โฮมเพจเพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณของ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว



 

สารบัญ


เศรษฐกิจในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว


การผลิตที่สำคัญทางเศรษฐกิจในรัชสมัย

  • ด้านการเกษตร

การปลูกพืช ข้าวเป็นผลผลิตที่สำคัญที่สุดของประเทศไทยมาช้านาน และในรัชสมัยพระบาท สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ประมาณร้อยละ 85 ของผลผลิตทั้งหมด เป็นการผลิตเพื่อการส่งออก โดยในปีพ.ศ.2467 พื้นที่ทำนารวมมีประมาณ 17,356,120 ไร่ ให้ผลผลิตข้าวเปลือก 4,902,350 ตัน และมีการส่งออก(เป็นข้าวสาร)ประมาณ 1,316,000 ตัน เขตที่มีการปลูกข้าวเพื่อการส่งออกมากที่สุดคือเขตมณฑลชั้นใน 7 มณฑลได้แก่ มณฑลกรุงเทพฯ อยุธยา นครชัยศรี ราชบุรี ปราจีณ นครสวรรค์ และพิษณุโลก

พืชผลการเกษตรอื่น ๆ นอกเหนือจากข้าว ที่มีการผลิตเพื่อการค้าอย่างจริงจังยังมีไม่มากนัก ที่ถือได้ว่ามีความสำคัญก็คือฝ้าย ซึ่งผลผลิตส่วนใหญ่สำหรับใช้ภายในประเทศ และยางพาราซึ่งสามารถส่งออกได้ดีโดยในปี พ.ศ.2467 ส่งออกได้คิดเป็นมูลค่า 3,420,000 บาท

ป่าไม้ ไม้สักเป็นผลิตภัณฑ์ป่าไม้ที่สำคัญที่สุด และเป็นสินค้าออกที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของประเทศ ดังปรากฏในรายงานการสำรวจโภคภัณฑ์ของประเทศว่า

“ ....ว่าในทางสินค้ากันแล้ว ถึงแม้ว่าไม้อื่น ๆ เป็นอันมากจะได้ใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ และส่งออกไปจำหน่ายนอกประเทศบ้างก็จริง แต่ไม้อย่างเดียวซึ่งมีฐานะเหนือไม้อื่น ๆ ทั้งหมดคือ ไม้สัก” [1]

ประมง การจับสัตว์น้ำเป็นอาชีพสำคัญของราษฎรไทยรองจากการกสิกรรม และแม้ว่าผลผลิตส่วนใหญ่ใช้เพียงเพื่อบริโภคภายในประเทศ แต่ก็ประมาณว่ามีมูลค่าไม่ต่ำกว่าปีละ 25 ล้านบาท[2] ความสำคัญของการทำการประมงนี้ทำให้ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการตั้งกรมบำรุงพันธุ์สัตว์น้ำขึ้น และได้จ้างผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐอเมริกาเข้ามาสำรวจและให้คำแนะนำเพื่อส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้แพร่หลายมากขึ้นต่อไป

ปศุสัตว์ สัตว์ที่มีการเลี้ยงมากก็คือ กระบือ โค ช้าง ม้า และสุกร โดย ในปีพ.ศ.2468 จำนวนกระบือเลี้ยงในราชอาณาจักรมีประมาณ 4 ล้านตัว รองลงไปคือโคซึ่งมีจำนวนประมาณ 3.8 ล้านตัว ม้ามีจำนวนราว 221,000 ตัว ช้างเลี้ยงมีประมาณ 7,800 เชือก และสุกรซึ่งเลี้ยงเพื่อการบริโภคทั้งภายในประเทศและส่งออกมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 1 ล้านตัว

  • อุตสาหกรรม

โรงงานอุตสาหกรรมในประเทศขณะนั้นยังมีจำนวนน้อย โดยส่วนใหญ่เป็นเพียงอุตสาหกรรมแปรรูปเบื้องต้น ได้แก่ โรงสีข้าว และโรงเลื่อย โรงงานอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่มีล้วนแต่เป็นโรงงานขนาดเล็ก เช่น โรงงานผลิตตะปู สบู่ เผาอิฐ ผลิตยารักษาโรค และโรงฟอกหนัง เป็นต้น ที่เป็นโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และทันสมัยมีเพียงโรงงานปูนซิเมนต์ เท่านั้น ซึ่งเป็นโรงงานที่พระคลังข้างที่ร่วมลงทุนและถือหุ้นส่วนใหญ่อยู่ด้วย

    หน้า 1   

    หน้า 3