|
||||||||||||||
ปรับปรุงล่าสุดเมื่อ 30-Sep-2007
ตอนที่ 2
6. พฤติกรรมการกิน ส่งผลต่อมะเร็ง ? ความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก นอกจากเหตุสูงอายุแล้ว อาหารที่รับประทานเป็นประจำก็เป็นความเสี่ยงที่สำคัญ ปัจจุบันเริ่มเป็นที่ยอมรับกันว่า ถ้าคนเราเลือกกินอาหารให้ถูกต้อง สามารถป้องกันความเสี่ยงต่อมะเร็ง หรือชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็งได้ ไม่ว่ามะเร็งชนิดใด สำหรับมะเร็งต่อมลูกหมาก อาหารที่มีเนื้อหรือไขมันสัตว์มาก อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมาก ส่วนอาหารประเภทผักและผลไม้อาจช่วยลดความเสี่ยงได้ ผมจึงระลึกย้อนไปถึงพฤติกรรมการกินของตัวเองในระยะเวลาที่ผ่านมาจนถึงอายุ 68 ปี ในวัยเด็ก อยู่ต่างจังหวัด ที่บ้านผมจะไม่ใช้เนื้อวัวปรุงอาหาร พูดง่ายๆ ว่าไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่ไม่ว่าจะปรุงแบบไหน กับข้าวจะปรุงจากปลา ทั้งปลาน้ำจืดและปลาทู ส่วนเนื้อจะเป็นเนื้อหมู นานๆ ครั้งจะมีเนื้อไก่ ผักสดจะได้จากการกินน้ำพริก จากขนมจีนและข้าวยำปักษ์ใต้ ผักและผลไม้หาซี้อได้ตามฤดูกาลและจากที่ปลูกไว้ในบริเวณบ้านนั่นเอง เมื่อ อายุได้ 18 ปี ไปเรียนที่ วศ.บางแสน ต้องอยู่ประจำ กินตามที่ฝ่ายโภชนาการจัดให้ แม้จะได้กินจำพวกปลา กุ้ง บ่อยๆ แต่บางมื้อบางวันจะมีเมนูเนื้อ เช่น ก๋วยเตี๋ยวเนื้อสับ แกงพะแนงเนื้อ ให้รับประทาน ผมจึงเริ่มกินเนื้อ กินได้แล้ว ก็รู้จักสั่งอาหารจานเดียวประเภท ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ลูกชิ้นเนื้อ ข้าวขาหมู ข้าวหมูแดง ข้าวหน้าเป็ด ข้าวมันไก่ ฯลฯ อย่างใดอย่างหนึ่งมากินเมื่อเข้าตลาด เวลานั่งรถไฟกลับบ้าน มักสั่งข้าวเหนียวเนื้อไว้เป็นเสบียง อายุ 22 ปี เริ่มทำงานครั้งแรกที่จังหวัดยะลา ได้รู้จักอาหารอร่อยปรุงจากร้านอาหารอิสลาม เช่น ซุปเนื้อวัว เนื้อแดง เนื้ออบ ซุปเครื่องในวัว สั่งกินเป็นครั้งคราวสลับกับอาหารไทย จีน ที่คุ้นเคย นอกจากนี้ยังริเริ่มดื่มเหล้า เบียร์ และสูบบุหรี่อีกด้วย (เลิกสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาดเมื่ออายุ 47 ปี ส่วนเหล้าเบียร์ดื่มน้อยลงตั้งแต่อายุ 50 ปี) อายุ 35 ปี