อุบาสิกาถวิล (บุญทรง)วัติรางกูล เล่าว่า
เมื่อป้ายังเด็กคงราวๆ ๗-๘ ขวบ พ่อของป้าชอบพาป้าไปไหนๆ ด้วยเสมอ บางครั้งไปที่ทะเลสาบ หน้าเขางู จังหวัดราชบุรี (ราวๆ เดือน กันยายนถึงตุลาคม น้ำจะท่วมทุ่งหน้าเขางูเป็นเนื้อที่หลายพันไร่ มองเห็นทิวไม้ลิบๆ เป็นทะเลสาบน้ำจืดสวยงามมาก มีกอบัวสายขึ้นเป็นแห่งๆ) แต่ที่ป้าจำได้แม่นทั้งที่ไปเพียง ครั้งเดียว คือปีนภูเขาแห่งหนึ่ง พ่อบอกว่า เราไปหาหินชนวนกันนะลูก เอามาเขียนกระดานชนวนของหนูไงล่ะ หินชนวนที่ภูเขา เนื้อดีสีสวย เขียนนิ่ม ไม่ทำให้กระดานเสีย นักเรียนชั้นประถมศึกษาสมัยเมื่อ ๖๐-๗๐ ปีโน้น ไม่มีสมุดใช้เขียนหนังสือ ใช้กระดานชนวน
ที่ภูเขานี้เอง พ่อสอนป้าให้รู้จักหิน ท่านบอกว่า หินมี ๒ ชนิด มีหินเป็นและหินตาย แล้วท่านก็หยิบหิน มาให้ดู ๒ ก้อน ก้อนหนึ่งมีสีเขียว ปนสีฟ้าและขาว อีกก้อนเป็นสีแดงเหมือนปูนกินหมากของแม่ที่เก่าแห้ง พ่อให้ป้าสังเกตความแตกต่างของเนื้อหิน พ่อบอกว่า นี่นะลูก ก้อนสีเขียวนี้ เรียกว่า หินเป็น บางก้อนก็เป็นสีอื่นๆ แต่ที่พิเศษคือเนื้อหินจะแน่น มีความเหนียวไม่หลุดจากกันง่ายๆ และแกร่ง ถ้าหาอะไรมาเคาะจะมีเสียงแก๊งๆ คล้ายเราเคาะแผ่นเหล็ก
พ่อยกหินชิ้นนั้นมาใกล้ตาของป้า อธิบายต่อว่า ลูกเห็นมั้ย เวลาพ่อจับพลิกไปพลิกมา หนูเห็นอะไร เมื่อเห็นป้ายังทำหน้าเหรอหรา งงไม่รู้เรื่อง ท่านก็ว่า เนื้อหินมันเป็นมันวาวนะลูก แล้วพ่อก็ให้ป้าหยิบพลิกไปมา ตรงแสงแดด หินสะท้อนแสงว๊อบแว๊บ
คำว่า เป็น ทำให้ป้าสงสัยอยู่ตั้งแต่ได้ยิน เราเคยรู้จักแต่คน และสัตว์มีชีวิต กินได้ พูดได้ เคลื่อนไหวได้ เรียกว่า สัตว์เป็น ถ้าตาย ก็ทำอะไร ไม่ได้ ก้อนหินที่พ่อเรียกว่า ดินเป็น มันทำอะไรไม่ได้สักหน่อย เรียกว่า เป็น ได้อย่างไร แต่ก็ค่อยๆ คลายสงสัยลง เมื่อพ่อพูดต่อว่า หินเป็นนี่ ทิ้งไว้นานๆ นานมากนะลูก มันงอกเองได้ แต่มันโตทีละนิด ละนิด เรามองด้วยตาไม่เห็น แล้วเราก็มีอายุไม่ยืนมากพอ ที่จะเห็นความเติบโตของเขา เราตายไปเสียก่อน แต่ว่าเขาจะโตได้ ต้องอยู่ในที่ที่เคยอยู่ เช่นภูเขา ถ้าเรามาตัด มาทุบ หรือมาระเบิดเอาเขาไป เขาก็เลิกโต พ่อพูดเหมือนหินนั้น เป็นคนหรือสัตว์ชนิดหนึ่ง
จากนั้นพ่อก็หยิบหินอีกก้อนที่เหลืออธิบายให้ป้าฟัง ก้อนนี้เรียก หินตายจ้ะลูก ดูเนื้อหินซีลูก เอา อะไรเคาะก็รุ่ยหลุด มันไม่เหนียว เนื้อทุบแตกง่ายเพราะไม่แข็ง สีไม่มีมันเงา แห้งด้าน ป้าเห็นจริงตามนั้น อย่างนี้มันก็ไม่โตอีกแล้วใช่มั้ยคะ พ่อตอบว่า ใช่ มันตายแล้วมีแต่ร่วนซุย กลายเป็นดินไปในที่สุด
