การประเมินความรุนแรงของโรคนอนกรน

..........แบ่งง่ายๆเป็น 2 ระดับ คือ นอนกรนชนิดไม่อันตราย และนอนกรนชนิดอันตราย ชนิดไม่อันตรายไม่ทำให้เกิดผล เสียต่อสุขภาพ เพียงแต่ก่อความรำคาญให้คนใกล้ชิดเท่านั้น ส่วนชนิดอันตราย จะมีการอุดตันของทางเดินหายใจเวลา นอนหลับ มีการหยุดหายใจ ส่งผลให้ออกซิเจนไม่สามารถเข้าไปในปอดได้ ทำให้เกิดผลเสียต่อการทำงานของร่างกาย โดยเฉพาะหัวใจและสมอง แทนที่เวลาเวลานอนหลับคนนั้นจะได้พักผ่อน กลับเป็นว่าหัวใจและสมองต้องทำงานไม่ได้ พัก โดยเฉพาะหัวใจ ต้องทำงานหนักขึ้นในขณะที่ได้รับออกซิเจนน้อย เหตุการณ์นี้อาจทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตได้ ส่วน สมองที่ไม่ได้พักผ่อน ก็จะทำให้คนๆนั้นมีอาการง่วงเหงาหาวนอนในเวลากลางวัน ส่งผลเสียต่อการทำงานได้
..........จะสังเกตได้อย่างไรว่าเป็นนอนกรนชนิดไหน จริงๆแล้วก็เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าเป็นชนิดไหนจากอาการ เพราะ อาจผิดพลาดได้มาก ถ้าจะให้แน่นอนต้องอาศัยการตรวจการนอนหลับ แต่พอจะแนะนำได้ว่า ถ้าสังเกตว่ามีอาการ นอนกรนเสียงดัง บางครั้งมีอาการคล้ายสำลักน้ำลายหรือหายใจไม่สะดวก และง่วงนอนมากผิดปกติ ก็น่าจะเป็น โรคนอนกรนชนิดอันตราย ถ้านอนกรนไม่ดังนักและสม่ำเสมอดีตลอด ไม่มีอาการง่วงเหงาหาวนอน ก็อาจจะเป็น ชนิดไม่อันตราย

ปัญหาง่วงนอนมากผิดปกติ

..........การนอนหลับมีความสำคัญต่อชีวิตและสุขภาพ ส่วนมากคนเราต้องการนอนหลับประมาณ 7-8 ชั่วโมง เราอาจ สังเกตได้ด้วยตัวเองว่า นอนหลับได้เพียงพอหรือไม่ โดยอาศัยความรู้สึกของตัวเองเมื่อตื่นนอนเช้า ถ้าตื่นนอนเช้าด้วย ความรู้สึกสดชื่นแจ่มใส พร้อมที่จะทำงานต่างๆอย่างเต็มที่ แสดงว่าได้รับการพักผ่อนนอนหลับมาอย่างเพียงพอ แต่ใน ทางตรงกันข้าม ถ้ามีความรู้สึกปวดหัวทุกวันหลังตื่นนอน หรือยังง่วงนอนอยู่ ถึงแม้ว่าได้นอนมาแล้วหลายชั่วโมง แสดงว่านอนไม่พอหรือการหลับนั้นขาดคุณภาพ พบว่าผู้ป่วยมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้บ่อยกว่าคนปกติถึง 7 เท่า สาเหตุ ของอาการง่วงนอนมากผิดปกติตอนกลางวันในผู้ป่วยนอนกรน และกลุ่มอาการหยุดหายใจขณะหลับ เกิดเนื่องมาจาก การนอนที่ไม่ต่อเนื่อง ( sleep fragmentation ) เป็นหลัก ส่วนสาเหตุรองเกิดจากร่างกายอ่อนเพลียจากการขาดออก ซิเจนในเวลากลางคืน

