที่ลืมไป
ว่านัดเอาไว้"
"ไม่เป็นไรครับ ผมต่างหากที่ต้องขอโทษด้วยครับ ที่
มารบกวนเวลาอันมีค่าของท่านทูต"
"ไม่เป็นไรครับ เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ ที่จะ
ต้องประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับประเทศของผม เพื่อ
ความเข้าใจที่ถูกต้องและเสริมสร้างความสัมพันธ์
อันดีงามระหว่างประเทศของเราทั้งสองสืบต่อไป
ครับ"
นั่นแน่ะ สมกับเป็นทูตจริง ๆ ไม่ทันไรก็สำแดง ลิ้น
ทูต ออกมาแล้ว
ชายคนนั้นเดินมา ผายมือเชื้อเชิญให้ผมนั่งบน
โซฟาชุดรับแขก "เชิญนั่งครับ"
"ขอบคุณครับ"
ผมทรุดตัวลงนั่งโซฟาด้านใกล้ประตู ส่วนชายเจ้า
ของห้องเมื่อเห็นผมนั่งแล้วก็ทรุดตัวลงนั่งโซฟาตัว
ตรงข้าม
"ครับ ก็ขอแนะนำตัวอีกครั้งนะครับ ผม ลอส มิโด
เอกอัครราชทูตเอลเดียประจำญี่ปุ่นครับ มาอยู่ที่
ญี่ปุ่นได้หนึ่งปีแล้วครับ"
"อ่า... รู้สึกเป็นเกียรติมากเลยครับที่ท่านทูตกรุณา
สละเวลามาให้การสัมภาษณ์ด้วยตัวเอง ผมอะมะ..
อ่า...อะมะจิ โคะจิโร่ครับ เป็นนักข่าวอิสระ"
ผมยื่นมือไปจับมือกับนายมิโดที่ยื่นมือออกมาก่อน
นายมิโดเป็นชายวัยราว ๆ สี่สิบ รูปร่างผอมแต่ค่อน
ข้างสูง สวมแว่นตา แต่งตัวอย่างประณีตเรียบร้อย
ผูกเน็คไท สวมเสื้อกั๊กทับเสื้อเชิ้ตแบบง่าย ๆ คงเป็น
เพราะกำลังอยู่ในห้องทำงานของตัวเอง ดวงตาและ
สีหน้าไม่ส่อความรู้สึก บอกให้รู้ว่าเป็นพวกน้ำนิ่ง
ไหลลึกและ 'อ่านยาก'
"ครับ ก็ขอเริ่มเลยนะครับ ไม่ทราบว่าท่านมีเวลาให้
ผมสักกี่นาทีครับ" ผมพูดขึ้นหลังจับมือแนะนำตัว
กันแล้ว
"ครับ เชิญคุณอะมะจิตามสบายเลยครับ สักยี่สิบ
นาทีพอไหมครับ"
"โอเค เหลือเฟือครับ" ผมตอบรับ เอาล่ะ! จะเริ่ม
จากอะไรดี
"ในฐานะที่ท่านเป็นทูตจากประเทศเอลเดีย อยาก
ให้ท่านช่วยเล่าเกี่ยวกับประเทศเอลเดีย ซึ่งเป็น
ประเทศเกิดใหม่ด้วยครับ ว่ามีความเป็นมาเป็นไป
อย่างไรบ้าง รวมทั้งทัศนคติที่ชาวเอลเดียมีต่อชาว
ญี่ปุ่นน่ะครับ"
"ครับ อันนี้งานถนัดของผมเลยครับ คือ...อ่า..
ประเทศสาธารณรัฐเอลเดียเป็นประเทศเกิดใหม่
ตามที่คุณอะมะจิทราบแล้วนะครับ อยู่ในคาบ
สมุทรอาหรับ มีการปกครองในระบอบพระมหา
กษัตริย์ คือ มีกษัตริย์เป็นประมุขของประเทศและ
เป็นผู้บริหารประเทศด้วย คณะรัฐมนตรีและสภา
แต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ทั้งหมด ศาสนาประจำ
ชาติคือ ศาสนาอิสลาม ประเทศของเราถึงแม้ว่าจะ
อยู่ในคาบสมุทรอาหรับก็จริง แต่เราไม่ได้เป็น
ประเทศเศรษฐีที่ร่ำรวยจากการค้าน้ำมัน สินค้า
ออกหลักของเราคือ แร่ธาตุครับ และรายได้ของ
ประเทศอีกแหล่งหนึ่งก็คือ การท่องเที่ยว...