มีบางครั้งพ่อพาป้าไปธุระ ผ่านหมู่บ้านบางแห่ง มีคนทำมาหากินด้วยการเผาหินให้เป็นปูนขาว พ่อพูดกับป้าว่า หินที่ใช้ทำปูนขาวดีที่สุดคือ หินเป็น อยู่ที่ภูเขา (ป้าจำชื่อไม่ได้เสียแล้ว) คนพวกนี้เขาไม่รู้ อะไร เอาหินเป็นมาเผา อีกหน่อยจะเดือดร้อน ไม่มีทางทำมาหากินร่ำรวยได้เลย ลูกคอยดูไปก็แล้วกัน
ป้าไม่ได้ถามพ่อต่อ แต่เข้าใจเอาเองในเวลานั้นว่า หินเป็น คงมีชีวิตเหมือนตัวเรา เอาไปเผาไฟ หินก็ต้องตายจนกลายเป็นขี้เถ้า คนทำก็ต้อง บาปซี เพราะไปฆ่าของมีชีวิต บาปทำให้ทำกินไม่รวย มีเรื่องร้อนอยู่เรื่อย เพราะเอาของร้อนไปเผาหินนี่ ตนเองก็ต้องถูกความทุกข์ เผาเอาสิ
ต่อมาอายุมากเข้า ศึกษาและปฏิบัติธรรมจึงทราบว่า เทวดาบางประเภทมีหน้าที่รักษาแม่น้ำ ป่า ภูเขา ทะเล ฯลฯ ไปเอาสิ่งเหล่านั้นมา ถ้าเป็นของที่เทวดาที่เป็นเจ้าของหวงแหนย่อมเกิดโทษได้ ไม่ใช่ เหมือนที่ป้าคิดอย่างสมัยเด็ก
ในปี พ.ศ.๒๕๓๙ ป้าเดินทางไปที่ลอสแองเจลีส สหรัฐอเมริกา มีโอกาสไปที่พิพิธภัณฑ์ของ เมืองนั้น ได้เห็นแหล่งกำเนิดของทองคำ และอัญมณีบางชนิด เช่น เพชร มรกต สิ่งที่เห็นเหมือน ก้อนหินเป็นก้อนใหญ่ๆ เขาผ่ากลางก้อนให้เห็นของข้างใน พวกทองคำกลิ้งเป็น ก้อนเล็ก ก้อนใหญ่ อยู่ข้างใน หินบางก้อนมีอัญมณีอยู่ข้างใน แต่ไม่หลุดจากเนื้อหินที่หุ้มอยู่ คงต้องสกัดออก สิ่งมีค่าเหล่านี้ ไม่มีมากจนแน่นเนื้อหิน แต่เหมือนวางอยู่ในถ้ำ มีที่ว่างเป็นอุโมงสวยงาม
ของที่เราสมมติกันว่ามีราคาเหล่านี้เป็นของหายาก ต้องใช้เวลาสร้างตนเองหลายร้อยล้านปี เมื่อมนุษย์พบเข้ามักจะนำไปทำเครื่องประดับ ไม่ทำลายทิ้ง เทวดาบางประเภทชอบอาศัยอยู่ เมื่อ ของเหล่านี้ไปอยู่กับใคร เทวดาก็มักตามไปอยู่ด้วย หินอันเป็นแหล่งเกิดของแร่มีค่า และอัญมณี ต่างๆ ดังกล่าว เรียกว่าเป็นหินกาลเวลาชนิด หินเป็นจึงสามารถมีการเจริญเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีได้ ถ้าเป็นหินตายจะต้องผุเปื่อยเป็นดิน ไปตาม เวลา
พระมหาสิริราชธาตุ พระของขวัญที่วัดพระธรรมกายจัดทำขึ้น เป็นวัตถุธาตุที่เป็น หินเป็น ประกอบด้วยเนื้อเหล็กแกร่ง ปนด้วยแร่ทองคำ และธาตุสีน้ำตาลปนแดง มีอายุนาน ที่พิสูจน์ทางวิชาการ ของกรมทรัพยากรธรณี ประมาณ ๒๐๐ ล้านปีขึ้นไป
