อานุภาพพระมหาสิริราชธาตุ

พิเศษ - สู้ด้วยขันติ

ปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เราได้ร่วมกันทำบุญทอดผ้าป่า สร้างหลังคา สภาธรรมกายสากล ส่วนที่ต่อเติมออกไป รอบทิศกันแล้ว ป้าขอ อนุโมทนาบุญ ด้วยกับทุกคน สมัยครั้งทำบุญปูแผ่นปูน รองนั่งที่สภาฯ หลังคาจาก ป้าจำได้ว่า ป้าทำบุญไปหลายแผ่น ทุกครั้ง ที่เข้าไปนั่ง ที่นั่น ความรู้สึกปีติเกิดขึ้นเสมอ เพราะอดนึกถึงกุศลกรรม ที่ร่วมทำไว้ไม่ได้ เป็นอปราปรเจตนากุศล คือบุญเกิดขึ้น จากการตามนึกถึง กุศลกรรม ที่เคยทำเอาไว้

มาคราวนี้ เวลาใดที่เราเข้าไปประชุมร่วมกัน ในสภาธรรมกายสากลหลังใหม่ เราก็ย่อมนึกได้ ตั้งแต่สร้างเสาค้ำฟ้า สร้างพื้นศาลา รวมทั้ง สร้างหลังคาที่เพิ่งร่วมบุญกัน ในวันวิสาขบูชาที่ผ่านไป มานึกถึงเรื่องดีๆ อย่างนี้ของเราดีกว่า เพราะนี่คือหน้าที่ของเรา หน้าที่สร้างบุญ สร้างบารมี ทำความดีรุดหน้าถ่ายเดียว ความชั่วแม้น้อยนิด ไม่ให้คิดทำ การสร้างบุญกุศล เป็นหนทางของเรา ใครเขานิยม สร้างบาปอกุศล เป็นหนทางของเขา ทางใครทางมัน ขอทุกคนอย่าหลงทาง

บุญที่ทำไปแล้ว เราก็ตามคิดถึง บุญที่จะเกิดขึ้นใหม่ เราก็ต้องคิดถึงให้เป็น ปุพพเจตนากุศล ระยะนี้การบริจาคทาน ยิ่งใหญ่ครั้งต่อไป คือ การทอดผ้าป่า หนึ่งหมื่นวัด ในวันสมาธิโลก ๘ สิงหาคมที่จะถึงนี้ เพื่อต่ออายุคุณยายอาจารย์ของเรา สำหรับบุญที่ทุกคน ต้องทำประจำ ให้ยิ่งยวด ในทุกเวลาคือ การทำทาน รักษาศีล และภาวนา การที่พวกเราร่วมใจกัน ประกอบมหากุศล ทั้งทำทาน รักษาศีล และภาวนา ให้บ่อยๆ ตลอดเวลา ย่อมเป็นมหากุศลใหญ่ ต้านทานภัย ให้แก่พระพุทธศาสนาของเรา

เพราะเวลานี้บ้านเมืองของเรา ไม่ได้ร่มเย็นเป็นสุขนักหรอกนะคะ เรากำลังมีปัญหา ทางเศรษฐกิจกันอยู่ทั้งประเทศ ปัญหาดังกล่าว เป็นจุด อ่อนแอที่สุด ในการที่จะถูกชนชาติอื่น กลืนกินชาติของเรา เพียงชาติของเขา สามารถช่วยเหลือชาติของเรา หรือกลุ่มคนของเรา ในทาง เศรษฐกิจ ได้บ้าง แล้วตั้งข้อแม้ต่างๆ ขึ้น ชาติของเรา หรือคนของเรา ก็จะรีบรับความช่วยเหลือ แก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้า โดยไม่ได้คำนึงถึง ผลร้ายในภายหน้า แต่ประการใด ดังที่เรากำลังพบเห็นกันอยู่เวลานี้