ความสัมพันธ์ทางการทูตกับญี่ปุ่นก็เพิ่งเริ่มมาเมื่อ
ไม่กี่ปีมานี้เองครับ ก่อนหน้านั้นก็มีชาวญี่ปุ่นเข้าไป
ปักหลัก ทำธุรกิจ อุตสาหกรรมในเอลเดียอยู่พอสม
ควร ก่อนที่เราจะเปิดประเทศรับเอาวัฒนธรรมสมัย
ใหม่จากทางตะวันตก
สำหรับทัศนคติที่เรามีต่อญี่ปุ่นนั้น บอกได้เลยว่า
เรามองญี่ปุ่นในแง่ดีมาก เป็นมิตรประเทศของเรา
ในเอลเดียก็มีนักธุรกิจญี่ปุ่นไปลงทุนอยู่ไม่น้อย
และชาวเอลเดียที่สามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้ก็มี
จำนวนพอสมควรทีเดียว อย่างผมนี่เป็นลูกครึ่ง
ญี่ปุ่น ส่วนท่านนายกฯ ลอยด์เองเป็นชาวเอลเดีย
แท้ ๆ แต่ท่านก็พูดญี่ปุ่นได้ด้วยครับ"
"อ่า... จากที่ท่านทูตบอกว่าประเทศเอลเดียปก
ครองด้วยระบบกษัตริย์ และเป็นประเทศมุสลิมนี่
หมายความว่า เดิมตอนที่ยังไม่เปิดประเทศนั่น
อ่า..."
"ใช่ครับ เดิมเราเป็นประเทศที่เคร่งครัดในศาสนา
ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีเก่า ๆ แต่ภาย
หลังท่านนายกฯ ลอยด์เล็งการณ์ไกลเห็นว่า ถ้าเรา
มัวแต่ปิดประเทศเสียแล้วประเทศของเราจะล้าหลัง
และไม่มีอำนาจต่อรองในวงการนานาชาติ ดังนั้นจึง
ตัดสินใจที่จะปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ เปิดรับการลง
ทุนจากตะวันตก รวมทั้งจากญี่ปุ่นด้วย ทำให้มีการ
เข้าไปพัฒนาประเทศให้เจริญขึ้น"
"แล้ว ไม่เกิดปัญหาคัลเชอร์ช็อคบ้างหรือครับ"
"ก็มีครับ... เด็กวัยรุ่นเอลเดียยุคใหม่ กลายเป็นพวก
เห่อของนอก เป็นพวกวัตถุนิยมไปก็มาก ในขณะที่
การนำระบบทุนนิยมเข้าไปใช้ ทำให้การกระจาย
รายได้ที่ไม่เท่าเทียมกันอยู่แล้วยิ่งหนักข้อขึ้นไปอีก
ประชาชนเดิมยากจนอย่างไรก็ยากจนเหมือนเดิม
คนร่ำรวยก็ยังคงมีอยู่เพียงกระจุกเดียว แต่พวกเรา
หมายถึงรัฐบาลที่นำโดยท่านนายกฯ ลอยด์ ก็
พยายามเร่งให้การศึกษาแก่ประชาชนนะครับ นี่ก็ดี
ขึ้นมากแล้วกว่าสมัยที่ถูกปกครองโดยกษัตริย์ คุณ
เชื่อไหมครับ สมัยก่อนอัตราการอ่านออกเขียนได้
ของประชาชนเอลเดียมีไม่ถึงห้าเปอร์เซ็นต์ด้วย
ครับ! แต่ตอนนี้ขึ้นไปเป็นประมาณเจ็ดสิบ
เปอร์เซ็นต์แล้ว"
"โห! น่าตกใจมากเลยนะครับ อันนี้เป็นผลเสียของ
การปกครองแบบกษัตริย์ที่เห็นชัดเลยนะครับ แล้ว
พวกท่านนายกฯ ทำอย่างนี้ทางฝ่ายกษัตริย์เอลเดีย
ไม่ขัดขวางหรือครับ"
"เอ... รู้สึกว่าคุณอะมะจิจะเตรียมตัวมาน้อยไป
หน่อยนะครับ คือ กษัตริย์ของพวกเราสิ้นพระชนม์
แล้วตั้งแต่ปีที่แล้วครับ"
"เหรอครับ ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ" อืมห์ ข้อ
มูลตรงกับที่ผมรับทราบมา "แล้วพระองค์สิ้นพระ
ชนม์ด้วยสาเหตุอะไรครับ"
"อ๋อ! เป็นโรคปัจจุบันนะครับ" เป็นคำตอบ ซึ่งผม
คาดไว้แล้วว่า คงไม่มีการเผยข่าวสู่สาธารณะว่า