เนื้อหินเป็นมันวาว มีความเหนียวและแข็งแกร่ง ชนิดที่ใช้เครื่องมือธรรมดาตัดหินทั่วไป ตัดเป็น ชิ้นเล็กๆ ไม่ได้ ต้องใช้เครื่องมือพิเศษ หลายคนได้เห็นความเปลี่ยนแปลง ของเนื้อหินขององค์พระ ที่ตนเองเป็นเจ้าของ เช่นเมื่อรับองค์พระไป ครั้งแรกมีเนื้อทองปนอยู่เล็กน้อยเท่า หัวเข็มหมุด ครั้นทำบุญเพิ่มขึ้น ทั้งทำทาน รักษาศีล และภาวนา ฯลฯ สังเกตดูใหม่ พบว่าองค์พระ มีสายทองคำขึ้นในเนื้อหิน เป็นแผ่นยาวออกไป เรื่อยๆ เจ้าของไม่ทราบสาเหตุ ต่างพากันคิดว่า คงเป็นปาฏิหาริย์ขององค์พระ
ในความคิดเห็นของป้า หินที่นำมาสร้างเป็นพระมหาสิริราชธาตุนี้เป็น หินเป็น สามารถเปลี่ยน แปลงได้ เป็นคุณสมบัติพิเศษของเนื้อหิน เมื่อกระทบกับกระแสพลังบุญที่เจ้าของทำ กระแสบุญ นั่นเองสามารถทำให้ หินเป็น ชนิดนี้เปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วกว่า ปล่อยให้เปลี่ยนเอง ตามธรรมชาติ
อนึ่งในปี ๒๕๒๓ ถึงราวๆ ๒๕๒๖ ปลายปี ป้าเคยเรียนปริยัติธรรม เกี่ยวกับเรื่องพระอภิธรรม ในบทที่กล่าวถึงเรื่องจิต กล่าวว่า จิตสามารถ สร้างรูปได้ และในบทที่กล่าวถึงเรื่องรูป มีการจำแนกว่ารูป มีองค์ประกอบอะไรบ้าง มีรูปอยู่ชนิดหนึ่งเรียกชื่อว่า อวินิพโภครูป เป็นรูปที่ละเอียด ที่สุด เล็กมากที่สุด จนไม่สามารถแยกให้เล็กกว่านั้นต่อไปอีกได้ มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น รูปเล็กที่สุด (คงเทียบได้กับพวก อนุปรมาณู) อย่างนี้ แล้วก็ยังประกอบรวมอยู่ในตัวถึง ๘ อย่างคือ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม สี กลิ่น รส และ ธาตุอาหาร
เสียใจจริงๆ ที่ผลการปฏิบัติธรรมของป้าไม่เชี่ยวชาญพอ ที่จะเห็นการทำงานของธาตุต่างๆ ที่เรียน ในภาคปริยัติเอาไว้ แต่เคยเห็น พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่าน สอนผู้ที่ปฏิบัติธรรมได้ผลแล้ว เรียนพระ อภิธรรมในญาณ ของวิชชาธรรมกาย ท่านพูดกับผู้นั้นว่า เรียนด้วยการเห็น ดีกว่าเรียนด้วยการท่องนะจ๊ะ ป้าเห็นจริงตามท่านอย่างยิ่ง แต่เมื่อความสามารถทางจิตไม่ถึงขั้นเรียนขั้นสูงได้ บางครั้งก็ต้องใช้ปัญญา แค่ ๒ ระดับต้น คือ สุตตมยปัญญา กับจิตตมยปัญญา มาปลอบใจ ปล่อยให้ผู้มีภาวนามยปัญญา เรียนล่วงหน้าไปก่อน