แนวทางการตรวจรักษา

..........มีสิ่งจำเป็นที่ต้องทำ 2 อย่าง ประการแรกคือ การหาตำแหน่งของทางเดินหายใจที่แคบที่เป็นปัญหา และประการ ที่สองคือ การประเมินความรุนแรงของอาการนอนกรน ว่าเป็นนอนกรนเสียงดังชนิดไม่อันตราย หรือนอนกรนชนิดอัน ตรายที่มีการหยุดหายใจจากทางเดินหายใจอุดตันขณะนอนหลับ ซึ่งข้อมูลต่างๆเหล่านี้ ผู้ป่วยไม่สามารถทราบได้เอง จำ เป็นต้องไปรับการตรวจกับแพทย์เฉพาะด้านนี้โดยตรง แพทย์ที่ให้การดูแลปัญหาเรื่องนอนกรน จะมีอยู่ 2 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มแรก อาจจะเป็นอายุรแพทย์หรือกุมารแพทย์สาขาโรคระบบทางเดินหายใจ รวมทั้งจิตแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านการ นอนหลับ โดยแพทย์ในกลุ่มนี้จะมีความชำนาญในการประเมินความรุนแรงของโรค และรักษาโดยวิธีไม่ผ่าตัด อีกกลุ่ม หนึ่งคือศัลยแพทย์ด้านหู คอ จมูก ที่เชี่ยวชาญเฉพาะโรคนอนกรน จะมีความสามารถในการตรวจวินิจฉัย หาตำแหน่ง ของทางเดินหายใจที่แคบหรืออุดตัน และให้การรักษาโดยวิธีผ่าตัด
..........เมื่อท่านไปปรึกษาแพทย์ ท่านจะได้รับแบบสอบถามสำหรับบันทึกประวัติที่สำคัญที่แพทย์ต้องการทราบ อาทิเช่น อาการสำคัญที่นำมาพบแพทย์ โรคประจำตัว การใช้ยา ดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่ และอาการอื่นๆที่มี เพื่อนำมาประเมินความ รุนแรงของการนอนกรนอย่างคร่าวๆ ชั่งน้ำหนักและวัดส่วนสูง ตรวจความดันเลือด วัดรอบคอ ตรวจลักษณะโครงสร้าง ใบหน้า ตรวจจมูก ช่องคอ และทำการตรวจร่างกายอย่างละเอียด หลังจากนั้นแพทย์จะใช้กล้องส่องตรวจขนาดเล็กสอด เข้าไปทางรูจมูกเพื่อตรวจสภาพทางเดินหายใจส่วนบนอย่างละเอียด และส่งตรวจเอ็กซ์เรย์ lateral cephalogram เพื่อ หาตำแหน่งอุดตัน และดูรายละเอียดของทางเดินหายใจส่วนบน

..........ถ้าผลการตรวจข้างต้น มีลักษณะผิดปกติที่ทำให้แพทย์วินิจฉัยว่าน่าจะเป็น โรคนอนกรนชนิดอันตราย แพทย์จะ แนะนำให้ตรวจการนอนหลับ เพื่อให้ทราบว่าท่านเป็นโรคนอนกรนชนิดอันตรายจริงหรือไม่ รุนแรงมากน้อยเพียงใด การ หยุดหายใจมีผลกระทบต่อสมองและหัวใจแค่ไหน และสุดท้ายต้องการทดสอบว่าการรักษาจะได้ผลดีหรือไม่