กษัตริย์เอลเดียองค์ก่อนถูกลอบปลงพระชนม์ด้วยฝี
มือของ 'เทอร์เรอร์'
นายมิโดสาธยายต่อว่า "แต่อย่างไรก็ตาม พวกที่
เสียผลประโยชน์จากนโยบายพัฒนาของนายกฯ
ลอยด์ก็มีอยู่ นั่นคือ พวกที่เป็นคนใกล้ชิดกับกษัตริย์
เดิมนั่นเองครับ พวกนี้กลัวว่าประชาชนถ้าฉลาดขึ้น
มาก ๆ จะรู้ทันหมดว่าสมัยก่อนพวกในวังหลอกลวง
พวกเขาไว้อย่างไร จึงพยายามขัดขวางท่านนายกฯ
ลอยด์ทุกวิถีทาง แต่..อันนี้คุณนักข่าวไม่ต้องตกใจ
นะครับ เรื่องยังไม่ร้ายแรงมากนักครับ และอยู่ใน
วิสัยที่ท่านนายกฯ จะดำเนินการแก้ไขได้ครับ"
ผมฟังแล้วก็อดนึกยกย่องฝีปากของนายมิโดไม่ได้
สมกับเป็นทูตจริง ๆ ไม่ขายเรื่องไม่ดีของประเทศตัว
เองมากเกินความจำเป็น แต่ดูเหมือนว่าผมจะต้อง
เริ่มเข้าเรื่องซะทีล่ะครับ
"เกี่ยวกับเรื่องพัฒนาการศึกษานี่ ไม่ทราบว่า มีส่วน
เกี่ยวข้องกับการที่ทางเอลเดียมาตั้งโรงเรียนนัก
เรียนต่างชาติเอลเดียในญี่ปุ่นหรือเปล่าครับ"
"โอ!... คุณรู้จักด้วยหรือครับ ใช่ครับ โรงเรียนนี้เป็น
โปรเจคหนึ่งของพวกเราเอง ที่จะลองตั้งและพัฒนา
หลักสูตรการเรียนการสอนขึ้นมา ถ้าได้ผลแล้วเรา
จะนำระบบของโรงเรียนนี้ไปใช้กับโรงเรียนที่
ประเทศแม่ครับ"
"เห็นรับนักเรียนญี่ปุ่นด้วยนี่ครับ"
"ครับผม เราเปิดรับเพื่อที่จะลองดูว่าหลักสูตรของ
เราได้มาตรฐานหรือไม่ นักเรียนญี่ปุ่นที่เรียนกับเรา
จะต้องไปสอบข้อสอบของกระทรวงศึกษาฯ ญี่ปุ่น
อีกทีครับ และผลก็ปรากฏออกมาแล้วว่าโรงเรียน
ของเรามีมาตรฐานการเรียนการสอนที่สูงมาก แต่
สิ่งที่เราภูมิใจมากที่สุดก็คือ การที่เราสามารถให้
การศึกษาแก่บุตรหลานชาวเอลเดียที่อยู่ในญี่ปุ่น
ให้พวกเขารู้จักประเทศของตัวเอง มีความภูมิใจใน
ประเทศและวัฒนธรรมของเรา พร้อมที่จะกลับไป
รับใช้ชาติน่ะครับ"
"ดีจังเลยนะครับ แต่.. น่าเสียดายนะครับที่โรงเรียน
ถูกปิดไป เพราะมีคดีเกี่ยวกับผู้อำนวยการโรงเรียน
ที่ชื่อคุณสตรอลแมน โคน่ะครับ"
"ครับ เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก ทางเราก็ต้องสอบ
สวนต่อไปครับ แต่อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของการ
ฆาตกรรมคุณโคนั้น เห็นว่าทางตำรวจญี่ปุ่นเขาปิด
คดีไปแล้วนี่ครับ"
"ใช่ครับ แต่..." เอาละ หมัดที่หนึ่ง "มีข่าวลับ ๆ ครับ
ว่า คุณโคไม่ได้ตายเพราะฝีมือผู้ต้องหาคนที่ตำรวจ
ญี่ปุ่นประกาศ แต่แกตายเพราะฝีมือของมือสังหาร
จากต่างประเทศน่ะครับ ไม่ทราบว่าท่านทูตพอจะ
ได้ยินข่าวลือนี้บ้างรึเปล่าครับ"
"เอ! ผมก็ไม่ทราบนะครับ ผมรับรายงานมาเท่าที่
ทางตำรวจญี่ปุ่นส่งมาให้เท่านั้นเองครับ คุณอะมะ
จิได้ยินข่าวมาว่ายังไงหรือครับ มือสังหารนั่นมา
จากไหนนะครับ?"