มีโอกาสไปอยู่สหรัฐเกือบปีที่รัฐเทกซัส และ ดีซี รู้จักกินอาหารเช้าแบบอเมริกัน ฟ้าสฟูดพวกแฮมเบอเกอร์ แซนด์วิช ไก่ทอดเคเอฟซี หรือจานหลักจำพวกสะเต็กเนื้อแบบต่างๆ กินเนื้อ นม และเนยเป็นประจำ กลับมาเมืองไทยร่างกายดูอิ่มเอิบอ้วนพี และยังติดนิสัยกินอาหารเช้าแบบอเมริกันอยู่หลายปี (ผู้ชายอเมริกันเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก 1 ใน 10 คน) อายุ 46 ปี เริ่มทำงานเป็นผู้บริหาร มีการประชุมทั้งในที่ตั้งและเดินทางไปต่างจังหวัดบ่อยๆ อาหารการกินยิ่งหลากหลายมากขึ้น เพราะการประชุมกับการกินเลี้ยงคู่กันเสมอ อย่าได้สงสัยว่า ทำไมผู้บริหารส่วนมากจึงมีพุงและน้ำหนักเกิน ขณะทำงานที่กรุงเทพ ช่วงก่อนเกษียณอายุ ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู ข้าวหมูแดง ข้าวหน้าเป็ด ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเนื้อเปื่อย เป็นเมนูอาหารมื้อเที่ยงที่กินสลับกันเป็นประจำ จนเมื่ออายุประมาณ 57 ปี ตรวจพบว่ามีคลอเรสตอรอลในเลือดสูง จึงได้ลดความถี่การกินอาหารเหล่านี้ลง รวมทั้งอาหารเช้าแบบอเมริกันด้วย แต่ก็ยังกินผักผลไม้ไม่มากนัก ผมไม่ใช่พวกที่ชอบชิม ประเภทที่มีร้านอาหารอร่อยที่ไหนต้องไปลองกิน และไม่เคยมีข้อจำกัดในการกิน กินตามสะดวก แต่กินไม่จุ กินแต่พออิ่มในแต่ละมื้อ จนเมื่อได้ลองเป็นสมาชิกวารสาร ชีวจิต เป็นเวลา 2 ปี จึงทราบว่ามีผู้สนใจการกินเพื่อสุขภาพ ควรกินอะไรบ้าง และกินอย่างไร กินเพื่อป้องกันโรค กินเพื่อรักษาโรค และการปฏิบัติตนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรค ก็ยังไม่ได้ลองปฏิบัติตาม แต่ไปหาอาหารเสริมจำพวกวิตามินเกลือแร่ ต่อต้านอนุมูลอิสระมากินเป็นระยะๆ ผลการตรวจสุขภาพเมื่อปี 2547 ที่ไม่แสดงความผิดปกติ และผมไม่มีโรคประจำตัวใดๆ ไม่ต้องพกยาติดตัวเหมือนเพื่อนบางคน ทำให้ผมประมาท ไม่ระมัดระวัง กลับไปกินแบบเดิมๆ อีก ระดับ PSA ที่เพิ่มขึ้นทุกปีจนกระทั่งได้ค่าถึง 9.28 ในการตรวจเมื่อปี 2550 และหมอที่สถาบันมะเร็งสงสัยว่าผมเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก จนกระทั่งหมอที่ศิริราชฟันธงไปแล้วว่าเป็น และต้องรับการผ่าตัด.... นอกจากจะสูงอายุถึง 68 ปีแล้ว...