การซักประวัติ

..........การซักประวัติผู้ป่วย นอกจากจะได้ประวัติการนอนหลับ การตื่นนอนในตอนกลางคืน การมีอาการง่วงนอนมากใน ตอนกลางวัน การซักถามจากคนใกล้ชิด สามีภรรยา ญาติ พี่น้อง เพื่อน จะช่วยในการวินิจฉัยเป็นอย่างมาก ลักษณะความ ผิดปกติเหล่านี้เกิดในขณะที่ผู้ป่วยหลับ ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้ตัวว่าตนมีอาการนอนกรนเสียงดังมาก ไม่รู้สึกถึงการหายใจไม่ สม่ำเสมอ หรือเหตุการณ์ต่างๆ เช่นการกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง
..........การนอนกรนแล้วเสียงกรนหยุดหายใจไปชั่วขณะแล้วกลับมาหายใจอีก และกรนเสียงดังอีกเป็นระยะๆ แล้วหยุด หายใจอีก ประวัติเหล่านี้จะบอกเล่าได้โดยผู้ใกล้ชิด
..........ช่วงที่ร่างกายมีการหยุดหายใจนั้น ร่างกายจะพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับ ชีวิต โดยทำให้การหยุดหายใจนั้นสิ้นสุดลง โดยการเปลี่ยนแปลงจากหลับลึกเป็นสะดุ้งตื่นในทันทีทันใด เรียกการ เปลี่ยนแปลงนี้ว่า arousal เมื่อเกิด arousal ขึ้น การหยุดหายใจจะสิ้นสุด และผู้ป่วยจะกลับมาหายใจได้อีกครั้ง เมื่อเกิด arousal ไม่ทุกครั้งที่ ผู้ป่วยจะตื่นขึ้นมา แต่อาจทำให้ผู้ป่วยหลับตื้นขึ้นกว่าเดิม จึงเป็นการอธิบายว่าผู้ป่วยจำเหตุการณ์ หยุดหายใจขณะหลับไม่ได้ อย่างมากอาจจะอธิบายว่า ตื่นขึ้นมาเพราะหายใจไม่ออก (chocking) ในคืนหนึ่งๆอาจจะมี การหยุดหายใจเป็นร้อยครั้ง ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดจะสังเกตได้ชัด แต่ผู้ป่วยเองจะรู้สึกตื่นขึ้นมาเพียง 3-4 ครั้งเท่านั้น หรือไม่ ตื่นเลย บ่อยครั้งที่ผู้ป่วยจะรู้สึกตัวไปในรูป แบบอื่น เช่น ฝันร้าย หรือรู้สึกคล้ายกับว่าจะปวดปัสสาวะ ซึ่งเป็นผลมาจาก arousal นั่นเอง
..........ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะบ่นว่ามีอาการคอแห้ง ริมฝีปากแห้ง ในตอนเช้าหลังจากตื่นนอน เนื่องจากผู้ป่วยมีอาการหายใจ ทางปากตลอดทั้งคืน ทำให้หลังจากตื่นนอนจะรู้สึกไม่สดใส มีอาการมึนศรีษะ บางรายมีอาการปวดศรีษะ บางรายมีการ หลับๆตื่นๆตลอดทั้งคืน

การตรวจการนอนหลับ (Sleep test)

