อานุภาพพระมหาสิริราชธาตุ

๓๙๖. แจ้งความเท็จ

คุณสุธี ช่วยบำรุง ทำงานฝ่ายกฎหมายที่บริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ นึกย้อนไปถึงตอนเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ปี ๒ คุณสุธีได้รู้จักวัดพระธรรมกาย สมัยนั้นอาศัย อยู่กับคุณน้า และได้มาที่วัดพระ-ธรรมกายในปี พ.ศ.๒๕๒๘ เป็นช่วงงานบุญวิสาขบูชา พอเข้ามาได้เห็นศีลาจารวัตรของพระภิกษุที่วัด ใจก็นึกอยู่ตลอดเวลาว่า อยากจะบวช ที่วัดนี้มาก คุณสุธีมีใจมุ่งมั่นอยากจะบวชศึกษาธรรมะไปตลอดชีวิต แต่ถึงแม้จะไม่สามารถทำได้ตามใจปรารถนาเพราะมีภารกิจการงานที่ต้องทำ ก็ยังได้มาร่วมบวชธรรมทายาท ภาคฤดูร้อน ปี พ.ศ.๒๕๓๐ และบวชอีกครั้งในปี พ.ศ.๒๕๔๑ 

พอกลับมาสู่โลกภายนอก ได้นำหลักธรรมคำสั่งสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ และพระอาจารย์ทุกรูป มาใช้ในชีวิตประจำวัน จากอุปนิสัยใจคอที่เคยเป็นอยู่ก็เปลี่ยนแปลงไป ในทางที่ดี สามารถรู้ได้ด้วยตนเอง และเพื่อนๆ รอบข้าง ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันด้วย เปลี่ยนนิสัยใจคอเหมือนเป็นคนละคนจากคนที่เคยมีนิสัยแข็งกระด้าง ไม่เคารพนบนอบ ผู้ใหญ่ ไม่รู้จักสัม-มาคารวะ เที่ยวเตร่ไปตามวัยและกระแสสังคม พอได้ซึมซับหลักธรรม และนำมาปฏิบัติจึงได้รู้ว่า สิ่งที่เคยกระทำอยู่นั้นไม่ถูกต้อง

นอกจากนี้คุณสุธียังได้เป็นกัลยาณมิตรชวนภรรยาเข้าวัดในปี พ.ศ.๒๕๔๑ ปัจจุบันภรรยาได้สวดมนต์และปฏิบัติธรรมเป็นประจำ เป็นครอบครัวสัมมาทิฐิ มีศีลเสมอกัน ให้เกียรติ ซึ่งกันและกัน ไม่ต้องคอยระแวงสงสัยกัน จากการที่ได้มาบวชเรียนและปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ทำให้ครอบครัวปรองดองกัน ไม่มีเรื่องร้อนใจเกิดขึ้น และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข 

คุณสุธีได้พบอานุภาพบุญจากพระมหาสิริราชธาตุ ช่วยให้คลี่คลายสถานการณ์จากคนที่พยายามจะใส่ความเขาคือ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๒ คุณสุธีขับรถออกจาก บ้านไปตามลำพัง เพื่อนำพระมหาสิริราชธาตุที่ได้รับของขวัญจากการทำบุญองค์พระแกนกลาง ที่ประดิษฐาน ณ มหาธรรมกายเจดีย์ ไปให้คุณแม่ ได้ขับรถออกจากบ้านประมาณ ๔ ทุ่ม พอมาถึงปากซอยประชานิเวศน์ ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซด์ขับซิ่งมาแต่ไกล ก็ไม่ได้นึกเฉลียวใจอะไร 