ให้ตายเถอะ หน้าตายจริง ๆ ตอนปฏิเสธก็ทำสีหน้า
แปลกใจได้แนบเนียนจนผมอยากจะเชื่อว่าหมอนี่
ไม่รู้เรื่องจริง ๆ ท่าทางจะเคี้ยวยากจริงแฮะ
ลองหมัดที่สองไปละกัน
"ครับ ผมได้ข่าวมาว่า นักฆ่าจากทางอาหรับ ใช้รหัส
ว่า 'เทอร์เรอร์' เป็นคนฆ่าคุณโคครับ"
"ฮะ ๆ อย่างกับหนังเลยนะครับนี่ แหม แต่เรื่องนี้
คุณนักข่าวน่าจะไปบอกตำรวจญี่ปุ่นนะครับ ไม่ใช่
ผม เพราะผมก็เป็นแค่ทูตที่มาขอพึ่งพิงอาศัยพวก
คุณอยู่เท่านั้นเองครับ"
จ๋อย!! บอกแล้วว่าเคี้ยวยาก แต่ผมก็ัยังไม่ละความ
พยายาม
"แต่มันก็แค่ข่าวลือน่ะครับ ช่างมันเถอะ แล้ว... ท่าน
ทูตเคยพบปะพูดคุยกับคุณโคมาก่อนรึเปล่าครับ"
"ไม่เคยครับ" นายมิโดตอบมาทันควัน "มีบ้างบาง
ครั้งที่คุณโคในฐานะผอ. โรงเรียนต้องส่งเอกสารมา
ถึงผม แล้วผมก็รับพิจารณาแล้วเซ็นตอบกลับไป
บ้าง ก็เท่านั้นเองครับ แต่ไม่เคยเจอกันเลยครับ"
"เหรอครับ" อืมห์ เอาไงต่อดีแฮะ
"ท่านทูตเคยเห็นภาพวาดลายเส้นแบบนี้ไหมครับ"
ผมยื่นภาพถ่ายรูปวาดที่เจ้าหมูตอนโคตัวปลอม
หลอกให้ผมสืบหา ส่งให้มิโดดู ฝ่ายนั้นรับไปดูแล้วก็
ส่งคืนมาที่ผม สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย
ขณะที่ตอบว่า
"เอ! ไม่เคยเห็นเลยครับ แต่ดูรู้ว่าเป็นภาพลายเส้น
อิสลาม ใช่ไหมครับ"
"ครับ" ผมรับรูปถ่ายมาเก็บ แล้วเริ่มส่งหมัดต่อไป
"อ่า... เมื่อไม่นานมานี้ท่านทูตเคยติดต่อว่าจ้างพวก
นักสืบให้ช่วยสืบอะไรบ้างรึเปล่าครับ"
"เอ๊ะ! ไม่เคยนี่ครับ ผมไม่เคยมีความจำเป็นต้องจ้าง
นักสืบให้สืบหาอะไรเลยครับ"
"อ้า! เหรอครับ อืมห์..." ผมทำท่าครุ่นคิด อย่างน้อย
ผมซึ่งมั่นใจในข้อมูลของตัวเองว่า คนที่ว่าจ้างนิไค
โดคนสุดท้ายคือ นายมิโด ก็เชื่อแน่ว่า ตอนนี้นายมิ
โดนี้กำลังโกหกผมแล้วล่ะ
"เอ! รู้สึกว่าคุณนักข่าวไม่ค่อยจะจดบันทึกเลยนะ
ครับ" นายมิโดเอ่ยขึ้นเบา ๆ
ผมแอบสะดุ้งในใจ ก็ผมเป็นนักข่าวจริง ๆ ซะที่ไหน
เล่า ท่าทางชักจะไม่ค่อยดีแฮะ
"แฮะ ๆ คือ ผมเป็นพวกชอบบันทึกลงสมองนะครับ
ใช้จำเอาครับ จะบันทึกไว้เฉพาะโน้ตสั้น ๆ เป็นพวก