ป้านำเรื่องนี้มาคุยกับคุณ เพราะบังเอิญได้อ่านเอกสารคำนำ ของหนังสือเล่มหนึ่ง พูดเรื่องการสูญเสียพ ระพุทธศาสนาในประเทศ ศรีลังกา ๒ ครั้ง ซึ่งมีเหตุการณ์ครั้งที่สอง คล้ายๆ เหตุการณ์ในประเทศไทยเราขณะนี้ หนังสือเล่มนี้ชื่อ เดอะ เกร๊ท คอนโทรเวอซี่ แอ็ท ปานาทุราฯ แปล โดย สุคน

ในคำนำของหนังสือดังกล่าว ป้าพอเล่าสรุปให้คุณฟังโดยย่อดังนี้

เกาะซีลอน หรือประเทศศรีลังกาในปัจจุบันนี้ ในอดีตเมื่อ พ.ศ.๒๓๖ ได้มีพระอรหันตเถระ ในพระพุทธศาสนารูปหนึ่งชื่อ พระมหินทา เป็น โอรส องค์หนึ่ง ของพระเจ้าอโศกมหาราช แห่งอินเดีย นำพระพุทธศาสนา มาเผยแผ่ ศาสนาพุทธ เจริญรุ่งเรืองมาก ในประเทศนั้น แม้ขณะที่ ประเทศ อินเดียถูกศาสนาอื่น ทำลายพุทธศาสนาย่อยยับสูญสิ้นไปแล้ว ที่ประเทศศรีลังกา ก็ยังรุ่งเรืองอยู่

กระทั่งปี พ.ศ. ๒๐๔๘-๒๒๐๑ ในรัชสมัยของกษัตริย์ชื่อ พระเจ้าธรรมปาละ พระพุทธศาสนาถูกทำลายครั้งที่หนึ่ง โดยพวกนักล่าอาณานิคม ชาวยุโรป แผ่อิทธิพลเข้ามาถึง พวกนั้น ได้นำศาสนาของเขา เข้ามาเผยแผ่ ใช้อำนาจทางการเมือง บังคับให้ประชาชน เปลี่ยนศาสนา ถึงกับ มีการบังคับให้ พระเจ้าธรรมปาละ มอบพระเขี้ยวแก้ว ของพระพุทธเจ้า ให้พวกเขา และให้นักบวชในศาสนาของเขา นำพระเขี้ยวแก้ว มาตำ ในครก จนแหลกละเอียด เป็นผุยผง แล้วนำไปทิ้งในทะเล ต่อหน้าฝูงชนชาวลังกา ทั้งสร้างเหรียญที่ระลึก เป็นภาพนักบวชของเขา ใช้ครกสาก ตำพระเขี้ยวแก้ว จารึกคำในเหรียญว่า ู้พิทักษ์ศาสนาอันแท้จริง ประมุขศาสนาของพวกเขา  ส่งสาส์นมาแสดงความยินดี ที่ทำลายปูชนีย วัตถุของ ชาวพุทธลงได้

ภายหลังกษัตริย์ ธรรมปาละ จึงได้แถลงข่าวออกมาว่า พระเขี้ยวแก้วที่ถูกทำลายนั้น เป็นของปลอม ของจริงยังคงรักษาไว้จนทุกวันนี้

ในการทำลายพระพุทธศาสนา ครั้งแรกคราวนั้น เฮช อาร์เปอเรร่า ได้บรรยายการกระทำของ พวกนักล่าอาณานิคมเหล่านั้น ไว้ตอนหนึ่งว่า ในการเปลี่ยนแปลงให้ผู้คน หันมารับนับถือศาสนาใหม่นั้น พวกเขาได้ปรับใช้วิธีการเด่นๆ สองวิธีด้วยกันคือ 

วิธีแรก หลอกล่อด้วยตำแหน่งสูงๆ หรือผลประโยชน์จูงใจอย่างอื่น วิธีที่สอง เมื่อวิธีแรกใช้ไม่ได้ผล ก็จะใช้วิธีลงโทษ อย่างทารุณโหดเหี้ยม