..........การตรวจการนอนหลับ (Sleep test / polysomnography/ PSG) เป็นการตรวจด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย เพื่อบันทึก รายละเอียดต่างๆของร่างกายขณะนอนหลับหลายๆอย่าง วิธีการคล้ายกับการบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจ แต่จะมีการติด อุปกรณ์ต่างๆมากกว่า สำหรับสถานที่ที่ใช้การตรวจนั้น ถ้าเป็นการตรวจชนิดจำกัด(limited-channel PSG) อุปกรณ์จะมี ไม่มากเฉพาะเท่าที่จำเป็น สามารถเคลื่อนย้ายเพื่อไปทำการตรวจที่บ้านผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสะดวกไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องติดอุปกรณ์มากนัก เหมาะสำหรับกรณีผู้ป่วยเด็ก และสามารถนอนได้อย่างเป็นธรรมชาติเพราะนอนที่บ้านตัวเอง แต่ผลการตรวจ อาจจะไม่ละเอียดหรือต่ำกว่าความเป็นจริงบ้าง เพราะไม่สามารถนอนได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพราะนอน ที่บ้านตัวเอง แต่ผลการตรวจอาจจะไม่ละเอียดหรือต่ำกว่าความเป็นจริงบ้าง เพราะไม่สามารถตรวจการทำงานของสมอง ได้ ตรวจได้เฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการหายใจเป็นหลัก อีกชนิดหนึ่งเป็นการตรวจการนอนหลับชนิดมาตรฐาน (Standard PSG) ต้องทำในห้องปฏิบัติการนอนหลับ(Sleep laboratory) ซึ่งจะต้องมีการฝึกบุคลากรขึ้นมาเฉพาะ เพราะ การตรวจค่อนข้างซับซ้อน และมีการติดอุปกรณ์ตามร่างกายหลายอย่าง สามารถบอกได้ว่าคุณภาพในการนอนของคืน นั้นๆเป็นอย่างไร หลับได้ดีหรือสนิทเพียงใด มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นขณะนอนหลับ การบันทึกด้วย PSGนั้น อาจจะให้ ผู้ป่วยมารับการตรวจในห้องปฏิบัติการตรวจการนอนหลับเป็นเวลา 2 คืน เพราะลักษณะของการนอนหลับในคืนแรก ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยกับสถานที่ ทำให้นอนหลับได้ยากหลับไม่ต่อเนื่องพลิกตัวบ่อย ประสิทธิภาพของการนอนหลับ ลดลง อาจมีการลดลงหรือเพิ่มขึ้นของการหลับในช่วงต่างๆในคืนที่2 ผู้ป่วยจะเริ่มคุ้นเคยกับห้องปฏิบัติการและการ นอนหลับ จะใกล้เคียงกับการนอนหลับที่บ้านมากขึ้น ถ้าพบว่ามีการหยุดหายใจบ่อย อาจให้ลองใส่เครื่องช่วยหายใจ (CPAP) แล้วทำการปรับความดันเพื่อให้ทราบค่าความดันที่เหมาะสมที่สุด ที่ใช้รักษาการหยุดหายใจ การที่ผู้ป่วยต้อง เดินทางมาห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจการนอนหลับ บางครั้งอาจทำให้ผู้ป่วยต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากทำให้ผู้ป่วยบาง รายไม่สามารถมารับการตรวจในลักษณะนี้ได้
..........อย่างไรก็ตามการตรวจการนอนหลับทั้งสองชนิด เป็นที่ยอมรับว่าเป็น gold standard หรือการตรวจที่ดีที่สุด ที่ใช้ในการวินิจฉัยโรคของการนอน โดยเฉพาะภาวะหยุดหายใจขณะหลับ การตรวจการนอนหลับนี้ประกอบด้วย


การตรวจวัดคลื่นสมอง เพื่อวัดระดับความลึกของการนอนหลับ และการตรวจวัดการทำงานของกล้ามเนื้อขณะหลับ หลับได้สนิทได้มากน้อยแค่ไหนประสิทธิภาพการนอนดีเพียงใด
การตรวจวัดลมหายใจที่ผ่านเข้าออกทางจมูกและปาก และการตรวจวัดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อทรวงอกและ กล้ามเนื้อหน้าท้อง ที่ใช้ในการหายใจ มีการหยุดหายใจหรือเปล่า เป็นชนิดไหน ผิดปกติมากน้อย / อันตรายแค่ไหน
การตรวจวัดความอิ่มตัวของระดับออกซิเจนในเลือดแดงขณะหลับ สมอง หัวใจ ขาดออกซิเจนหรือไม่
การตรวจดูการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะหลับ หัวใจมีการเต้นผิดจังหวะที่อาจมีอันตรายได้หรือไม่มาก
น้อยเพียงใด
การตรวจเสียงกรน กรนจริงหรือไม่ กรนดังค่อยแค่ไหน กรนตลอดเวลาหรือไม่ กรนขณะนอนท่าไหน
การตรวจท่านอน ในแต่ละท่านอน มีการกรนหรือการหายใจผิดปกติแตกต่างกันอย่างไร