คีย์เวิร์ดกันจำผิดเท่านั้นเองน่ะครับ นี่ผมก็ว่ากำลัง
จะขอเวลาจดอยู่พอดีเลยครับ สักแป๊บหนึ่งนะครับ"
"ครับ เชิญตามสบายครับ"
ผมหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กออกมา แล้วก็ทำหันรี
หันขวาง "เอ! ดินสอ ดินสอ อยู่ไหนน้า"
"อ้อ! ผมมีปากกาให้ยืมไหมครับ" นายมิโดรีบดึง
ปากกาออกจากกระเป๋าเสื้อตัวเองทำท่าจะส่งให้ผม
"โอ๊ะ! ไม่ต้องครับ คือ ผมเป็นพวกชอบใช้ดินสอสอง
บีน่ะครับ ลื่นดี ดีกว่าปากกาครับ" ผมรีบปฏิเสธ
แล้วก็ดึงดินสอกดออกจากกระเป๋าเสื้อด้านใน แต่
แล้วก็ทำหล่นลงบนพื้น "โอ๊ะ! ทำหล่นเสียแล้ว ขอ
โทษครับ เสียมารยาทหน่อย"
ผมทำท่าจะก้มลง นายมิโดรีบร้องมาว่า "ผมหยิบให้
ไหมครับ"
"ไม่เป็นไรครับ มันหล่นอยู่ตรงนี้เองครับ เดี๋ยวนะ
ครับ.."
ว่าแล้วผมก็รีบก้มลงไปหยิบดินสอกด อาศัยจังหวะ
นั้นกวาดสายตามองรอบตัว อืมห์ ท่าทางจะมีแต่
ตรงนี้มั้ง คิดในใจอย่างนั้นแล้ว ก็ติดเจ้าเครื่องดัก
ฟังเข้าหมับทันที ที่ใต้โซฟาตัวที่ผมนั่งอยู่ก่อนที่จะ
เงยตัวขึ้นมาพลางร้องขอโทษขอโพยต่อเจ้าของห้อง
ที่ผมเสียมารยาททำของตกซุ่มซ่าม
แกล้งทำเป็นจดอะไรลงสมุดยิก ๆ แล้วก็ปิดสมุด
เงยหน้าขึ้น
"เอ! รู้สึกจะครบเวลาที่ท่านทูตให้ผมแล้วนะครับ ถ้า
งั้นผมก็ขอจบการสัมภาษณ์แต่เพียงเท่านี้ละกัน
ครับ ขอขอบพระคุณมากที่ท่านทูตกรุณาสละเวลา
อันมีค่ามาให้สัมภาษณ์ครับ"
"ไม่เป็นไรครับ แล้วบทความที่คุณจะเขียนจะได้ลงตี
พิมพ์เมื่อไหร่ในสิ่งพิมพ์อะไรเหรอครับ"
"อ๋อ! คงจะรีบไปลงโดยด่วนเลยครับ แล้วผมจะ
บอกให้ทางบก. เขาส่งมาให้ท่านทูตด้วย สักสิบเล่ม
เป็นไงครับ"
"ดีครับ ขอบคุณครับ"
"อ่า...ก่อนกลับ ขออีกคำถามหนึ่งเถอะครับ คือ
ท่านทูตเคยรู้จักกับคนที่ชื่อ นิไคโด ซูซูมุบ้างไหม
ครับ"
"เอ..ไม่ครับ ผมไม่เคยรู้จักนักสืบคนนั้นมาก่อนเลย
ครับ"
โอ๊ว! ได้ผลโดยไม่คาดหมายมาก่อนแฮะ หลังจากที่
ปล่อยให้นายมิโดตีหน้าตายอยู่นาน แต่หมอก็
พลาดจนได้
"เอ๊ะ! ผมยังไม่ได้บอกสักคำนะครับ ว่าคุณนิไคโดนี่
เป็นนักสืบ!"