ประชาชนผู้ที่ประสงค์ จะได้รับตำแหน่งงานสูงๆ จะต้องนับถือศาสนาของเขา ส่วนผู้ลังเล ไม่ยอมเปลี่ยน ศาสนา หรือแสดงอาการ ต่อต้าน ขัดขืน จะถูกลงโทษ อย่างทารุณโหดเหี้ยม 

มีเรื่องเล่าลือกันว่า หลายคนถูกจับโยนทิ้ง ให้เป็นเหยื่อของจระเข้ในแม่น้ำ เด็กๆ ที่ถ่มน้ำลายรดใส่พวกทหาร ถูกกระชากตัว เอามาบดขยี้ ฆ่าทิ้งต่อหน้ามารดา ซึ่งมารดาก็จะถูกทรมานจนตายในที่สุดเหมือนกัน บรรดาผู้ที่กล้าบูชากราบไหว้ในที่สาธารณะ หรือกล้าห่มจีวร ผ้าเหลือง ต้องถูกฆ่าทิ้ง วัดวาอารามต่างๆ ทางพระพุทธศาสนาทั้งหลาย ถูกทำลาย ทรัพย์สมบัติถูกปล้นชิง ห้องสมุดต่างๆ ถูกเผาทิ้ง

ด้วยเหตุนี้ พระพุทธศาสนาจึงตกต่ำ ลงเรื่อยมาทั่วทั้งเกาะ จนกระทั่งไม่มีพระภิกษุสงฆ์เหลืออยู่เลย แม้แต่รูปเดียว นับว่าเป็นยุคมืดมนที่สุด ยุคหนึ่งของพระพุทธศาสนา บนเกาะแห่งนี้

ต่อมาในรัชสมัยของกษัตริย์ กีรฐิ ศรีราชาสิงหะ พวกปอร์ตุเกสพ่ายแพ้สงคราม พระพุทธศาสนา จึงได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่อีกครั้ง โดย พระเจ้าแผ่นดิน ทรงแต่งตั้งราชทูต ไปขอพระสงฆ์จากประเทศไทย และประเทศพม่า มาสืบพุทธศาสนาวงศ์ อุปสมบทให้กับชาวลังกา ทำให้มี พระพุทธศาสนาเกิดขึ้น ๓ นิกาย คือ สยามนิกายจากไทย อีก ๒ นิกายชื่อ อมราปุระนิกาย และรามันนานิกาย จากพม่า คำสอนทั้ง ๓ นิกายไม่แตกต่างกัน ทำให้พุทธศาสนาเจริญขึ้น อีกครั้งหนึ่ง

การทำลายพระพุทธศาสนาครั้งที่สอง อยู่ระหว่างปี พ.ศ.๒๓๓๙-๒๔๙๑ หลังจากสามารถฟื้นฟูพระพุทธศาสนาจากการทำลาย ของ ปอร์ตุเกสได้เพียง ๑๓๘ ปี ลังกาก็ถูกอังกฤษทำลายพุทธศาสนาเป็น ครั้งที่สอง โดยอังกฤษยึดพื้นที่แถบ ชายฝั่งของเกาะ ไว้ได้ทั้งหมดปี พ.ศ. ๒๓๓๙ 

ต่อมาปี พ.ศ. ๒๓๕๘ อังกฤษ ทำสนธิสัญญา กับบรรดาหัวหน้าชาวเกาะว่า จะคุ้มครองพระพุทธศาสนา อนุญาตให้ชาวพุทธสามารถ ประกอบพิธีกรรมต่างๆ ได้โดยไม่ถูกทำลาย ต่อจากนั้นไม่นาน บรรดาหัวหน้าและชาวเกาะ จึงรู้ว่า อังกฤษไม่ได้มีความจริงใจ ที่จะเคารพ สิทธิ ในการนับถือ พระพุทธศาสนาของชาวเกาะ เพราะพวกอังกฤษ พยายามทุกวิถีทาง เปลี่ยนให้ประชาชน ไปนับถือศาสนาของเขา ซึ่งเป็น ศาสนาเดียวกับ พวกปอร์ตุเกส แต่คนละนิกาย โดยกระทำการดังนี้คือ