พอเลี้ยวรถเข้าซอยก็ได้ยินเสียงดังโครมเข้าที่ท้ายรถ หันกลับไปมองเห็นคนขับรถมอเตอร์ไซค์จอมซิ่งพร้อมคนนั่งซ้อนท้าย ลอยละลิ่วไปพร้อมๆ กัน กระเด็นไปตกริมฟุตบาตห่างจาก รถเขาประมาณ ๒ เมตร จึงรีบลงจากรถวิ่งไปดูด้วยความรวดเร็ว ปรากฏว่า เป็นเด็กหนุ่มอายุประมาณ ๒๐ ปี นอนจมกองเลือด ขาหัก กระดูกสีขาวโพลนทิ่มออกมานอกเนื้อ ดูแล้วหวาดเสียว ในขณะเดียวกันนั้น มอเตอร์ไซค์ที่เป็นเพื่อนกันที่ขับตามกันมา ได้รีบนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาลทันที โดยที่คุณสุธีไม่ทราบเลยว่า เพื่อนๆ เขานำคนเจ็บไป ส่งโรงพยาบาล ไหน เข้าใจว่าเขากลัวความผิดที่ขับชนรถของคุณสุธี 

แต่ยังมีเพื่อนของคนเจ็บอยู่ในที่เกิดเหตุอีกหนึ่งคน และแสดงความไม่พอใจ คุณสุธีพยายามพูดเพื่อที่จะให้ความช่วยเหลือ และให้เด็กแจ้งตำรวจ เขาพร้อมที่จะอยู่รอดูเหตุการณ์ แต่ความจริงไม่เป็นอย่างนั้น

พ่อของคนเจ็บเมื่อทราบเรื่องจากเพื่อนของลูกชายที่โทรศัพท์ไปบอก ได้รีบมายังสถานที่เกิดเหตุเพราะอยู่ใกล้บ้าน พอมาถึงก็แสดงความฉุนเฉียวที่คุณสุธีขับรถชนลูกชาย ซึ่งเป็น ธรรมดาที่ความรักความห่วงใยของพ่อที่มีต่อลูกทำให้คิดว่าลูกต้องถูกเสมอ 

คุณสุธีพยายามอธิบายว่า "พี่ดูก็แล้วกันว่าลักษณะแบบนี้ใครผิดใครถูก ถ้ามีการตัดสินอย่างไรก็โทรคุยกับผมได้ทุกเมื่อ" เขาให้ชื่อพร้อมเบอร์โทรศัพท์ และรีบกลับเนื่องจาก ตนเอง ติดธุระในวันนั้น

อีก ๒ วันต่อมา ญาติของเด็กโทรมาโวยวาย พูดด้วยน้ำเสียงที่โกรธ และไม่พอใจอย่างยิ่ง บอกให้คุณสุธีรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด พอคุณสุธีและครอบครัวทราบว่า เด็กรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ จึงรีบให้พี่สาวและน้องสาวไปเยี่ยมอาการ แต่พอไปแล้วบรรยากาศกลับตึงเครียด พี่สาวได้เล่าเรื่องให้ฟังว่า เขาเอาเรื่องเราแน่ ตอนนี้เขาไป แจ้งความที่สถานีตำรวจว่า คุณสุธีชนคนได้รับบาดเจ็บสาหัส แล้วหนีและเมาเหล้าขณะขับรถด้วย คุณสุธีคิดในใจว่า เอ...เราก็ไม่ได้ดื่มเหล้าสักหน่อย นี่เขาคงไม่ยอมเลิกราง่ายๆ เราจะทำอย่างไรดี? คุณสุธีได้พยายามติดต่อญาติของคนเจ็บ และขอประนีประนอมว่า เรื่องต่างๆ น่าจะอธิบายกันได้ก่อนถึงตำรวจ แต่ทางโน้นไม่ยอมท่าเดียว ดึงดันที่จะให้ คุณสุธีไปสถานีตำรวจให้ได้

หลังจากเกิดเหตุ คุณสุธีพยายามสวดมนต์ อธิษฐานจิตกับองค์พระมหาสิริราชธาตุ ขออานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์ของพระมหาสิริราชธาตุ ท่านช่วยปัดเป่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ให้คลี่คลาย ไปในทางที่ดี ขอให้ทุกฝ่ายเลิกราต่อกันไป

วันต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ นัดให้คุณสุธีไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจในวันที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๒ แต่คุณสุธีได้ขอร้องให้เลื่อนออกไปก่อน เพราะวันนั้นเป็นวันวิสาขบูชา เขาและครอบครัวจะต้องไปทำบุญที่วัด ทางเจ้าหน้าที่จึงเลื่อนออกไปเป็นวันอังคารที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๒ 

