โฮมเพจเพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณของ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว



 

สารบัญ


เศรษฐกิจในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว


ฐานะการคลังของรัฐบาล

  • รายรับของรัฐบาล

นับแต่มีการปฏิรูปการคลังในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา ระบบการจัดเก็บภาษีอากรของไทยก็ได้รับการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น แต่ก็ปรากฏว่ายังมีอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การปรับปรุงด้านรายรับของรัฐบาลไม่อาจดำเนินการได้ตามที่ปรารถนา ได้แก่สนธิสัญญาที่ทำไว้กับนานาชาติตั้งแต่พ.ศ.2398 ซึ่งทำให้การจัดเก็บภาษีอากรโดยเฉพาะอากรสินค้านำเข้าและอากรสินค้าออกถูกกำหนดไว้คงที่ในอัตราต่ำ และไม่อาจเจรจาขอเพิ่มอัตราภาษีเหล่านี้ได้เลย ในขณะที่รายจ่ายของแผ่นดินจำเป็นต้องขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อพัฒนาให้ทันสมัยไม่ล้าหลัง อุปสรรคนี้เป็นเรื่องยากที่จะแก้ไขได้ ดังที่พระองค์เจ้าศุภโยคเกษม เสนาบดีกระทรวงพระคลังฯ ได้กราบบังคมทูลถวายความเห็นต่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ความว่า

“....ส่วนภาษีอากรที่จะคิดจัดเก็บขึ้นใหม่นั้น เห็นด้วยเกล้าฯ ว่าเป็นการยาก เพราะเหตุที่ยังไม่ได้รับอำนาจในการภาษีอากรจากรัฐบาลต่างประเทศ ฉะนั้นการจัดเก็บภาษสิ่งใดใหม่ จะต้องได้รับความเห็นชอบของผู้แทนรัฐบาลต่างประเทศด้วย จึงจะเก็บได้ทั่วถึง การที่จะเก็บเงินเพิ่มขึ้น ถ้าเป็นส่วนที่ชาวต่างประเทศจะต้องเสียด้วยแล้ว ก็ยากที่จะได้รับความตกลงด้วย”

ในระยะ 10 ปีแรกของรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว(พ.ศ.2453-2462)นั้น ความจำกัดด้านรายรับนี้ยังไม่ถึงกับก่อให้เกิดปัญหากดดันต่อทางราชการมากนัก เนื่องจากรายรับของรัฐบาลยังคงมีแนวโน้มไปในทางเพิ่มขึ้นได้ดี อันเป็นผลจากการขยายตัวของการส่งออกข้าว อุปสรรคด้านการขยายตัวของรายรับรัฐบาลเริ่มสร้างปัญหามากเป็นพิเศษในปีพ.ศ.2463 เนื่องจากภาวะแห้งแล้งติดต่อกัน ทำให้ผลผลิตข้าวเสียหายมากจนทำให้ต้องห้ามการส่งออกข้าวเพราะเกรงว่าจะไม่มีข้าวเพียงพอบริโภคในประเทศ รายได้ส่วนสำคัญจากอากรขาออกจึงลดลงอย่างมาก นอกจากนั้นรายได้จากการเก็บอากรค่านาก็ลดลง รวมทั้งรายได้ทางอ้อมจากอากรสุราและรายได้จากกิจการรถไฟซึ่งมีแนวโน้มขึ้นลงตามผลของการทำนาแต่ละปีก็ลดลงด้วย

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบเนื่องจากการผลิตข้าวต่อรายรับของรัฐบาลนี้ เป็นเพียงผลระยะสั้น เพราะเมื่อการส่งออกข้าวสามารถดำเนินการได้ใหม่ปัญหานี้ก็หมดไป ปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อรายรับของรัฐบาลในระยะยาวนั้นก็คือการปรับโครงสร้างภาษีด้วยการยกเลิกการพนันและหวย ก.ข. รวมทั้งการดำเนินการจำกัดการสูบฝิ่นลง อันเป็นการดำเนินการตามพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีพระราชประสงค์ให้ราษฎรของพระองค์เลิกลุ่มหลงมัวเมาในอบายมุข แต่โดยที่รายได้จากฝิ่นและการพนันนั้นมีสัดส่วนสูงเกินกว่า 1 ใน 4 ของรายได้แผ่นดิน ความพยายามที่จะเพิ่มรายรับของรัฐบาลให้เพียงพอกับรายจ่ายจึงยิ่งเป็นปัญหาหนักขึ้น

รายรับแผ่นดิน พ.ศ.2456 – 2465

หน่วย:บาท

พ.ศ.

รายรับจากภาษีทั้งสิ้น

รายรับจากฝิ่น

รายรับจากการพนัน และหวยก.ข.

2456 54,961,905

14,942,799

7,017,421
2457 55,487,039

16,190,101

6,704,054

2458 56,267,009

16,560,227

7,169,344

2459 58,890,004 19,275,702 2,886,431
2460 58,394,224 21,179,721 7,140
2461 59,761,919 21,444,418

5,984

2462 62,248,686 23,221,569

760

2463 52,576,797 19,889,324

376

2464 56,852,271

18,807,652

-

2465

54,727,168

16,564,758

-

ที่มา: Statistical Year Book of the Kingdom of Siam, B.E.2468

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกหวย ก.ข.ในปี พ.ศ.2458 และให้ยกเลิกบ่อนการพนันในกรุงเทพฯ ในปี พ.ศ.2459 เป็นเหตุให้รายได้แผ่นดินลดลงทันทีเป็นจำนวนมาก ดังจะเห็นได้ว่ารายได้จากการพนันและหวยก.ข.ที่เคยได้รับถึง 7,169,344 บาทในปี 2458 ต้องลดลงอย่างมากและขาดหายไปในที่สุดหลังจากการยกเลิกนี้ นอกจากนั้นรายได้จากฝิ่นก็ลดลงอย่างต่อเนื่องจากผลของการออกกฎหมายมาควบคุมตั้งแต่ปีพ.ศ.2464

แม้ว่าการยกเลิกบ่อนการพนันและหวยก.ข. รวมทั้งการจำกัดรายได้จากฝิ่นลงจะทำให้รายได้แผ่นดินลดลงอย่างมาก แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงตัดสินพระทัยยอมสละรายได้จากแหล่งดังกล่าวนี้ลงเพื่อให้พสกนิกรพ้นจากความลุ่มหลงมัวเมาในอบายมุข

    หน้า 3   

    หน้า 5