คุณสมศรี มหาลี้ตระกูล เป็นอาจารย์สอนวิชาวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ อาจารย์รู้จักวัดพระธรรมกายและเข้าวัดปฏิบัติธรรม ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๙
โดยมี น้องสาวคือคุณสมจิต มงคลศรี เป็นกัลยาณมิตรคนแรก อาจารย์รักในบุญกุศลมาก หมั่นทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาเป็นประจำสม่ำเสมอ
และเชื่อมั่นในคุณของ
พระรัตนตรัย มาก เพราะบ่อยครั้งที่อาจารย์พบอานุภาพของพระรัตนตรัยทำให้แคล้วคลาดจากอุบัติเหตุ หรือผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ และเคยอธิษฐานช่วยเหลือลูกศิษย์หลายครั้ง
ประสบการณ์ครั้งหนึ่ง เกิดเมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๒ ในห้องทดลองวิทยาศาสตร์ชั้น ๒ ของอาคารเรียน เวลาประมาณ ๑๑ นาฬิกาเศษ
อาจารย์สมศรีกำลังสอนเรื่อง
การหาความยาวโฟกัสของ เลนส์นูน โดยให้แสงอาทิตย์ผ่านเลนส์ เพื่อรวมแสงเป็นจุดเดียวกัน และทำการวัดระยะห่างของโฟกัส นักเรียนได้แบ่งกันกลุ่มละ ๓
คนแยกย้ายกันไป ทดลอง
หาจุดโฟกัส บางกลุ่มก็ลงไปยังสนามด้านล่าง ต่างเดินหาจุดที่มีแสงแดดส่อง
แต่มีนักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่งได้พากันปีนข้ามแผงกันเหล็ก
ที่เป็นรอยต่อระหว่าง
ตัวอาคาร กับ ระเบียงกันสาด
ด้านนอก ความสูงจากพื้นดินถึงระเบียงนี้สูงมาก ทีเดียว และที่เชื่อมติดกับระเบียงเบื้องล่างคือหลังคาของโรงอาหาร เด็กหญิง ๓ คน กล้าปีนออกไป
เพราะแต่งชุดพละศึกษา
ซึ่งปีนป่ายสะดวก
ในกลุ่มนี้มีน้องฟ้า
ซึ่งเป็นผู้เอาเลนซ์ส่องกับแสงแดด ส่วนเพื่อนอีก ๒ คน คอยสังเกตผลของการทดลอง
อาจารย์สมศรีเดินออกมา ดูผลการทดลองของลูกศิษย์ เห็นลูกศิษย์ ๓ คนกำลังจุดโฟกัสแบบหวาดเสียวเช่นนั้น ด้วยความห่วงใยลูกศิษย์ จึงรีบตะโกนด้วยเสียงอันดังไปว่า นี่พวกเธอเข้ามาเดี๋ยวนี้นะ ใครบอกให้ออกไปมันอันตรายรู้ไหม เด็กทั้ง ๓ คนสะดุ้งสุดตัว ประกอบกับรู้ตัวว่าทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ
จังหวะเดียวกันนั้นเองที่น้องฟ้าก้าวขาพลาดลงไปบนอากาศที่ว่างเปล่าไม่สามารถจะเกาะเกี่ยวสิ่งใดได้เลย บริเวณนั้นเป็นที่โล่งว่าง เหตุการณ์เกิดขึ้นรวดเร็วมาก เพื่อน ๒
