รถโดยสาร
ลักษณะรถโดยสารชั้น 3
ลักษณะของรถโดยสารอาจแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน ส่วนที่เหนือโครงประธาน คือส่วนที่เป็นลำตัวของรถโดยสาร และส่วนใต้โครงประธานซึ่ง ได้แก่แคร่ รถโดยสารส่วนใหญ่จะเป็นชนิด ๒ แคร่ แคร่ละ ๒ เพลา ๔ ล้อ การออกแบบรถโดยสาร จะคำนึงถึงสมรรถนะในการวิ่งและการทรง ตัวของรถขณะวิ่ง ความปลอดภัยและการอำนวยความสะดวกสบายแก่ผู้โดยสาร รถโดยสารที่ใช้การอยู่ในการรถไฟฯ แบ่งออกเป็นหลายแบบ สุดแต่จะใช้การรถ เหล่านั้นไปในลักษณะใด โดยปกติมักจะแยกประเภทเป็น รถนั่ง รถนั่งนอน รถเสบียง และรถบรรทุกสัมภาระ รถนั่งมีทั้งชั้น ๒ จุคนโดยสารได้ประมาณ ๘๐ คน และชั้น ๒ จุคนโดยสาร ประมาณ ๕๐ คน รถนั่งส่วนใหญ่เป็นรถใช้ในเวลากลางวัน แต่ผู้โดยสารไม่อาจจะนอนได้ รถนั่งนอนคือรถที่ใช้เป็นที่นั่งในตอนกลาง วันและดัดแปลงเป็นที่นอนในตอนกลางคืน สำหรับใช้กับขบวนรถ ที่เดินทางไกลในเวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกันรถนั่งนอนที่แยกเป็น ห้องเหมาะสำหรับผู้โดยสาร ๑ หรือ ๒ คน ซึ่งมีเฉพาะชั้น ๑ รถเสบียง สำหรับปรุงและขายอาหาร รถบรรทุกสัมภาระสำหรับบรรทุก สัมภาระของผู้โดยสาร และเป็นที่ทำงานของพนักงานขบวนรถ
ในปัจจุบันรถโดยสารบางชนิดของการรถไฟฯ ได้ติดตั้งเครื่องปรับอากาศอยู่จำนวนหนึ่ง เพื่อให้บริการความสบายเพิ่มขึ้นแก่ ผู้โดยสาร เครื่องปรับอากาศนี้จะทำความเย็นภายในรถโดยสาร ด้วยการดูดอากาศภายในผสมกับอากาศจากภายนอกอีกส่วนหนึ่งผ่านที่กรองอากา เพื่อลดฝุ่นละออง แล้วนำไปผ่านเครื่องทำความเย็น ทำให้อากาศนั้นเย็นลงและถูกเป่า โดยพัดลมให้ไหลไปตามท่อ ซึ่งจ่าย ไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของตัวรถโดยสาร รถโดยสารที่มีเครื่องปรับอากาศนี้ ใช้ระบบติดเครื่องอุปกรณ์ปรับอากาศมีสองแบบ แบบแรกประจำตัวรถแต่ละคัน เครื่องกำเนิด กำลังไฟฟ้าที่ใช้ในการเดินเครื่องปรับอากาศเป็นเครื่องทำไฟฟ้าขับโดยเพลาล้อ และมีแบตเตอรี่สำรองจ่ายกระแสไฟเมื่อรถหยุดโดย ติดตั้งอยู่ใต้ท้องรถเช่นกัน อีกแบบหนึ่งใช้เครื่องทำไฟฟ้าขับด้วยเครื่องยนต์ดีเซล เครื่องทำไฟฟ้า ดังกล่าว จะจ่ายกระแส ไฟฟ้ากับเครื่องปรับอากาศทั้งในเวลารถเดินและรถหยุดสำหรับ รถโดยสารปรับอากาศที่เป็นรถนั่งจะติดตั้งเก้าอี้เอนได้แบบที่ ใช้ในเครื่องบิน
ส่วนในประเทศหนาว รถโดยสารจะต้องมีเครื่องทำความอบอุ่นภายในรถ ความร้อนที่นำมาใช้กับเครื่องทำความอบอุ่น บางระบบนำเอาน้ำร้อนมาจากหม้อน้ำ ติดตั้งอยู่กับรถพ่วงต่างหากในขบวน แล้วจ่ายไปตามท่อตลอดทุกคันในขบวน บางระบบแต่ละคันทำความอบอุ่นด้วยความร้อนจากไฟฟ้า ซึ่งจะได้กระแสไฟฟ้า มาจากเครื่องกำเหนิดไฟฟ้าซึ่งติดอยู่ที่รถแต่ละคัน หรือติดตั้งอยู่ที่หัวรถจักร แล้วจ่ายร่วมกันไปยังรถพ่วงทุกคันในขบวน การจุดแสงสว่างภายในรถและการทำงานของอุปกรณ์ บางอย่างในรถ จะใช้กระแสไฟฟ้าจากหม้อแบตเตอร์รี่ที่ติดตั้งอยู่ใต้ท้องรถ ปกติหม้อแบตเตอร์รี่จะจ่ายกระแสไฟฟ้าได้นานประมาณ 5 ชั่วโมง ในการนี้จำเป็นต้องมี เครื่องกำเหนิดไฟฟ้า สำหรับอัดประจุแบตเตอร์รี่นี้จะถูกขับให้หมุน โดยเพลาล้อด้วยการต่อสายพานจากมู่เล่ที่เพลาล้อมายังเครื่องกำเหนิดไฟฟ้า
นอกจากนั้นในรถโดยสารแต่ละคันยังได้จัดให้มีน้ำใช้ด้วย น้ำใช้ได้มาจากถังเก็บน้ำซึ่งติดตั้งอยู่ใต้ท้องรถแต่ละคัน การนำน้ำจากถังเก็บข้างล่างมาใช้การเป็นต้นว่าในห้องสุขา ห้องนอนห้องทำอาหาร ฯลฯ บางระบบใช้สูบน้ำขึ้นสู่ถังเก็บใต้หลังคา เพื่อจะให้มีแรงดัน จ่ายน้ำให้ไหลไปได้ บางระบบใช้แรงดันของลมจากเครื่องทำลมไปดันน้ำในถังเก็บด้านล่าง ให้ไปสู่ ณ ที่ต้องการ ใช้งาน การออกแบบและสร้างตัวรถรถโดยสารส่วนใหญ่ ในปัจจุบันเป็นรถเหล็กล้วนหรือเหล็กไร้สนิม แต่รถชนิดที่ลำตัวเป็นไม้ล้วนแต่ส่วนประกอป อื่นๆเป็นเหล็กก็ยังมีการใช้การอยู่ รถที่มีลำตัวเป็นไม้นี้ไม่ค่อยได้รับ การนิยมใช้เพราะมีน้ำหนักมากและในทางเทคนิคความแข็งแรงสู้รถเหล็กล้วนไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อเวลารถตกราง ผู้โดยสารอาจจะได้รับอันตรายมากกว่าตัวรถที่ทำด้วยเหล็ก ปัจจุบันการรถไฟไทยได้เปลี่ยนมาใช้รถลำตัวเหล็กล้วนเกือบหมดแล้ว
![]() |
![]() |
ภายในรถโดยสารปรับ
อากาศชั้น 2 |
ภายในรถโดยสารนั่งและนอน
ชั้น 2 |
----------------------------------------