-ห้ามชาวพุทธจัดพิธีกรรมทางศาสนา ขณะที่ศาสนาของพวกเขาจัดได้
-เด็กที่เกิดมา หากไม่ทำพิธีให้เป็นศาสนิกชนของเขา จะไม่ได้รับการจดทะเบียนเกิด ตามกฎหมายให้
-เจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่นับถือศาสนาของเขา ไม่ได้รับอนุญาตให้ จดทะเบียนสมรสกับคนต่างศาสนา
-ข้าหลวงชาวอังกฤษบางคน พยายามทำลายสถาบันสงฆ์ และองค์กรสำคัญของพระพุทธศาสนา ด้วยการทำให้พระสงฆ์ แตกแยก กับ ฆราวาส เพราะหากปล่อยให้ สามัคคีกันเหนียวแน่น จะทำลายได้ยากมาก
-เจ้าหน้าที่ในศาสนาของเขา ได้รับอภิสิทธิ์ครอบครองอำนาจ ทางการศึกษาของชาติ ไว้เกือบทั้งหมด พวกนี้โจมตี พระพุทธศาสนา และ หลักธรรมคำสอนต่างๆ ของพระพุทธเจ้า อย่างรุนแรง ทั้งทางวาจาและทางหนังสือ สิ่งตีพิมพ์ นับล้านๆ ฉบับ ถูกแจกจ่ายไปทุกตำบล ทุก หมู่บ้าน เพื่อโจมตีพระพุทธศาสนา
-ในกรุงโคลัมโบ ในที่สาธารณะชาวพุทธไม่สามารถเรียกตนเอง ว่าเป็นชาวพุทธ พระภิกษุสามเณร ถูกห้ามออกบิณฑบาต ตามท้องถนน
-มีสิทธิพิเศษและเครื่องล่อใจ นานาชนิด นำมาใช้หลอกล่อให้ชาวพุทธ เปลี่ยนศาสนา เช่น เรื่องหน้าที่การงาน เงินเดือน ตำแหน่ง ลาภ ส่วนตัว รวมทั้งบรรดาศักดิ์และยศสูงๆ ที่ข้าหลวงอังกฤษเสนอให้ ทำให้ครอบครัวที่ร่ำรวย และมีหน้าตา ต่างพากันเปลี่ยนศาสนา ทั้งในเมือง และตามชนบท
-เจ้าหน้าที่ทางศาสนาของอังกฤษ ครอบครองอำนาจ ทางการศึกษาของชาติได้ โดยอาศัย หนังสือพิมพ์ และ สิ่งตีพิมพ์ อื่นๆ นับล้านๆ ฉบับ โจมตีพระพุทธศาสนา ทั้งในโรงเรียน และที่สาธารณะ
-ขณะออกเดินทางไปแจกจ่ายเอกสาร และกล่าวเทศนาโจมตีศาสนาพุทธ ทั่วทุกตำบล และทุกหมู่บ้าน ก็ทำการโฆษณา ชวนเชื่อ เชิดชูยกย่อง ศาสนาของตน เพื่อให้ชาวพุทธเปลี่ยนศาสนา ในเวลาเหล่านั้น พระภิกษุสงฆ์ทางฝ่ายพุทธ ไม่สามารถ ต่อต้าน การกระทำของศาสนา ดังกล่าวได้ ทำได้อย่างมาก แค่เทศนา ในวันอุโบสถที่วัด และกล่าวแก้คำ กล่าวหา ซึ่งไม่ได้รับผลสักเท่าใด