คน ที่ยืนห่างออกไป ตกตะลึง ขาแข็ง มองดูร่างของน้องฟ้าลอยละลิ่วลงไปยังพื้นเบื้องล่าง เสียงร่างของน้องฟ้ากระแทกกับกระเบื้องมุงหลังคาโรงอาหาร
เ พล้ง เสียงกระเบื้องแตก ไม่สามารถรับแรงกระแทกของน้องฟ้าได้ พร้อมกับเสียงกรีดร้องของแม่ค้าที่เห็นภาพหวาดเสียวสยดสยอง
ร่างของน้องฟ้าลอยทะลุหลังคาลงมาตรงช่วงที่มีอ่างล้างมือที่ทำเป็นร่องยาวด้วยปูนซีเมนต์
เสียงกรีดร้องด้วยความเสียวไส้อีกครั้ง เมื่อร่างของน้องฟ้าใกล้ตกลงถึงพื้น
ห่างจาก ขอบกระเบื้องซีเมนต์
เพียงฝ่ามือเดียว แต่อนิจจา... ร่างของเธอกลับไปโดนมุมของโต๊ะอาหารพอดี และฟาดลงกับพื้นอีกครั้ง น้องฟ้าสลบแน่นิ่งไม่ได้สติ
ร่างที่อยู่บนพื้น นองไปด้วย
เลือด เลือดไหลไม่หยุด อาจารย์และเพื่อนที่อยู่ชั้นบนรีบวิ่งลงมาดู
"ตายรึเปล่า !! เป็นอะไรมากไหม!" คำถามที่ดังขึ้น ณ จุดเกิดเหตุ ทุกคนได้แต่มอง แต่ก็ตอบอะไร มากไปกว่านี้ไม่ได้ "อาจารย์ครับ ผมอาสาพาน้องไปส่งโรงพยาบาลเองครับ" ศิษย์เก่าที่พึ่ง จบม.๖ ที่บังเอิญแวะมาเยี่ยมโรงเรียนเอ่ยขึ้น พร้อมกับอุ้มน้องฟ้าขึ้นรถตู้ของโรงเรียนที่เข้ามาจอดเทียบโดยเร็ว ร่างอันไร้สติของน้องฟ้าอยู่ในรถคันนี้แล้ว
พร้อมกับ อาจารย์อีก ๓-๔ คน "ไปโรงพยาบาลวชิระ" อาจารย์เอ่ยขึ้น เลือดที่ศีรษะยังคงไหลไม่หยุด
ตอนนี้น้องฟ้าอยู่ที่ห้องฉุกเฉินแล้ว ผู้ปกครองและญาติได้มารวมกันประมาณ ๗-๘ คน ทุกคนตกใจหลังจากที่ได้รับแจ้งจากทางโรงเรียน
สีหน้าทุกคนแสดงถึงความกังวลใจ
อย่าง มาก โดยเฉพาะผู้เป็นแม่ เธอนั่งไม่ติดที่เลย พวกเขาได้แต่รอคอยเวลาช่างผ่านไปนานเหลือเกินในความรู้สึกของทุกคน น้องฟ้าถูกเข็นออกมาจากห้องฉุกเฉิน
ทุกคนเดินตรงเข้าไป
ที่รถเข็น ร่างของน้องฟ้า นอนทอดอยู่ หมอบอกทุกคนว่าภายใน ๖ ชั่วโมงต้องคอยดูอาการอย่างใกล้ชิด ถ้าคนไข้อาเจียน แสดงว่าเลือดคั่งในสมอง ต้องผ่าตัดใหญ่อีกครั้ง
หมอได้ทำการเอ็กซเรย์ และตรวจเช็คทุกอย่างเพื่อช่วยน้องฟ้าให้ได้มาก ที่สุดแล้ว
เตียงคนไข้ได้ถูกเข็นไปยังห้องพักฟื้นคนไข้ พอน้องฟ้าได้สติ ทุกคนพยายามถามและพูดคุยกับน้องฟ้า แต่คำตอบที่ทุกคนได้รับคือ น้องฟ้าจำใครไม่ได้
เนื่องจากสมองได้รับการ
กระทบ กระเทือนอย่างหนัก แม่ได้แต่ร้องไห้ ญาติและครูทุกคนต่างก็กังวลไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย
ในขณะนั้นเอง อาจารย์สมศรีได้ถอดสร้อยพระมหาสิริราชธาตุ ให้น้องฟ้ากำไว้ในมือ และเธอก็หลับตาลงนั่ง สวดบทสรรเสริญพระมหาสิริราชธาตุ ๓ จบในใจ
พร้อมกับอธิษฐานจิต
ให้น้องฟ้าปลอดภัยหายเป็นปรกติ โดยเร็วอยู่สักครู่ใหญ่ และก็ขออนุญาตแม่ของน้องฟ้า นำเอารูปพระมหาสิริราชธาตุไปไว้ที่ใต้หมอนที่น้องฟ้านอนอยู่
พร้อมกับอธิบาย ให้ผู้เป็น
มารดาทราบว่า รูปภาพนี้เป็นภาพของพระมหาสิริราชธาตุ ให้แม่สวดมนต์นั่งสมาธิให้ลูก โดยให้องค์พระมหาสิริราชธาตุเป็นทางผ่านของบุญ เมื่อสวดมนต์ใจนิ่งดีแล้ว
ก็ให้มารดา อธิษฐานจิต ขอบุญกุศลให้ลูกหายโดยเร็ว มารดาของเด็กก็ทำตามเพราะเชื่อในคุณของพระรัตนตรัย และบุญกุศลต้องช่วยชีวิตของลูกได้แน่นอน
อาจารย์สมศรีได้ไปเยี่ยมลูกศิษย์ทุกวันด้วยความห่วงใย ทุกครั้งที่ไปอาจารย์ก็จะสวดสรรเสริญพระมหาสิริราชธาตุ อธิษฐานเสร็จนำองค์พระใส่มือให้น้องฟ้า
ถึงจะพูดยังไม่ค่อย
รู้เรื่องแต่แนะสิ่งใดก็ทำตาม น้องฟ้าอธิษฐานตามที่ครูบอกทุกวัน อาการป่วยดีขึ้นเรื่อยๆ ดีวันดีคืน วันที่สองน้องฟ้าเริ่มคุยรู้เรื่องบ้างเป็นช่วงๆ ป้อนคำถามมากๆ
ก็จะงงและเบลอ บ้าง พอวันที่ ๓ น้องฟ้าจำทุกคนได้ คุยกับเพื่อนๆ ได้ จนคุณหมอรู้สึกแปลกใจว่า ทำไมฟื้นตัวเร็วนัก หมอเฝ้าตรวจเช็คดูอีก ๒ ระยะ คนไข้ดีขึ้น ตอนบ่ายอนุญาตให้กลับบ้าน อยู่โรงพยาบาล ๓ วัน ระหว่างพักฟื้นน้องฟ้าก็อธิษฐานขอให้หายเป็นปรกติเร็ว น้องฟ้าพักเพียงสัปดาห์เดียวก็สามารถหายเป็นปรกติ
อาจารย์เล่าให้ฟังว่า เธอได้ช่วยเหลือและแนะนำลูกศิษย์หลายคน เช่นรายที่ถูกรถมอเตอร์ไซค์เฉี่ยว หรือแนะนำให้แม่ค้าที่โรงเรียน สวดบทสรรเสริญพระมหาสิริราชธาตุ
แล้วเขา บอกว่า เขาขายของดีขึ้นมาก และอีกอย่างที่เจอกับตัวเองคือ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๒ อาจารย์เดินตกบันไดที่โรงเรียน ถึง ๗ ขั้น
เพราะส้นของรองเท้าส้นสูง
ไปเกี่ยว กับขอบของบันได และพลัดตกลงมา แต่ไม่เป็นอะไรเลย แค่ช้ำนิดหน่อยซึ่งปรกติ คนอายุมาก (๔๙ปี) ตกจากบันไดสูงขนาดนี้น่าจะเท้าแพลง หรือกระดูกหัก แต่อาจารย์
กลับ ไม่เป็น อะไรมากนัก อาจารย์บอกว่า อาจารย์สวดบทสรรเสริญพระมหาสิริราชธาตุตลอดเวลา เวลาเดินก็สวดไปด้วย ใจจะเกาะเกี่ยวอยู่กับพระรัตนตรัยตลอดเวลา
เวลาเจออะไร