..........สำหรับการวินิจฉัยความผิดปกติขณะนอนหลับ จะทำการวัดตลอดทั้งคืน อย่างน้อยประมาณ 6-8 ชั่วโมง ซี่งเป็นเวลา ปกติของการหลับของคนทั่วไป ระยะเวลาที่นอนหลับ ถ้าน้อยกว่า 6 ชม. ผลที่ได้จะเชื่อถือได้น้อย ผลการตรวจการนอนหลับที่ ให้เครื่องคอมพิวเตอร์ประมวลผลการวัดระดับความลึกของการนอนหลับเอง จะผิดพลาดได้มาก ต้องมีแพทย์หรือเจ้าหน้าที่มี ความชำนาญในการอ่านคลื่นสมอง ตรวจเช็คผลซ้ำอีกครั้งด้วย จึงจะเชื่อถือได้ ข้อมูลสำคัญๆที่แพทย์จะดูในผลตรวจการนอน หลับ ได้แก่
ประสิทธิภาพการนอน
คุณลักษณะของการนอน ได้แก่ เปอร์เซ็นต์ของการหลับลึก และเปอร์เซ็นต์ของการหลับฝัน ถ้ามีน้อย ซึ่งมักพบร่วมกับ การเพิ่มของอัตราสะดุ้งตื่น จะทำให้มีอาการง่วงนอนในเวลากลางวัน
คุณลักษณะของการหยุดหายใจ ได้แก่ ชนิดของการหยุดหายใจ (จากสาเหตุทางสมอง/ทางเดินหายใจอุดตัน) อัตราการ หายใจที่ผิดปกติอันเนื่องจากทางเดินหายใจอุดตัน ( respiratory disturbance index หรือ RDI) ซึ่งถ้ามากกว่า 5 ครั้ง/ชม. ถือว่าผิดปกติ
RDI 5-15 ครั้ง/ชม. ถือว่ามีความรุนแรงค่อนข้างน้อย
RDI 15-30 ครั้ง/ชม. ถือว่ามีความรุนแรงขั้นปานกลาง
RDI > 30 ครั้ง/ชม. ถือว่ามีความรุนแรงค่อนข้างมาก ต้องรับการรักษา
แต่ถ้าผู้ป่วยมีโรคประจำตัว (ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด / โรคหลอดเลือดสมอง)
... แม้ RDI เพียงมากกว่า 5 ครั้ง/ชม. ก็ถือว่ามีความรุนแรงค่อนข้างมาก ต้องรับการรักษา
ผลของการหายใจต่อออกซิเจนในเลือด ถ้าระดับออกซิเจนขณะหยุดหายใจ < 95 ถือว่าผิด
... ปกติ
ถ้าระดับออกซิเจนขณะหยุดหายใจ < 60 ..ถือว่ารุนแรงขั้นมาก ต้องรับการรักษา เพราะมี
....อันตรายมาก โดยเฉพาะต่อหัวใจ
ผลของการหยุดหายใจต่อการเต้นของหัวใจ
ถ้าพบมีการเต้นผิดจังหวะของหัวใจ ในช่วงที่มีการหยุดหายใจและเกิดภาวะขาดออกซิเจนถือ
....ว่ารุนแรงขั้นมาก ต้องรับการรักษา
การหยุดหายใจในท่านอนต่างๆ และการหยุดหายใจในระยะหลับฝัน