ตกกลางคืน เขานึกถึงบารมีขององค์พระมหาสิริราชธาตุ นึกถึงบุญบารมีของสิ่งศักดิ์สิทธ์ว่า จะต้องช่วยได้อย่างแน่นอน เขาจึงเริ่มสวดมนต์ ตั้งสติระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย นั่งสมาธิ และสวดสรรเสริญพระมหาสิริราชธาตุ แล้วจึงอธิษฐานจิตตอกย้ำลงไปว่า ในวันอังคารที่จะถึงนี้จะต้องไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจ ขอให้เรื่องราวต่างๆ จบลงด้วยดี

พอถึงวันนัดขณะที่เดินทางไปสถานีตำรวจ ใจหนึ่งก็ครุ่นคิดไปว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกนะ เขาจึงเตรียมพร้อมทุกสถานการณ์ ก่อนจะขับรถออกจากบ้าน ได้อาราธนาพระมหาสิริราช ธาตุ พร้อมกับสวดอธิษฐานขอพรและตรึกระลึกถึงบุญ ที่ได้ปฏิบัติมาตั้งแต่เข้าวัดครั้งแรกจนถึงปัจจุบันนี้ ว่าได้ทำทาน รักษาศีล สั่งสมบุญไว้อย่างไรบ้าง นึกถึงความดีที่ตนเองได้ กระทำมา พร้อมกับเปิดเทปสวดสรรเสริญพระมหาสิริราชธาตุไปตลอดทาง

ถึงสถานีตำรวจ ทุกคนอยู่กันครบ เจ้าหน้าที่เริ่มพูดก่อนว่ามีคนมาแจ้งความว่าคุณสุธีขับรถชนคนได้รับบาดเจ็บสาหัส ชนแล้วหนี และเมาเหล้าขณะขับ คุณจะว่าอย่างไร 

คุณสุธีจึงจรดใจไว้ที่ศูนย์กลางกาย กลั่นทุกคำพูดออกมาจากศูนย์กลางกาย และพยายามพูดด้วยจิตใจที่ผ่องใส และอธิบายไปตามความจริง ๑๐ นาทีผ่านไป น้ำเสียงที่เคร่งเครียด ของ เจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มอ่อนลง คุณสุธีปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เพราะถูกใส่ความทั้งสิ้น และมั่นใจในองค์พระมหาสิริราชธาตุว่า ท่านจะต้องคุ้มครองได้เพราะ ตนเองไม่ได้เป็น ผู้ผิดตามที่เขาใส่ความ 

เหตุการณ์ยังไม่จบลงอย่างง่ายดายนัก เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวว่า ทางเจ้าทุกข์เขาตั้งข้อหาคุณคือหนึ่งขับรถชนแล้วหนี และสองชนคนได้รับบาดเจ็บแล้วไม่ช่วย ถ้าคุณไม่ยอม ก็ต้องไปว่าความกันในชั้นศาล ขณะที่เจ้าหน้าที่เขียนบันทึกประจำวัน ช่วงนั้นคุณสุธีตรึกระลึกนึกถึง อานุภาพองค์พระมหาสิริราชธาตุ อยู่ตลอดเวลา พอจดบันทึกเสร็จ เจ้าหน้าที่ บอกว่า คุณช่วยลงชื่อในสมุดบันทึกประจำวันนี้ด้วยนะครับ พร้อมกับหมุนสมุดบันทึกประจำวัน และยื่นปากกาให้ 

คุณสุธีนึกได้อย่างเดียวในตอนนั้นก็คือ องค์พระมหาสิริราชธาตุ ทำใจให้นิ่งและผ่องใสที่สุด ยื่นมือออกไปรับปากกา พร้อมที่จะเซ็นต์ ชื่อ แต่ก็ต้องชะงักในฉับพลัน เมื่อเจ้าหน้าที่ ตำรวจเอ่ยปากออกมาเองว่า ในเมื่อเขาตั้งข้อหาคุณถึงสอง ข้อ แล้วคุณจะฟ้องกลับเขาในข้อหาชนรถเราแล้วทำให้เสียทรัพย์ด้วยหรือเปล่า? พอได้ยินตำรวจพูดเช่นนั้น รู้สึกขนลุกซู่ แทบไม่เชื่อหูตัวเองเลย ในวินาทีที่เขากำลังจะเซ็นต์ชื่ออยู่นั้น อยู่ๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เอ่ยปากออกมาเอง โดยที่เขายังนึกอะไรไม่ออกเลย