ป้าจึงสันนิษฐานเอาว่า วัตถุทุกอย่างในโลกนี้หรือโลกไหนก็ตาม (ยกเว้นเรื่องพลังงาน และเรื่อง จิตใจ) ที่ทางภาษาพระเรียกว่า รูปนั้น ไม่ว่าจะเป็นร่างกายคน สัตว์ และสิ่งของทุกอย่าง แร่ ธาตุ หิน อัญมณี ต้นไม้ ใบหญ้า สรรพสิ่งทั้งปวงก็ต้องมีรูปเล็กละเอียดที่เรียกว่า อวินิพโภค รูปนี้ประกอบอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่อัตราส่วนในการประกอบธาตุเหล่านั้นแตกต่างกันออกไป บางอย่างมีธาตุนี้มาก ธาตุนั้นน้อย สิ่งที่ประกอบ ขึ้นมาด้วยความต่างกัน จึงมีคุณสมบัติต่างกันตามไปด้วย
ทีนี้ในอากาศที่ว่างเปล่า เรามองไม่เห็นอะไรอยู่นี้ ความจริงมีรูปที่เรียกว่าอวินิพโภครูปอยู่เต็มไปหมด เมื่อมีกระแสพลังของพลังงาน บางอย่าง เช่น กระแสจิต กระแสบุญ กระแสคลื่นไฟฟ้า ฯลฯ เกิดขึ้นกระแส เหล่านั้นเองย่อมทำให้เกิดจิตชรูป (รูปที่เกิดจากจิต) คือดึงเอาธาตุ บางอย่างจากอากาศมาผสมในวัตถุที่มี อยู่เดิม ให้มีคุณสมบัติมีลักษณะเปลี่ยนไป
ในกรณีที่มีผู้เป็นเจ้าของพระมหาสิริราชธาตุหลายรายพบว่า เนื้อหินขององค์พระมีธาตุทองคำเพิ่มมาก ขึ้น แสดงว่า กระแสใจที่มีพลังบุญ เพิ่มขึ้นของเจ้าของ รวมทั้งกระแสบุญฤทธิ์จากผู้มีฤทธิ์อาราธนามา พร้อม ด้วยคุณสมบัติของเนื้อวัตถุธาตุองค์พระเอง รวมกระแสพลังดึงดูดธาตุ สีเหลืองทองและอื่นๆ จากอวินิพโภค รูปนับจำนวนไม่ถ้วนในอากาศ เอามาใส่เพิ่มหรือเปลี่ยนสีเนื้อหินองค์พระ ทองคำในหินจึงเกิดเพิ่ม เรียกว่า เปลี่ยนอัตราส่วนผสมของเนื้อหิน
ทำนองเดียวกัน ถ้าคิดย้อนหลังไปในสมัยพุทธกาล ไม่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใด มักจะมี เรื่องเล่าถึงการทำทานหรือถวายอาหาร บิณฑบาต แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระอรหันตเจ้าที่เพิ่งออกจาก นิโรธสมาบัติ เสร็จแล้ว ผู้ทำทานกลับมาถึงบ้านเข้าบ้านไม่ได้ เพราะ มีของ มีค่าต่างๆ เช่นเพชรนิลจินดา ทองคำ ฯลฯ ตกจากอากาศ (ท้องฟ้า) ลงมาจนเต็มบ้าน หรือบางทีใส่บาตรพระอรหันต์ ดังกล่าวแล้ว ผืนดินที่ตนไถนา ไว้ เมื่อก่อนใส่บาตร ก้อนดินที่ไถกลายเป็นทองคำไปทั้งหมด
นั่นสันนิษฐานว่า แรงบุญของคนทำบุญในเนื้อนาบุญที่บริสุทธิ์ มีกำลังจับอวินิพโภครูปในอากาศมา รวมตัวกันเข้าใหม่ ด้วยอัตราส่วน ที่ทำให้เกิดเป็นสิ่งต่างๆ เหล่านั้น แรงบุญเป็นแรงที่เกิดจากการทำกรรมดีมี อำนาจมหาศาลอย่างนี้
ป้าเล่ามาถึงตอนนี้แล้ว ใคร่เรียนย้ำว่าคำตรัสสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราที่ว่า แรงใดไม่เท่า แรงกรรม นั้นเป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่ กรรม มีทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว เวลาให้ผลขึ้นมา สิ่งใดๆ ในโลก แม้ในจักรวาล ก็ไม่สามารถต้านทานได้ สู้กันได้อยู่อย่างเดียวคือ แรงกรรมด้วยกัน เพียงแต่เป็นแรงกรรมคนละฝ่าย
