โฮมเพจเพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณของ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว



 

สารบัญ


เศรษฐกิจในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว


การค้ากับต่างประเทศ

การค้าขายติดต่อกับต่างประเทศในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนใหญ่ดำเนินการโดยพ่อค้าต่างชาติ ทั้งชาวจีน อินเดีย และชาติตะวันตก คนไทยเองยังมีบทบาทน้อยมาก การค้าส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 70 ของปริมาณการค้าทั้งหมดเป็นการค้าติดต่อกับสหราชอาณาจักร สินค้าทั้งขาเข้าและขาออกจะส่งผ่านทางท่าเรือที่กรุงเทพฯ เป็นหลัก ยกเว้นดีบุกซึ่งจะส่งออกที่มณฑลปักษ์ใต้ ส่วนการค้าของมณฑลพายัพซึ่งแต่เดิมติดต่อกับทางพม่าเป็นส่วนใหญ่นั้น เมื่อมีการสร้างทางรถไฟจากกรุงเทพฯ ขึ้นไปถึงเชียงใหม่แล้ว เส้นทางการค้าก็เปลี่ยนมาติดต่อผ่านทางกรุงเทพฯ แทน

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สินค้าออกที่สำคัญที่สุดก็คือข้าว รองลงไปคือดีบุก ไม้สัก ครั่ง ยางพารา ไม้ต่าง ๆ โคกระบือและปศุสัตว์ต่าง ๆ โดยที่การส่งออกข้าวคิดเฉลี่ยประมาณปีละ 1,228,000 ตัน มีตลาดฮ่องกงและจีนเป็นตลาดใหญ่ที่สุดรองลงไปเป็นสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางส่งออกต่อไปยังหมู่เกาะซึ่งเป็นเมืองขึ้นของฮอลันดา สินค้าออกอันดับ 2 คือดีบุกนั้น ทั้งหมดส่งออกในรูปแร่ดิบไปถลุงที่มลายูของอังกฤษ โดยในปี พ.ศ.2467 ส่งออกคิดเป็นมูลค่า 20,858,000 บาท ส่วนการส่งออกไม้สักซึ่งเป็นสินค้าออกอันดับ 3 นั้นในปีพ.ศ.2453 ซึ่งช่วงต้นรัชสมัยเคยส่งออกสูงถึง 89,165 ตัน โดยมีตลาดหลักคือยุโรปและญี่ปุ่น แต่เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้การส่งออกลดลงไปมาก มาฟื้นตัวอีกครั้งประมาณปีพ.ศ.2467 ซึ่งส่งออกได้ 58,248 ตัน

ในด้านของสินค้าเข้านั้น สินค้าสำคัญเรียงตามลำดับคือ ผ้าฝ้าย อาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เครื่องโลหะ ผ้าไหม เส้นด้ายสำหรับใช้ทอผ้า กระสอบป่าน น้ำมันก๊าดและน้ำมันอื่น ๆ บุหรี่ เครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ กระดาษ เครื่องจักร เครื่องถ้วยชาม แก้ว ยารักษาโรค เครื่องหอมต่าง ๆ เครื่องไฟฟ้า รถยนต์และส่วนประกอบรถยนต์ และสินค้าเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ โดยที่สินค้าเข้าอันดับ 1 คือผ้าฝ้ายนั้นส่วนใหญ่นำเข้าจากสหราชอาณาจักร และมีมูลค่าสูงขึ้นเป็นลำดับจากเฉลี่ยปีละ 12,541,000 บาทในช่วงพ.ศ.2453-2457 มาเป็นเฉลี่ยปีละ 20,950,000 บาทในช่วงพ.ศ.2458-2462 และเฉลี่ยปีละ 26,263,000 บาทในช่วงพ.ศ.2463-2467

ตลอดช่วง 15 ปีแห่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ประเทศไทยได้เปรียบดุลการค้าเกือบทุกปี ยกเว้นเมื่อผลผลิตข้าวเสียหายจนต้องห้ามการส่งออกข้าวในปี พ.ศ.2462 เท่านั้น ที่เป็นเหตุให้ขาดดุลการค้าในปีถัดมา

เนื่องจากการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 มีผลกระทบต่อการค้าต่างประเทศเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงอาจแยกพิจารณาสภาวะการค้าต่างประเทศของไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เป็น 3 ช่วงคือ

  • ช่วงที่ 1 (พ.ศ.2453-2457) ยุคก่อนสงคราม การค้าขยายตัวอย่างราบรื่น และประเทศไทยได้เปรียบดุลการค้าประมาณ 106 ล้านบาท คิดเป็นได้เปรียบดุลการค้าเฉลี่ยปีละ 21.2 ล้านบาท
  • ช่วงที่ 2 (พ.ศ.2458-2462) ช่วงระหว่างมหาสงคราม การค้าขายกำไรงาม เพราะราคาสินค้าในตลาดโลกที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และความต้องการซื้อในต่างประเทศมีมากเพื่อใช้ในการสงคราม ทำให้การได้เปรียบดุลการค้าของไทยสูงขึ้นเป็น 189 ล้านบาท คิดเป็นได้เปรียบดุลการค้าเฉลี่ยปีละ 37.8 ล้านบาท
  • ช่วงที่ 3 (พ.ศ.2463-2467) หลังสงคราม การค้าฝืดเคือง และประเทศไทยยังเกิดฝนแล้งทำให้ต้องห้ามการส่งออกข้าวในปี 2462 เป็นเหตุให้ขาดดุลการค้าในปี 2463 ประมาณ 55 ล้านบาท การได้เปรียบดุลการค้าในช่วง 5 ปีนี้จึงลดลงเป็นเพียง 14 ล้านบาท และการได้เปรียบดุลการค้าเฉลี่ยต่อปีเหลือเพียง 2.8 ล้านบาท

ดุลการค้าระหว่างประเทศ (พ.ศ.2453-2467)

ช่วงเวลา

มูลค่าสินค้าออก (ล้านบาท)

มูลค่าสินค้าเข้า (ล้านบาท)

ดุลการค้า (ล้านบาท)

2453-2457

493

387

+106

2458-2462

691

502

+189

2463-2467

818

804

+14

ที่มา: จดหมายเหตุสภาเผยแผ่พาณิชย์ เมษายน 2469 ฉบับที่ 20, หน้า 373-374 ในช่วงพ.ศ.2453-2457

    หน้า 2   

    หน้า 4