มันจะเกี่ยวกันไหมกับพฤติกรรมการกินที่ผ่านมา? 7. รอเข้าโรงพยาบาล นับจากวันที่ 11 ก.ค. ผมต้องรอไปอีก 40 วันจึงจะถึงคิวเรียกตัวเข้าโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัด ตั้งแต่ วันที่ 4 ก.ค. เมื่อทราบผลการตัดชิ้นเนื้อว่าผมเป็นมะเร็ง คุณราตรี เริ่มวางแผนควบคุมการกินอาหารของผมทันที บอกว่าต่อไปนี้จะให้กินผักผลไม้มากขึ้น ลดเนื้อสัตว์และอาหารมัน ให้กินแต่เนื้อปลาเท่านั้น กินข้าวกล้องแทนข้าวขาว กินโยเกิร์ตแทนนม ควรงดกาแฟ และเครื่องดื่มอัลกอฮอล์ จะทำน้ำเอ็นไซม์ ผลไม้ปั่นให้กินทุกวัน ฯลฯ เพื่อลดการเติบโตของเซลล์มะเร็ง หรืออย่างน้อยทำให้มันเจริญช้าลง ตั้งแต่วันที่ 5 ก.ค. ผมยอมรับการควบคุมอาหารที่คุณราตรีกำหนดขึ้นทุกมื้อ ซึ่งเธอก็ต้องเหนื่อยมากขึ้น เพราะต้องไปตลาดซื้อผักผลไม้และอื่นๆ จากตลาดมาให้ผมกิน แต่การไปจ่ายตลาดสด เป็นความสุขของเธอ ผมจึงไม่ไปก้าวก่าย นอกจากเธอจะไปซื้อของที่ห้างบิ้กซีหรือโลตัส ผมจะขับรถพาไป เมื่อทราบวันผ่าตัดแน่นอน การควบคุมอาหารยิ่งเข้มข้นมากขึ้น การควบคุมอาหารก็คือการลดอาหารที่มะเร็งชอบ และกินอาหารที่สร้างสารต่อต้านการเติบโตของมะเร็งไปพร้อมกัน ถ้าไม่ควบคุม ไม่รู้ว่ามะเร็งจะเติบโตไปเท่าไรในอีกหนึ่งเดือนกว่าข้างหน้า เธอไปเอาความรู้พวกนี้มาจากไหนมาช่วยต่อสู้มะเร็งให้ผม (เรื่องอาหารต่อต้านมะเร็ง จะค้นหามาเขียนตอนหลัง) หลังเกษียณอายุราชการแล้ว ภรรยาผมกลายเป็นนักอ่านหนังสือ เธอชอบอ่าน อ.ส.ท. เพื่อหาที่เที่ยว อ่าน มติชน จนมีอาการติดข่าว และอ่านหนังสือ ชีวจิต ที่ผมรับไว้ 2 ปี จำนวน 48 เล่ม จนมีความรู้เรื่องอาหารเพื่อสุขภาพ การออกกำลังกายแบบต่างๆ และยังซื้อหนังสือเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ มาสะสมไว้หลายเล่ม ...ต่อไปนี้ สบายใจได้เลยว่าผมจะได้รับการดูแลเรื่องอาหารจากผู้มีความรู้เรื่องโภชนาการในระดับดี ผมได้เพิ่มเติมการควบคุมอาหารเข้าไปอีกประเด็นหนึ่ง คือ ไม่กินข้าวมื้อเย็นด้วย แต่จะกินผลไม้หรือสลัดแทน เพราะขณะนั้นน้ำหนักตัวผม 71 กก. เกินมาตรฐานไปสี่กิโล ผมไปอ่านเจอที่ไหนจำไม่ได้ว่า "กินน้อยตายยาก กินมากตายง่าย" จึงปฏิบัติเสียคราวเดียวกันนี้ ครั้งแรกผมตั้งใจว่าจะยังไม่บอกเพื่อนคนใด ให้รู้เรื่องที่ผมเป็นมะเร็ง เพราะไม่ใช่ข่าวดี แต่ในวันที่ 14 ก.