กระทั่งประมาณปี พ.ศ.๒๔๐๓ (ค.ศ.๑๘๖๐) ได้มีสามเณรหนุ่มรูปหนึ่งของฝ่ายพุทธ ซึ่งได้รับการศึกษาขั้นต้น ในโรงเรียนศาสนานั้น หลาย แห่ง ได้ศึกษาคำสอนของศาสนานั้น อย่างช่ำชอง รวมทั้งเชี่ยวชาญในหลักคำสอนต่างๆ ของพระพุทธเจ้า ได้แสดงตัว ท้าทายโต้วาทีกัน อย่างเปิดเผยกับศาสนาของชาวอังกฤษ สามเณรรูปนี้ชื่อ มโหตติวัต-เต คุณานันทะ

การโต้วาทีได้ถูกจัดขึ้นหลายครั้ง ครั้งที่โด่งดังที่สุดที่เมืองปานาทุรา ปีพ.ศ.๒๔๑๖ วันที่ ๒๖-๒๘ สิงหาคม มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก เท่ากับ เป็นการช่วยเหลือให้พระพุทธศาสนา ไม่สิ้นสูญไปจากเกาะลังกา เหมือนการถูกทำลายในครั้งแรก และได้พอกระเตื้องดีขึ้น ภายหลังเมื่อ อังกฤษ ยินยอมให้ศรีลังกา เป็นอิสระ ปกครองตนเองได้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๑

สุคน ผู้แปลคำโต้วาทีเป็นภาษาไทย ได้เล่าต่อไปว่า เมื่อต้นเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๑ ได้พบ พระอริยธรรมเถโร จากประเทศศรีลังกา ซึ่งเดินทางมาประเทศไทย ศึกษาข้อมูลทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโท ทางวิชาโบราณคดี ท่านบอกว่า ที่ประเทศศรีลังกา หน่วยงาน ที่ดูแลเรื่อง โบราณคดี มีแต่เจ้าหน้าที่ศาสนาอื่น ทำให้ไม่ได้ข้อมูลแท้จริง จึงมาศึกษาจากประเทศไทย เพื่อนำไปเผยแพร่ ไม่ให้พวกต่างศาสนา บิดเบือน ข้อเท็จจริง เรื่องโบราณคดีของชาวพุทธ

คุณสุคน ได้มีโอกาสเป็นล่าม แปลคำเทศนาของพระเถระรูปนี้ เรื่องพระพุทธศาสนาในศรีลังกาปัจจุบัน ที่วัดสนามใน จังหวัดนนทบุรี เมื่อสิงหาคม ปี พ.ศ. ๒๕๓๑ มีข้อความตอนหนึ่งที่น่าสนใจกล่าวว่า

ีการดำเนินการตัดพระพุทธศาสนา ออกจากหลักสูตรการศึกษาในโรงเรียน โดยการทำกันเป็นชั้น ๆ เพราะว่า รัฐมนตรีกระทรวงศึกษา ไม่ใช่ ผู้นับถือศาสนาพุทธ อีกทั้งประมาณสามเดือนที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นหลายฉบับ ได้ตีพิมพ์ข่าวเกี่ยวกับองค์การหนึ่ง บีบบังคับให้ พระสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา ละทิ้งจีวรผ้าเหลือง โดย เสนอสินบนแก่ผู้ที่ลาสึก จากการเป็นพระสงฆ์องค์ละ ๑ หมื่น ๕ พัน ถึง ๕ หมื่นรูปี ขึ้นอยู่กับ ระดับการศึกษาและตำแหน่ง ฯลฯ

ป้าเอาเรื่องมาเล่าให้คุณฟังเสียยาวทีเดียว เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่า ศาสนิกชนบางศาสนา เขามีนโยบายเผยแผ่ศาสนาของเขา รุนแรงมาก เพื่อให้ได้สมาชิกเพิ่มเติม แม้บางครั้ง จะต้องใช้วิธีการที่ไม่เป็นธรรม ก็ไม่คำนึงถึงดูประเทศศรีลังกา เป็นตัวอย่างเถิด