..........Multiple sleep latency test (MSLT) ใช้ในการตรวจเกี่ยวกับอาการง่วงนอนมากผิดปกติในเวลากลางวัน โดยจะทำ ต่อเนื่องหลังจากคืนที่ทำการตรวจ PSG โดยเริ่มตรวจตั้งแต่เวลา 08.00น. ตรวจหา sleep latency (ช่วงเวลาตั้งแต่เปิดไฟ ถึง onset ของ sleep) และ REM sleep latency (ช่วงเวลาตั้งแต่เริ่มหลับถึง onset ของ REM sleep) ทำการตรวจวัด หลายๆครั้ง ห่างกันครั้งละ 2 ชม. คนปกติมีค่า MSLT มากกว่า/เท่ากับ 10 นาที ถ้าพบว่าผู้ป่วยหลับได้เร็วมากผิดปกติ ต้องหา สาเหตุ ซึ่งสาเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ โรคนอนกรนชนิดอันตราย
ขั้นตอนการรักษา
..........ถ้าแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคนอนกรนชนิดอันตรายแน่นอนแล้ว จะมีขั้นตอนในการรักษาอย่างไร การรักษาโรคนอน กรน ในขั้นต้นอาจให้ผู้ป่วยลองใช้การรักษาโดยใช้เครื่อง CPAP ซึ่งเป็นเครื่องช่วยหายใจสำหรับติดที่จมูก สำหรับใส่ตอน นอน เพื่อเป่าลมเข้าไปถ่างไม่ให้ทางเดินหายใจอุดตัน โดยทั่วไปผู้ป่วยที่ใช้เครื่อง CPAP จะรู้สึกไม่สะดวกสบายในช่วงแรก เพราะไม่เคยชิน แต่เมื่อเวลาผ่านไปจะรู้สึกว่านอนหลับสนิทขึ้น ตื่นเช้ามาจะรู้สึกสดชื่นแจ่มใส แล้วอาการง่วงหงาวหาวนอน ก็จะหายไปเป็นปลิดทิ้ง ส่วนคนไหนไม่สะดวกที่จะใช้เครื่อง CPAP ไปตลอดชีวิต หรือมีปัญหาในการใช้เครื่อง อาจเลือก การรักษาโดยการผ่าตัด ซึ่งปัจจุบันมีผลการรักษาอยู่ในเกณฑ์ดี
..........ถ้าผู้ป่วยยังไม่อยากรับการรักษาตอนนี้ จะรอไปได้นานแค่ไหน ถ้าผลการตรวจการนอนหลับ พบว่ามีการหยุดหายใจ น้อย แต่ไม่มีโรคประจำตัวอย่างเช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ก็ยังพอรอได้ แต่ต้องติดตาม การรักษา ระหว่างนั้นควรควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกาย พยายามหลีกเลี่ยงท่านอนหงาย และห้ามกินเหล้าหรือเครื่องดื่ม ที่มีแอลกอฮอล์ทุกประเภท รวมทั้งยาที่ทำให้ง่วงนอน เช่น ยานอนหลับ ยากล่อมประสาท ยาแก้แพ้ ยาลดน้ำมูก ถ้าต่อมา พบว่าผลตรวจการนอนหลับมีการหยุดหายใจบ่อย หรือเกิดปัญหาโรคหัวใจ ความดัน สมอง หรือง่วงนอนมาก หลับใน ขณะขับรถ ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ก็ควรจะเข้ารับการรักษา เพราะสุขภาพที่เสียไปทุกวันทุกคืน ไม่สามารถเรียก กลับมาได้ และซ้ำร้ายอาจเกิด หัวใจทำงานผิดปกติ หรือกล้ามเนื้อหัวใจตาย ในขณะนอนหลับอยู่(ไหลตายได้)

การรักษาการนอนหลับที่ผิดปกติในภาวะหยุดหายใจในขณะนอนหลับ

1. ลดปัจจัยเสี่ยงโดยลดพฤติกรรม (behavioral change) ซี่งเป็นโปรแกรมที่สำคัญมากใน การรักษา โดย เฉพาะในราที่ยังมีอาการไม่มากนัก ซึ่งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประกอบด้วย ...