เมื่อเรื่องกลับกลายเป็นเช่นนี้ ก็ต้องมีการรื้อสำนวน และมีการแก้ไขบันทึกประจำวันใหม่อีกรอบ เปิดช่องให้คุณสุธีตั้งข้อหากลับ "ชนแล้วเสียทรัพย์" คุณสุธีกล่าวว่า เหตุการณ์เช่นนี้ คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน ที่อยู่ๆ ผมจะได้โอกาสพลิกสถานการณ์ได้ ทั้งๆ ที่เหตุการณ์ในตอนแรกนั้น ผมตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบมาตลอด นี่ถ้าไม่ใช่อานุภาพของ พระมหาสิริราชธาตุ ที่ได้สวดสรรเสริญอยู่เป็นประจำทุกคืนวันแล้วจะเป็นอะไร 

ทันใดนั้น ฝ่ายคู่กรณีก็เอ่ยปากขึ้นมาเองว่า เขาไม่ต้องการฟ้องร้องแล้ว เพราะไม่อยากไปสู้คดีกันในชั้นศาล คุณสุธีตื่นเต้นดีใจเป็นที่สุดในชีวิต คำอธิษฐานเป็นจริงแล้ว เจ้าหน้าที่ ตำรวจจึงลงบันทึกประจำวันว่า คู่ความทั้งสองไม่ติดใจเอาเรื่องกัน และให้ทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างรับผิดชอบกันเอง

พอจะเดินทางออกจากสถานีตำรวจคุณสุธีได้เข้าไปพูดกับคู่กรณีด้วย และทางคุณน้าของเด็กก็พูดออกมาทันทีว่าถือเป็นเรื่องเวรเรื่องกรรมก็แล้ว กัน ถือว่ารับเคราะห์กันไป คุณสุธี กล่าวว่า เหมือนกับมีสิ่งหนึ่งมาดลใจให้เขาได้สติและสำนึกผิดขึ้นมา และอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน

ตามเหตุการณ์ที่เล่ามาคุณสุธีไม่ได้มีความผิดอะไร และที่สำคัญวันนั้นเขาไปรับพระมหาสิริราชธาตุกรอบพญานาค เพื่อนำไปมอบให้มารดา แต่กลับถูกกล่าวหาว่าขับรถเมาสุรา และทอดทิ้งผู้บาดเจ็บ ถ้าคุณสุธีจะบอกว่าตนเองปฏิบัติตัวถือศีล หรือทำความดีอะไร ก็คงไม่มีใครเชื่อถือเพราะจะคิดว่าพูดเพื่อแก้ตัวเอาตัวรอด

เมื่อคุณสุธีรู้สึกไม่มีที่พึ่ง ไม่สามารถเรียกหาความยุติธรรมจากผู้คนด้วยกัน ก็นึกถึงบุญนึกสรรเสริญพระรัตนตรัย อธิษฐานจิต คนมีความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ทำผิด มีความเชื่อมั่น ในบุญกุศล บุคลิกลักษณะย่อมแตกต่างกว่าคนธรรมดา มีอิริยาบถสำรวม สงบ สีหน้าแววตาซื่อตรง จริงใจ รวมทั้งบุญญานุภาพที่ตนเองสั่งสมไว้บุญนั้นเอง บันดาลใจให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจเกิดความรู้สึกอยากจะพูดข้อความดังกล่าวนั้นออกมา ทำให้คุณสุธีได้คิด

เพราะการต่อสู้คดีถึงชั้นศาล โอกาสได้รับความยุติธรรมมีสูง คุณสุธีจึงตอบไปตามนั้นฝ่ายโจทก์ย่อมรู้ตนเองดีว่า เป็นฝ่ายผิดมาแต่ต้น จะแกล้งกล่าวหาแบบไหน เมื่อให้การชั้น ศาล จะต้องถูกจับผิดได้แน่นอน จึงรีบยอมความแต่โดยดี


[สารบัญ] [๓๙๓] [๓๙๔] [๓๙๕] [๓๙๖] [๓๙๗] [๓๙๘]