คนที่เคยทำกรรมชั่วไว้มาก สามารถทำกรรมดีให้มากกว่ามากยิ่งๆ ขึ้นไปไม่ว่างเว้น เมื่อกรรมชั่วมาทันจะ เข้าให้ผล กรรมหนักฝ่ายดี อาจมีกำลังพอต้านทาน ผ่อนหนักเป็นเบา หรือจากเบาก็คลายหายไปเป็นอโหสิกรรม (กรรมที่เลิกให้ผล) ตามไม่ทันอีกแล้วไปเสีย
ตรงข้าม ถ้าเคยทำดีไว้แล้วเลิกทำ ทำตรงข้าม ก็ต้องได้รับผลตรงข้าม หรือบางทีมีความดีอยู่เดิม เรียกว่า มีบุญเดิมตามมาอุปถัมภ์ค้ำชูชีวิต แล้วต่อมาเกิดประมาท ไม่สร้างบุญกุศลเพิ่ม แต่ก็ไม่ได้ทำชั่ว เรียกว่าอยู่เฉยๆ กินบุญเก่าไปเรื่อยๆ วันแล้ววันเล่า
วันหนึ่งหมดบุญเก่าขึ้นมา บุญใหม่ไม่มีตามรักษาให้ผลต่อ จึงต้องกลายจากเศรษฐีหมื่นล้านเป็นขอทาน ข้างถนน จากมีงานทำรายได้ เดือนละเป็นแสน เป็นตกงาน ไม่รู้จะทำอะไรเลี้ยงชีวิตและครอบครัว นี่คือแรงกรรม
เมื่อทราบดังนี้แล้ว คนที่หมั่นสั่งสมแต่บุญกุศลไว้เสมอ จึงไม่ใช่คนไร้เหตุผล งมงายไร้ปัญญา แต่เป็นคนที่ดำรงชีวิตอยู่อย่างไม่ประมาท คนเราทำมาหากินให้ได้เงินทองมา ยังรู้จักกระเหม็ดกระแหม่เก็บไว้ใช้ใน วันหน้าเพราะเงินทองที่มีอยู่ ใช้ทุกวันโดยไม่หาเพิ่มไว้ใหม่ เงินทอง ย่อมร่อยหรอหมดไป จนไม่มีอะไรเลี้ยงชีวิต
ชีวิตของเราเกิดเป็นคนมาได้ไม่ใช่เกิดส่งเดช มีบุญส่งมาเกิด มีบุญตามมาดูแลเลี้ยงรักษา เรามีชีวิตอยู่ แต่ละวัน ก็ต้องใช้บุญนั้นหมดไป ทุกวัน เราจะรู้ได้อย่างไรวันไหนบุญหมด หมดเมื่อไร ไม่ตายก็ทุกข์สาหัส เมื่อไม่รู้วันบุญหมด จำต้องไม่ประมาท มีโอกาสสะสมเรื่อยไป อย่าให้หมด
เศรษฐีร้อยล้านปล่อยให้บุญหมด ขับรถยนต์ราคาสิบล้าน ออกจากบ้านเปรี้ยงเดียวก็แหลกทั้งรถทั้งคน ยุคนี้เราเห็นตัวอย่าง คนหมดบุญ มากมายทั่วทั้งโลก แทบจะพากันอดตาย เพราะภัยหลายรูปแบบ มีบุญทำไว้ สม่ำเสมอเนืองนิจ แม้จะอยู่ท่ามกลางความเดือดร้อนทั้งหลาย ที่ผู้คน กำลังเผชิญ แรงกุศลกรรมที่เป็นอาจิณกรรม นั่นเองส่งกระแสพลังงานเข้าปกป้องคุ้มครองเจ้าของ ไม่เดือดร้อนเหมือนคนหมดบุญแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ จึงขอให้เราทุกคนคิดเหมือนป้ากันดีกว่า เอาบุญเป็นที่พึ่ง มีชีวิตอยู่ด้วยการสะสมเสบียงบุญ ทำไปให้สุดกำลัง ใครจะว่าอะไร ช่างเขา ตายแล้วรู้กันค่ะ
[สารบัญ] [ ๑๑ ] [ ๑๒ ] [ ๑๓ ] [ ๑๔ ] [ ๑๕ ] [ ๑๖ ] [ ๑๗ ] [ ๑๘ ] [ ๑๙ ] [ ๒๐ ]