อ๊ะ ๆ ผมเห็นสีหน้านายมิโดเปลี่ยนไปนิดหนึ่ง แต่ก็
เพียงแวบเดียวเท่านั้น ก่อนที่จะกลับไปตีหน้าตาย
เหมือนเดิม ตอบมาว่า
"อ้าว! เหรอครับ ก็เมื่อกี้คุยกับเรื่องสุดท้ายเกี่ยวกับ
เรื่องนักสืบค้างอยู่ ผมก็เลยคิดไปว่าเป็นเรื่องเดียว
กัน เลยเหมาว่าคุณนิไคโดที่ว่านี่เป็นนักสืบน่ะครับ"
"อ้อ!" ผมไม่รู้จะพูดอะไรมากไปกว่านั้น สรุปแล้ว
ลื่นชนิดจับตัวไม่อยู่ทีเดียวนายคนนี้ ว่าแล้วก็รีบ
เผ่นเถิด ดูเหมือนผมยังมีอะไรต้องทำอีกเยอะ
"ผมขอลาล่ะครับ"
"ครับ สวัสดีครับ ถ้ามีอะไรต้องการข้อมูลอีกก็ติดต่อ
มาที่เลขาฯ ผมได้นะครับ อ้อ! รอเดี๋ยวครับ เดี๋ยวผม
เรียกเจ้าหน้าที่มาส่งคุณนะครับ"
นายมิโดว่าแล้วก็เดินไปที่โต๊ะทำงาน กดอินเตอร์
โฟนภายใน แล้วพูดกรอกลงไป สักประเดี๋ยวหนึ่ง
ประตูห้องก็เปิดออกและนายล่ำบึ้กคนเดิมก็เดินเข้า
มา
"คุณนักข่าวเขาจะกลับแล้ว ช่วยส่งเขาด้วยนะ" เจ้า
ของห้องพูดมา
"ครับ... เชิญทางนี้เลยครับ" นายล่ำบึ้กรับคำแล้ว
หันมาเชิญผม
ผมหันไปลานายมิโดอีกที แล้วหันหลัง เดินตาม
นายรปภ. ออกจากห้องไป
"เอ๊ะ! นั่น" ระหว่างที่เดินมาด้วยกันที่ระเบียงผม
สังเกตเห็นว่ามือของเจ้าองค์รักษ์นั่นหอบเอาเสื้อยืด
ตัวหนึ่งมาด้วย
หมอนั่นหันมานิดหนึ่งก่อนละมองตามสายตาผมไป
ที่เสื้อที่ตัวเองหอบมา ก็เงยหน้าขึ้นมาพูดกับผม
เสียงเรียบ ๆ ว่า
"อ๋อ! นี่เป็นของเก่าไม่ใช้แล้วน่ะครับ ผมกำลังจะเอา
ไปทิ้งครับ พอดีท่านทูตเรียกให้ไปส่งคุณซะก่อน"
"อ้อ! เหรอครับ" ผมเออออไปตามเรื่อง แต่ในใจเริ่ม
ร้อนใจอย่างบอกไม่ถูกเพราะ..
เสื้อยืดนั่น ผมจำได้ ผมเป็นคนซื้อมาเอง แล้วก็เป็น
ตัวที่ผมชอบมากตัวหนึ่งซะด้วย
ไม่ผิดแน่ เสื้อแบบนี้ ต้องเป็นของผมแน่ ๆ และสิ่ง
ต่อไปที่ผมนึกได้ก็ทำให้ผมยิ่งกระวนกระวายขึ้นไป
อีกเพราะ..
ผมจำได้ว่า เสื้อตัวนี้พรินยืมไปใส่เมื่อวานนี้
แต่ทำไม ตอนนี้เสื้อตัวนี้กลับมาอยู่ในมือของหมอนี่
ได้ แถมบอกว่ากำลังจะเอาไปทิ้งอีก
แปลว่า... พรินอยู่ที่นี่ ที่สถานทูตเอลเดียนี้ อย่างนั้น
หรือ???
"ถึงทางออกแล้วครับ" เสียงคนเดินนำหน้าดังขึ้นขัด
จังหวะผม ผมชะงักกึกแทบไม่ทัน หันไปพูด
ขอบคุณ แล้วทำท่าจะเดินออกไปทางประตู แต่
หมอนั่นเรียกยั้งผมไว้ก่อน
"อ้าว! เดี๋ยวครับคุณ ไม่เอาของคืนหรือครับ?"
ผมหันไป เป็นจังหวะเดียวกับที่ฝ่ายนั้นส่งปืนคู่ชีพ
คืนมาให้ผม พลางพูดมายิ้ม ๆ ว่า
"ผมขอแนะนำว่า คุณนักข่าวอย่าเผลอโชว์ปืนนี้ในที่
สาธารณะนะครับ โดนตำรวจจับแน่ ๆ เพราะมัน
เหมือนของจริงเหลือเกิน หึ! หึ!"
ผมรับมาเสียบลงที่เอวเหมือนเดิม ปากก็ขมุบขมิบ
พูดขอบคุณเขาไปตามเรื่อง แล้วหันตัว เดินไปทาง
ประตู
...
back index next