ลดความอ้วน
เมื่อน้ำหนักลดลง10%มีหลักฐานยืนยันว่า อัตราการหยุดหายใจลดลง อาการง่วงนอนมากผิดปกติในเวลา กลางวัน ลดลงอย่างชัดเจนเหตุผลที่เมื่อลดน้ำหนักแล้วทำให้อาการดีขึ้นนั้น เกิดจากหลายสาเหตุเช่น ความ จุของปอดเพิ่มขึ้น ทำให้ช่วยเพิ่มการแลกเปลี่ยนกาซ นอกจากนั้นเมื่อน้ำหนักลดลงจะทำให้ขนาดของช่อง คอเพิ่มขึ้น อากาศไหลผ่านลงสู่ปอดได้สะดวกขึ้น ส่งผลให้ความดันในช่องคอเป็นลบลดเกิดการยุบตัวลดลง การแลกเปลี่ยนออกซิเจนมีมากขึ้น
ผู้ป่วยที่อ้วนจะมีความต้องการที่จะลดน้ำหนัก ซึ่งหลายคนใช้วิธีการรับประทานยาลดความอ้วน แต่ผลข้าง เคียงที่เกิดขึ้นจากการใช้ยาเหล่านั้นก็มากมาย เช่นทำให้เกิดอาการใจสั่น และเมื่อหยุดยามักกลับ
มาอ้วนใหม่ การควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย จึงน่าจะเป็นวิธีที่ดีในการลดความอ้วน
โดยทั่วไปผู้ป่วยส่วนใหญ่จะลดน้ำหนักได้ยาก เมื่อลดน้ำหนักได้สักระยะหนึ่ง น้ำหนักจะกลับเพิ่มขึ้นมาอีก ดังนั้นการอาศัยความร่วมมือจากผู้ป่วยและบุคลากรในทีมสุขภาพ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ป่วย การ สนับสนุนให้กำลังใจแก่ผู้ป่วย อธิบายถึงประโยชน์ของการลดน้ำหนัก จะทำให้การลดน้ำหนักได้ผล และควบ คุมไม่ให้ น้ำหนักกลับเพิ่มขึ้นมาอีกครั้ง
หลีกเลี่ยงการนอนหงาย
ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วย จะสังเกตได้เสมอว่า ในท่านอนตะแคงผู้ป่วยที่มีอาการหยุดหายใจขณะหลับ มีอาการ ลดลง เพราะว่าท่านอนหงายจะทำให้ลื้นตกไปด้านหลังชิดกับผนังคอด้านหลัง ทำให้เกิดการอุดตันได้มาก แต่ถ้าผู้ป่วยอ้วนมากๆแล้ว ไม่ว่าท่านอนใดก็ไม่มีความแตกต่างกันมากนัก วิธีการหนึ่งในการทำให้ผู้ป่วยนอน ตะแคงคือ การเย็บลูกบอลหรือลูกเทนนิสใส่ไว้บริเวณกระเป๋าที่เย็บกับเสื้อนอนไว้กลางหลัง เรียกว่า sleep ball / sleep sock เมื่อผู้ป่วยนอนหงายจะรู้สึกไม่สบายหรือปวดหลังจากการนอนหงายทับลูกบอล ก็จะพลิกตัว กลับมานอนตะแคง แต่วิธีนี้จะใช้ได้ผลดีในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการนอนกรนในระดับน้อย คือมีการกรนมากในท่า นอนหงาย เวลานอนตะแคงอาการดึขึ้น เนื่องจากลิ้นไม่ตกไปที่คอด้านหลังมากเกินไป การใช้หมอนหนุน ใต้คอเพื่อบังคับไม่ให้ศรีษะเงยมากเกินไป ป้องกันไม่ให้ลิ้นแตกไปด้านหลัง จะสามารถช่วยลดอาการกรน ได้บัาง
ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยจะสังเกตว่า .ถ้าผู้ป่วยดื่มสุราก่อนเข้านอน จะมีอาการนอนกรนและการหยุดหายใจ มากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากแอลกอฮอล์ทำให้เกิดการยุบตัวของทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้น และกดสมองทำให้ การตื่น.(arousal) ซึ่ง ร่างกายเคยใช้ตอบสนองต่อการขาดออกซิเจนในเลือดช้ากว่าเดิม ..เมื่อเลี่ยงการดื่ม สุรา จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น ทางเดินหายใจยุบตัวได้ยาก การหยุดหายใจจากการอุดตันลดลง ผู้ ป่วยนอนกรนลดลง
งดยา
ยาบางชนิดทำให้ผู้ป่วยที่มีอาการหยุดหายใจในขณะหลับมีอาการมากขึ้น หรือในบางคน ที่ไม่มีอาการหยุด หายใจขณะหลับมีอาการขึ้นมาได้ ได้แก่ยากล่อมประสาท ยานอนหลับ มีรายงานว่ายากลุ่มนี้เกือบทุกชนิด มีผลต่อการหายใจขณะหลับ โดยมีการกดการตื่นของสมอง(arousal)ได้ ซึ่งทำให้ผู้ป่วยหยุดหายใจขณะหลับ นานขึ้นกว่าเดิม
นอกจากนี้ ยาแก้แพ้ในกลุ่มแอนตี้ฮีสตามีนที่ทำให้ผู้ป่วยง่วงนอนและหลับลึก เป็นยาอีกกลุ่มหนึ่งที่ทำให้ อาการมากขึ้นได้ จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาในกลุ่มที่มีผลข้างเคียงดังกล่าว ไปใช้กลุ่มที่มีฤทธิ์ข้างเคียงน้อย
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้านอื่นๆ
การสูบบุหรี่ทำให้ผนังคออักเสบหนาและมีเสมหะมาก ทำให้ทางเดินหายใจแคบลงจึงควรหลีกเลี่ยง หรือ เลิกสูบบุหรี่ มีความตึงตัวน้อย เกิดการยุบตัวได้ง่าย ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้ร่างกายอ่อนเพลียมากไป
ในผู้ป่วยที่ออกกำลังหรือทำงานหนักจนร่างกายอ่อนเพลียมาก เวลาหลับกล้ามเนื้อของทางเดินหายใจจะมี ความตึงตัวน้อย เกิดการยุบตัวได้ง่าย ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้ร่างกายอ่อนเพลียมากไป

