โฮมเพจเพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณของ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว



 

สารบัญ


เศรษฐกิจในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว


การดำเนินการเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ

  • การพัฒนาด้านการเกษตร

ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมมาแต่ดั้งเดิม นับแต่ยุคที่กรุงสุโขทัยเป็นราชธานีมาจนถึงยุครัตนโกสินทร์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ประชากรส่วนใหญ่เลี้ยงชีพด้วยการทำนาเป็นหลัก เสริมด้วยการทำสวน ทำไร่ เลี้ยงสัตว์ และทำการประมง การทำนาปลูกข้าวยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นภายหลังจากที่ประเทศไทยเปิดประตูการค้ากับชาติตะวันตกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นผลจากการลงนามในสนธิสัญญาการค้าเสรีกับอังกฤษในปีพ.ศ.2398 และกับประเทศอื่น ๆ ในระยะต่อมา ทำให้การส่งออกข้าวซึ่งเคยเป็นสินค้าต้องห้ามมาช้านานนั้นสามารถทำได้ ประกอบกับความต้องการซื้อข้าวในตลาดต่างประเทศในยุคนั้นคงตัวอยู่ในระดับสูงและสม่ำเสมอมาโดยตลอด ทำให้ข้าวกลายเป็นสินค้าออกสำคัญอันดับหนึ่งของไทย และเป็นแหล่งรายได้เงินตราต่างประเทศที่สำคัญที่สุดของประเทศอย่างต่อเนื่องจากนั้นมาอีกนับร้อยปี ทั้งยังทำให้ชาวนาซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศมีรายได้ไปใช้ซื้อสินค้าต่าง ๆ ได้โดยไม่ขัดสน

ความสำคัญของการเกษตรโดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตข้าวที่มีต่อระบบเศรษฐกิจเช่นนี้ ทำให้มีความพยายามเร่งรัดพัฒนาการเกษตรมาตลอดรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาระบบชลประทาน การดำเนินการปรับปรุงพันธุ์ข้าว ตลอดจนความพยายามนำระบบสหกรณ์มาช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถกู้ยืมเงินมาปลดหนี้สินและมีเงินทุนทำการเกษตรต่อไปโดยไม่เดือดร้อน

เนื่องจากระบบการผลิตข้าวของไทยยังต้องขึ้นกับภาวะดินฟ้าอากาศเป็นอย่างมาก ความผันแปรไม่แน่นอนของธรรมชาติจึงทำให้ผลผลิตข้าวมีโอกาสจะเกิดความเสียหายจากน้ำท่วมหรือฝนแล้งอยู่เสมอโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และความเสียหายนี้อาจส่งผลกระทบมายังเศรษฐกิจส่วนรวมได้อย่างกว้างขวาง เนื่องจากข้าวเป็นทั้งสินค้าออกหลักที่ทำรายได้อันดับหนึ่งและยังผูกพันกับชีวิตของประชาชนส่วนใหญ่ด้วย เพื่อบรรเทาผลเสียที่จะเกิดขึ้นนี้ การพัฒนาระบบชลประทานจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องดำเนินการโดยเร่งด่วน โดยที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นหาทางแก้ไขผลกระทบจากภาวะฝนแล้งในฤดูการเพาะปลูกปีพ.ศ.2454/55 ขึ้นโดยมีพระเจ้าพี่ยาเธอกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ เสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการขณะนั้นเป็นประธาน คณะกรรมการได้เสนอแนวทางแก้ไขโดยให้เร่งพัฒนาระบบชลประทานที่มีประสิทธิภาพขึ้น

รัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการลงทุนพัฒนาระบบชลประทานในประเทศขึ้นอย่างจริงจังนับแต่ปี พ.ศ.2457 และแม้ว่าจะมีหลายโครงการที่ริเริ่มดำเนินการ แต่โครงการที่เสร็จสมบูรณ์ในรัชสมัยมีเพียงโครงการแรกคือโครงการป่าสักใต้ ซึ่งใช้เงินในการดำเนินการทั้งสิ้น 15 ล้านบาท และถือได้ว่าเป็นโครงการที่ทันสมัยที่สุดโครงการหนึ่งในเอเซีย