ค. เพื่อนช้างผงาด กทม. สิบกว่าคน นัดกินมื้อเที่ยงกันที่ ร้านแดรี่ควีน บางเขน เพื่อพบปะกับเปี๊ยก(อุไร) ซึ่งอยู่สหรัฐและกลับมาเยี่ยมบ้านเมืองไทย คุณวีณาถามผมว่า ปลายเดือนสิงหาคมจะไปเที่ยวเมืองจีนกันอีกไหม ก็ตอบว่าคงไปไม่ได้ ต้องเข้ารับการผ่าตัด คงฟื้นตัวไม่ทัน และวันนั้นคุณศุภชัยอีกคนหนึ่งที่รู้เรื่องนี้ ไม่ได้บอกแก่ทุกคน แต่คิดว่าคนอื่นๆ ก็คงจะรู้ในเวลาไม่นานนัก วันที่ 16 ก.ค.ผมพร้อมกับคุณราตรีเดินทางไปจังหวัดสงขลา ขับรถไปเองเหมือนทุกๆ ครั้ง ผมแกล้งมะเร็งหรือมะเร็งกระตุ้นเอาก็ไม่รู้แน่ ผมขับรถรวดเดียวจากเมืองนนท์ถึงสงขลา ระยะทาง 965 กม. ครั้งก่อนๆ จะแวะพักที่สุราษฎร์ฯ หรือที่นครศรีฯ สักคืนหนึ่ง (ผมเติมน้ำมันแกสโซฮอลล์ 95 ให้เจ้าวีออส แทนเบนซิน 91 ในวันนั้น) เราจะไปสงขลากันปีละสามครั้ง เพราะมีสินทรัพย์ที่ต้องดูแลอยู่บ้าง พักอยู่ประมาณหนึ่งเดือนแล้วกลับเมืองนนท์ ไปครั้งก่อนเพิ่งกลับมาเมื่อปลายเดือน พ.ค. ..รีบไปอีกทำไมหรือ ทั้งที่เพิ่งกลับมา คุณราตรีมีนัดสอบแนวเขตที่ดินกับพนักงานที่ดินอำเภอหาดใหญ่ ในวันที่ 27 ส.ค. เมื่อผมต้องผ่าตัดวันที่ 20 ส.ค. เราคงไปไม่ได้ จะเลื่อนก็ไม่ได้ ยกเลิกก็ไม่ได้ เพราะชำระเงินค่าธรรมเนียมไปแล้ว จึงต้องไปเพื่อมอบฉันทะให้เพื่อนที่หาดใหญ่ช่วยทำแทน ครั้งแรกคิดว่าเมื่อตกลงกับเพื่อนเสร็จแล้ว จะอยู่พักผ่อนเตรียมใจ ค่อยเดินทางกลับเมื่อใกล้วันผ่าตัด แต่สิ้นเดือนนี้มีวันหยุดยาว 28-31 ก.ค. ลูกๆ ขอร้องให้กลับมาก่อนวันที่ 28 ก.ค. เพราะเขากลับมาบ้านจะได้เจอพ่อแม่ (ลูกทำงานต่างจังหวัดสองคน) คราวนี้ได้อยู่สงขลาเพียงสิบกว่าวัน แต่นับว่าเป็นความโชคดีในเวลาต่อมา ระหว่างพักที่สงขลา จำลอง เพ็ญศรี และสมผิว ได้โทรศัพท์จากเชียงใหม่ไปถามข่าว แสดงว่ารู้เรื่องแล้ว พูดให้กำลังใจ พอรู้ว่าผมอยู่ที่สงขลาก็สงสัย ว่าไปทำไม ไปได้อย่างไร ยิ่งรู้ว่าขับรถไปเอง ยิ่งแปลกใจ ไม่ได้ไปหาหมอสมุนไพรหรือหมออินเดียที่ไหนหรอก ไปทำธุระเท่านั้นเองเพื่อน สองสามวันต่อมาพัชราโทรจากลำปาง เล่าเรื่องอะไรต่างๆ ให้ฟัง แต่ไม่กล้าถามเรื่องมะเร็ง และขอพูดกับคุณราตรี ก็คุยเรื่องทั่วไปอื่นๆ ตอนหลังเมื่อกลับเมืองนนท์แล้วจึงให้คุณราตรีโทรไปบอกว่าผมเป็นมะเร็งจริง การควบคุมอาหารยังคงปฏิบัติต่อเนื่อง จากสงขลากลับมาเมืองนนท์ เมื่อ 27 ก.