2. การให้ออกซิเจน

การให้ออกซิเจนแก่ผู้ป่วยที่มีอาการหยุดหายใจขณะหลับ
พบว่ามีภาวะหยุดหายใจขณะหลับลดลง ภาวะพร่องออกซิเจนลดลง การเต้นของหัวใจผิดปกติลดลง แต่บาง ครั้งผู้ป่วยบางคนที่ได้รับออกซิเจนสูงเกินไปทำให้หายใจช้าลง มีผลให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์คั่ง เกิดภาวะ หายใจวายตามมา ดังนั้นจึงควรใช้เฉพาะในรายที่มีความจำเป็น ต้องการใช้ออกซิเจนจริงๆเท่านั้น โดยควรใช้ ร่วมกับการใช้เครื่อง CPAP จะทำให้การรักษาได้ผลดี

3. การใช้เครื่องช่วยหายใจ

การให้ออกซิเจนแก่ผู้ป่วยที่มีอาการหยุดหายใจขณะหลับ
CPAP จะใช้ในผู้ป่วยที่มีปัญหา OSAS ได้ผลค่อนข้างดี โดยผู้ป่วยจะต้องสวมหน้ากากที่ครอบบริเวณ จมูกและรัดให้แน่นและเป่าลมเข้าไปในจมูก โดยให้ใช้ความดันอากาศประมาณ 4.5-10 เซ็นติเมตรน้ำ เพื่อ ช่วยถ่างขยายทางเดินหายใจช่วงบนในขณะหลับ ซึ่งจะช่วยลดการหยุดหายใจ ขณะหลับจากการอุดตันลงได้ ทำให้การหยุดหายใจมีความรุนแรงลดลง
ปัญหาในการใช้ CPAP ได้แก่ จมูกอักเสบ แน่นจมูกในตอนเช้า ตาอักเสบ คอแห้ง จมูกแห้ง รู้สึกรำคาญ ที่ต้องใส่หน้ากาก รู้สึกอึดอัดในทรวงอก นอนหลับยากเนื่องจากเครื่องมีเสียงดัง ทำให้ผู้ป่วย บางคนใช้ เครื่อง CPAP เพียงน้อยชั่วโมงต่อคืน หรือเพียงน้อยวันต่อสัปดาห์ เนื่องจากผู้ป่วยไม่สามารถทนต่ออาการ ข้างเคียงและเสียงได้
ในผู้ป่วย OSAS ที่รุนแรงมาก จะใช้เครื่องที่มีลักษณะเป็น bi-PAP นั่นคือ เครื่องดังกล่าวจะเป่าอากาศ เข้าไปโดยมีความดันใน 2 ลักษณะได้แก่ เมื่อผู้ป่วยหายใจเข้าแรงดันจะสูง และเมื่อผู้ป่วยหายใจออกแรงดัน จะต่ำ
พยาบาล แพทย์ ควรเป็นผู้อธิบายถึงความสำคัญและประโยชน์ของการใช้เครื่องดังกล่าวทั้ง CPAP และ bi-PAP

4. การผ่าตัด การผ่าตัดรักษานอนกรน นั่นเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ให้ผลการรักษาดีมาก

.. ย้อนกลับ ..