คนไทยเราคำนึงถึงเรื่องนี้หรือเปล่า หลวงพ่อของเราถูกเป็นเป้าโจมตี เพราะถ้ากำจัดได้ วัดพระธรรมกายก็หมดไป เมื่อวัดพระธรรมกายหมด การทำลายพระพุทธศาสนา ให้หมดจากผืนแผ่นดินไทย ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ดังนั้นหากจะต้องเสียเงินไม่กี่พันล้าน ซึ่งเทียบเป็นเงินของเขา ก็ไม่กี่ ร้อยล้าน การที่จะจ้างให้ชาวไทยด้วยกัน ทำลายวัดพระธรรมกาย ทำลายหลวงพ่อของเรา ไม่ใช่เรื่องยากเย็น เพราะคนไทยกำลังยากจน เงินเป็นสิ่งล่อใจที่ดีที่สุด เรื่องสิ้นชาติ สิ้นศาสนา หรือสูญสิ้นอื่นๆ เป็นเรื่องเล็ก เพราะเป็นเรื่องยังมาไม่ถึง และไม่เคยรู้รสชาติของความเป็น ทาส ไม่รู้ถึงความขมขื่น เจ็บปวดของการถูกกดขี่ ให้เป็นฝ่ายชนะเฉพาะหน้าไว้ก่อน เรื่องผิดถูกเป็นธรรมหรือไม่ เอาไว้แก้ปัญหากันทีหลัง เมื่อปัญหามาถึง ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นก็เป็นเรื่องสายเกินแก้ไขไปแล้ว

ปัญหาการล่มสลายของพระพุทธศาสนาในศรีลังกาทั้งสองครั้ง ศาสนิกชนฝ่ายที่ต้องการทำลายล้าง เปิดเผยตัวเองชัดเจน การแก้ไขปัญหา จึงทำได้โดยง่าย เช่นครั้งแรก เมื่อฝ่ายนั้นใช้วิธีบังคับ ก็ต้องสู้กันด้วยสงครามให้ชนะ ครั้งที่สอง เมื่อใช้วิธีโจมตีคำสอน ก็สู้กันด้วยการโต้วาที อย่างที่สามเณร มโหตติวัตเต กระทำ

แต่ในประเทศของเราขณะนี้ ผู้ต้องการทำลายไม่ปรากฏตัว กลับแอบอยู่เบื้องหลัง ยุให้ชาวพุทธทะเลาะกันเอง ทั้งฆราวาสและพระสงฆ์ ประกอบกับการแพร่กระจายข่าว ในสมัยปัจจุบัน ทำได้รวดเร็ว และกว้างขวางกว่าสมัยก่อนมาก จึงสามารถระดมความเชื่อถือ จาก ประชาชน ได้ง่ายดาย ทำให้แนวร่วมเกิดขึ้นมากมาย ที่จะล้มล้างวัดพระธรรมกาย

 แม้กระทั่งโต้แย้งกับเรื่องคำสั่งสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยไม่ยอมพิสูจน์ ด้วยการลงมือปฏิบัติภาวนา ให้รู้แจ้งเห็นจริง การโจมตีกัน เอง จึงทำกันเต็มที่ รุนแรงสุดกำลังของฝ่ายทำลายล้าง

ฝ่ายตั้งรับคือเรา กระทำได้อย่างมากเพียงแค่สงบนิ่ง เพราะฝ่ายโจมตีก็เป็นเสมือนพี่น้องชาวพุทธของเราเอง หากมีปฏิกิริยารุนแรง ตอบโต้ ย่อมทำให้เรื่องเสียหาย ลุกลามใหญ่โต สมความต้องการ ของผู้อยู่เบื้องหลัง ดังนั้น การคอยให้เวลาเป็น เครื่องพิสูจน์ข้อแท้จริง จึงเป็นวิธีที่ดี ที่สุด ด้วยเหตุนี้คุณก็จงอย่าสงสัยเลยนะคะว่า ทำไมพระเดชพระคุณหลวงพ่อของเรา จึงนิ่งเงียบสงบอยู่อย่างเดียว ไม่โต้ตอบอะไรออกมาเลย