ค. น้ำหนักผมลดลงเหลือ 69 กก. ผมงดดื่มกาแฟซึ่งยังคงติดอยู่เช้าละถ้วยได้เด็ดขาดแล้ว ทำให้ลดน้ำตาลได้ด้วย วันที่ 28 ก.ค.เวลาสิบโมง ไปเยี่ยมพี่ประเทินซึ่งพักฟื้นอยู่ที่อาคาร 84 ปี ศิริราช พี่ประเทินรับการผ่าตัดเมื่อ 25 ก.ค. พักอยู่ห้องพิเศษเดี่ยว มีคุณภารดีเฝ้าไข้ อาการฟื้นตัวมากแล้ว ลุกขึ้นนั่งคุยกันเกือบชั่วโมง พอพยาบาลเข้ามาจะเช็ดตัวคนไข้ จึงขอลากลับ ก่อนกลับผมพูดเล่นกับพยาบาลว่า มาศึกษาดูงาน เพราะเดือนหน้าผมจะเข้าผ่าตัดในโรคเดียวกัน ต้นเดือนสิงหาคม เพื่อนเริ่มโทรถามข่าว ข่าวแพร่กระจายแล้วโดยศูนย์ข่าวช้างผงาด ว่าผมจะขี้นเตียงผ่าตัด ในวันจันทร์ 20 ส.ค. ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วงและให้กำลังใจ ผมติดตามข่าวร่างรัฐธรรมนูญและการลงประชามติทุกวัน ทางรัฐบาลและ กกต เริ่มมีความคิดว่าจะให้วันจันทร์ที่ 20 ส.ค.หลังวันลงประชามติเป็นวันหยุดราชการ ผมตั้งใจว่าจะไปลงประชามติตอนเช้าวันที่ 19 ส.ค.ก่อนไปเข้าโรงพยาบาล เพื่อทำหน้าที่พลเมืองที่ดี ถ้าหยุดราชการวันที่ 20 ศิริราชก็หยุดทำงานด้วย แล้วผมจะได้คิวผ่าตัดเมื่อไรอีก มะเร็งอาจลุกลามมากขึ้นก็ได้ คืนวันอังคารที่ 7 ส.ค. ทีวี และวิทยุ ออกข่าวว่า ครม.มีมติให้วันที่ 20 ส.ค. เป็นวันหยุดราชการ ..เปรี้ยง ๆ. 8. เลื่อนวันผ่าตัด คืนวันที่ 7 ส.ค. กว่าจะนอนหลับ ต้องคิดถึงเรื่องวันผ่าตัด โรงพยาบาลจะทำอย่างไร เราจะต้องติดต่อถามไปหรือไม่ หรือรอให้เขาแจ้งมา ใจนั้นคิดไว้ว่าคงต้องเลื่อนออกไปเป็นเดือนแน่ เพราะที่ได้วันที่ 20 ส.ค. เนื่องจากมีคนไข้คนหนึ่งเลื่อนนัด หมอเลยจัดให้ผม หากต้องเลื่อนออกไปจะนานอีกเท่าใด ผมและภรรยาไม่มีเส้นสาย ที่อาจช่วยเรื่องยากให้ง่ายที่โรงพยาบาลเลย เช้าวันพุธที่ 8 ส.ค. ขณะที่อยู่ในห้องน้ำ ได้ยินเสียงกริ่งโทรศัพท์บ้านดังขึ้น เสียงเรียกอยู่ 4-5 ครั้งแล้วเงียบไป คิดว่าคุณราตรีจะรับสาย เมื่อออกจากห้องน้ำจึงถามว่าใครโทรมา แต่เขาไม่ได้รับ เพราะกำลังทำน้ำปั่น เสียงเครื่องปั่นดังกลบเสียงกริ่งโทรศัพท์ ประมาณสักเก้าโมงเช้าวันนั้น เสียงเรียกโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ผมเป็นคนรับเอง เสียงผู้หญิงใสๆ ดังมา "คุณวินัย เพชรช่วย ใช่ไหมคะ" "ใช่ครับ" ผมตอบ รู้สึกงงเล็กน้อย เพราะเสียงไม่คุ้น "ดิฉันโทรจากศิริราชค่ะ คุณวินัยมีนัดผ่าตัดวันที่ 20 ส.