ก็จะถูกผ่อนหนักให้เป็นเบา จากเบาก็หายไปเลย
อาจารย์สมศรีไม่ใช่หมอ ไม่รู้วิธีรักษาพยาบาล ทราบเหมือนผู้คนทั่วไปว่า ถ้ามีเลือดคั่งในสมอง ย่อมต้องมีการผ่าตัดสมอง อันเป็นเรื่องค่อนข้างเสี่ยงอันตราย
เมื่อไม่ทราบจะ
ช่วยเหลือลูกศิษย์อย่างไร จึงนึกถึงสิ่งที่ตนเองมีศรัทธา คือพระมหาสิริราชธาตุอันเป็นตัวแทนของพระรัตนตรัย ถอดออกจากคอใส่ไว้ในมือเด็ก สวดสรรเสริญเอง
และขอให้แม่ของ เด็ก
สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยให้ตลอดเวลาที่นั่งเฝ้า ศรัทธาเป็นความเชื่อในฝ่ายดี เชื่อในกุศลกรรม เป็นบุญกุศล หาประมาณมิได้
เมื่อเชื่อมั่นแล้ว ย่อมเกิดความเลื่อมใสตามมา ใจที่เลื่อมใสย่อมไม่ขุ่นมัว กุศลกรรมเกิดพลังจิตที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดีของผู้ใกล้ชิดคนป่วยที่สุดคือแม่และครู
ย่อมมีกระแส แรงกล้า สามารถกระทบความรู้สึกคนป่วย ทำให้เกิดการรับรู้ได้ แม้ยามสลบอยู่
กระแสบุญจากการอ่อนน้อมในพระรัตนตรัย อันมีคุณประมาณมิได้ทำให้อาการป่วยหนักคลายลง ครั้งแรกที่เด็กฟื้นแต่จำอะไรจำใครไม่ได้เลย
คงเป็นเพราะก้อนเลือดที่คั่งอยู่
กดทับ
เส้นประสาทส่วนความจำให้ทำงานไม่ได้ แต่เมื่อฟื้นดีแล้ว ร่างกายเริ่มทำงานดีขึ้น คนเจ็บเห็นอาการดีใจของคนใกล้ชิดแม้จะยังจำไม่ได้ว่าเป็นใคร
แต่ความรู้สึกสบายใจ
ย่อมเกิด ทำให้การทำงานของอวัยวะต่างๆ ดีขึ้น โลหิตไหลเวียนสะดวก ก้อนเลือดที่ทับเส้นประสาทหลุดออกไป อาการต่างๆ จึงดีขึ้นภายในเวลาเพียง ๓ วัน
ส่วนเรื่องที่อาจารย์สมศรีชอบสวดสรรเสริญพระรัตนตรัยอยู่เสมอ แม้เวลาเดินไปไหนมาไหน และเดินก้าวพลาดตกบันไดถึง ๗ ขั้น ก็ไม่ได้รับอันตรายนั้น เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นได้ เพราะการสวดมนต์เป็นวิธีทำสมาธิจิตอย่างหนึ่ง จิตใจเมื่อมีสมาธิ จะมีพลังงานเกิดขึ้น พลังงานนี้สามารถต้านทานกระแสความโน้มถ่วงของโลก
ผู้ทำสมาธิได้ดีจึงมักรู้สึกว่า
ตนเองมีน้ำหนักตัวเบา บางทีถึงกับตัวลอยขึ้นจากพื้นที่นั่งอยู่เป็นคืบ เป็นศอก เหมือนพระภิกษุสามเณร บางรูปทำสมาธิ
ประสบเหตุการณ์ด้วยตัวเองโดยบางราย
ลอยอยู่ตรง ที่ตนนั่ง บางรายลอยไปอยู่บนยอดพระเจดีย์ บางรายลอยไปอีกภูเขาหนึ่ง เมื่อน้ำหนักตัวเบา ตกจากที่สูงก็ไม่อันตราย