สำหรับพวกเราทุกคน เมื่อรักจะเป็นลูกศิษย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ก็ต้องอดทนตามอย่าง ครูบาอาจารย์ ใครจะเยาะเย้ยถากถางโจมตี ก็ให้อดทนเอาไว้ ตอนนี้แม้แต่รายการวิทยุหลายรายการ ก็ถูกสั่งปิดไปแล้ว ไม่ให้ฝ่ายเราสั่งสอนเผยแผ่ เราจะทำอะไรได้ คงต้องได้แต่นิ่งไว้ เฉยไว้ ประการเดียว

ป้าอยากบอกพวกเราทุกคนว่า ระยะเวลาหลายเดือนมานี้ เป็นเวลาทองในการสร้างขันติบารมีของเรา การอดทนต่อคำกล่าวใส่ร้ายป้ายสี ด้วยเรื่องร้ายแรง ที่ไม่เป็นจริง เป็นการอดทนที่ใจ ยังดีที่เขาไม่มาทุบตีทำร้ายเอา ถ้าเขามาทุบตีทำร้าย ก็ยังดีกว่าเขาฆ่าเราตาย ถ้าเขาฆ่า เราตายก็ดี เพราะคนบางคน อยากตายถึงกับต้อง ฆ่าตัวตาย นี่อุตส่าห์มีคนมาฆ่าให้ตาย ก็ต้องถือว่าดีอีกนั่นแหล่ะ

 ให้คิดอย่างพระเถระแห่งบ้านสุนาปรันตะ ในสมัยพุทธกาล แล้วเราก็จะทนอะไรๆ ได้ โดยเฉพาะกับคนในครอบครัว ป้าเห็นใจพวกคุณมาก ที่สุด เพราะพออ่าน หรือดูสื่อโจมตีวัดเราแล้ว เชื่อถือตามนั้น ก็จะมาทะเลาะกับคุณ คุณชี้แจงเท่าไร เขาก็ไม่ยอมฟัง คุณก็โกรธไม่ได้ หนีไปไหนให้พ้นก็ไม่ได้ เพราะเป็นคนในครอบครัว รายการนี้ ต้องอดทนกันเป็นพิเศษหน่อยแล้วนะคะ

คนนอกบ้านเราไม่ถูกใจเราก็ไม่ต้องพูดด้วย ไม่ต้องเห็นหน้าได้ คนในบ้านนี่ คงต้องเฉยอย่างเดียว ปล่อยให้บ่นไปว่าไป คิดเสียว่า รถสิบล้อ วิ่งเสียงดังจะตาย เรายังทนฟังได้ เสียงคนเบากว่าตั้งแยะ ทำเป็นฟังไม่รู้เรื่องไปเสียเลย จะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน อีกอย่าง คนเราถ้าเขาคิด จะเชื่อ อย่างไรแล้ว ให้ชี้แจง เมื่อยปาก เขาก็ไม่ยอมฟังหรอกค่ะ

คุยกับคุณวันนี้ อย่าบ่นป้านะคะว่าไม่เห็นคุยธรรมะอะไรให้ฟังเลย ป้าขอยืนยันว่า ที่คุยด้วยข้างต้นทั้งหมดนั้น เป็นธรรมะภาคปฏิบัติ จริงๆ คือ ธรรมะข้อ ขันติ นั่นเอง คำกล่าวร้ายทั้งหมด เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เราอดทนกันได้เพียงไร ใครอดทนได้มากก็ได้ขันติบารมีมาก เราจะรู้กัน ก็ตอนนี้ ถ้าไม่มีอะไรมาเป็นบทเรียนให้พิสูจน์ เราย่อมไม่รู้จักตนเองว่า มีขันติธรรมมากน้อยแค่ไหน จริงมั้ยคะ ... ป้าหวิน


[สารบัญ] [๓๓๐] [๓๓๑] [๓๓๒] [๓๓๓] [๓๓๔] [๓๓๕] [๓๓๖] [๓๓๗] [พิเศษ] [๓๓๘] [๓๓๙]