นอกเหนือจากการพัฒนาด้านการชลประทานที่ทางราชการจัดทำเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในด้านการเกษตรแล้ว ยังได้มีการส่งเสริมการปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้ได้พันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูงและสามารถแข่งขันได้ดีในตลาดโลก ด้วยการตั้งสถานีทดลองพันธุ์ข้าวแห่งแรกของประเทศขึ้นที่ทุ่งรังสิตในปีพ.ศ.2458 ส่วนการแก้ปัญหาเรื่องเงินทุนและหนี้สินของเกษตรกรนั้น ได้มีการส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มเป็นสหกรณ์ โดยที่สมาชิกจะสามารถกู้จากสหกรณ์ได้ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าที่เคยกู้จากนายทุนเงินกู้ประจำท้องถิ่นเป็นอันมาก สหกรณ์แห่งแรกได้จัดตั้งขึ้นที่พิษณุโลก นับเป็นจุดเริ่มต้นของระบบสหกรณ์ในประเทศไทย และตราบจนถึงปีพ.ศ.2468 นั้นได้มีสหกรณ์อยู่ทั้งสิ้น 77 สมาคม ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตที่มีการปลูกข้าวเพื่อการค้าเป็นสำคัญ

  • การพัฒนาอุตสาหกรรม

สภาวะแวดล้อมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าจะทำให้ยากจะเริ่มต้นกิจการอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ขึ้นได้ เนื่องจากการดำเนินนโยบายปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศด้วยวิธีใด ๆ ไม่สามารถทำได้เลยเพราะติดขัดด้วยสนธิสัญญาการค้า ไม่ว่าเป็นการตั้งกำแพงภาษีขาเข้า การจำกัดโควต้า หรือการห้ามนำเข้าสินค้าใด ๆ ก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้น อัตราภาษีขาเข้ายังถูกกำหนดไว้ตายตัวที่อัตราต่ำเพียงร้อยละ 3 ทำให้สินค้าอุตสาหกรรมจากต่างประเทศซึ่งประสิทธิภาพการผลิตสูงเพราะเชี่ยวชาญการผลิตทางอุตสาหกรรมมาก่อน สามารถส่งเข้ามาตีตลาดภายในประเทศได้โดยสะดวก โดยที่อุตสาหกรรมในประเทศซึ่งประสิทธิภาพย่อมจะต่ำกว่าในช่วงเริ่มต้นพัฒนาการผลิตขึ้นใหม่ จะไม่มีโอกาสแข่งขันได้นอกจากนั้น ปัญหาเรื่องเงินทุน และการขาดผู้มีความรู้ด้านการผลิตและบริหารอุตสาหกรรม ตลอดจนการขาดสิ่งอำนวยความสะดวกในการผลิตเช่นไฟฟ้า ถนนเพื่อการขนส่งวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูป ก็เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในยุคนั้นเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ในสภาวะแวดล้อมที่เต็มไปด้วยอุปสรรคนี้ บริษัทปูนซิเมนต์ไทยซึ่งถือได้ว่าเป็นกิจการของคนไทยเพราะมีคนไทยเป็นผู้ก่อตั้งและถือหุ้นราวร้อยละ 75 ก็สามารถเติบโตและเจริญก้าวหน้าขึ้นมาได้โดยราบรื่น ทั้งนี้โดยเป็นผลจากการที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชประสงค์จะให้มีอุตสาหกรรมของคนไทยเกิดขึ้น จึงได้ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้นำเงินพระคลังข้างที่เข้าร่วมทุนในการก่อตั้งในฐานะผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ และยังพระราชทานเงินให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่กู้ยืมไปเพื่อลงทุนร่วมหุ้นในการก่อตั้งอีกด้วย บริษัทปูนซิเมนต์ไทยที่ก่อตั้งขึ้นนี้จึงเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของคนไทยที่มีความสำคัญยิ่ง และดำรงความสำคัญเรื่อยมาจนปัจจุบัน

นอกจากการส่งเสริมอุตสาหกรรมด้วยการเข้าไปร่วมลงทุนแล้ว ในระยะต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งศาลาแยกธาตุขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายให้เป็นหน่วยงานค้นคว้าวิจัยสำหรับหาลู่ทางการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมใหม่ ๆ โดยใช้ทรัพยากรภายในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะวัตถุดิบจากผลผลิตการเกษตรต่าง ๆ เพื่อให้มีศักยภาพที่จะแข่งขันกับต่างประเทศได้

    หน้า 6   

    หน้า 8