ค. ซึ่งเป็นวันหยุด หมอสุนัย ให้นัดคุณเข้าโรงพยาบาลในวันพฤหัสที่ 9 นะคะ และผ่าตัดวันที่ 10 ค่ะ ต่อไปนี้ ขอให้ฟังอย่างเดียว ยังไม่ต้องถามอะไร ค่อยถามเมื่อฟังจบแล้ว" "ครับ จะให้ผมทำอะไรบ้างครับ" ผมตอบรับด้วยความดีใจ ที่ทางโรงพยาบาลติดต่อมา บริการดีจริงๆ เข้าใจความรู้สึกเรา "ฟังนะคะ...เช้าวันที่ 9 พรุ่งนี้ ระหว่างเวลา 8.00-10.00 ให้คุณวินัยไปรายงานตัวที่ตึกอุบัติเหตุชั้น 2 นำสำเนาบัตรประชาชนไปยื่นให้เจ้าหน้าที่ประจำตึก คุณจะได้อยู่ห้องพิเศษรวม เราไม่สามารถจัดห้องพิเศษเดี่ยวให้คุณตามที่จองไว้ได้ค่ะ อนุญาตให้ญาตินอนเฝ้าได้หนึ่งคน แต่ต้องเป็นเพศเดียวกันกับผู้ป่วย .และเตรียมสิ่งของที่ต้องใช้ ดังนี้ ผ้าเช็ดตัวผืนเล็ก 4 ผืน ผืนใหญ่ 1 ผืน สบู่ ยาสระผม แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ขันน้ำ แป้ง รองเท้าฟองน้ำ และของใช้ส่วนตัวอื่นๆ ...สำหรับคืนนี้ให้งดอาหารตั้งแต่เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป จนกว่าจะรายงานตัวเสร็จ....เอาละค่ะ คุณวินัยมีอะไรจะถามไหมคะ" "ผมต้องนำหนังสือส่งตัวจากต้นสังกัดไปแสดงด้วยไหมครับ" เมื่อวันนัด ที่คลินิกพิเศษบอกว่าให้มีหนังสือรับรองไปด้วย "ถ้าคุณใช้สิทธิเบิกตรง ไม่ต้องมีหนังสือส่งตัว ใช้เฉพาะบัตรประชาชน เจ้าหน้าที่จะมีข้อมูลของคุณอยู่แล้ว" "ผมไม่มีญาติผู้ชายไปนอนเฝ้า ให้ภรรยาเป็นคนเฝ้าจะได้ไหมครับ" ถ้าไม่ได้คงต้องจ้างคนเฝ้าไข้ "ตามระเบียบห้องพิเศษรวม ผู้เฝ้าไข้ต้องเป็นเพศเดียวกับผู้ป่วยค่ะ" ยืนยันว่าเป็นระเบียบ มีข้อยกเว้นหรือเปล่าไม่ทราบ "ขอบคุณที่กรุณาแจ้งรายละเอียดให้ทราบครับ" การสนทนาจบลงเมื่อผมยืนยันว่าเข้าใจทุกอย่างแล้ว วันทำบัตรผู้ป่วย ผมได้แจ้งเบอร์โทรศัพท์ติดต่อไว้ทั้งเบอร์บ้านและมือถือ และเบอร์ของลูกชายในกรณีฉุกเฉินไว้ด้วย เข้าใจว่าเสียงโทรศัพท์บ้านเมื่อเช้าตรู่คงเป็นการเรียกจากโรงพยาบาล แต่ไม่มีใครรับสาย ดีที่มีมือถือ และยิ่งโชคดีที่วันที่ 8 ส.ค. ผมกลับมาเมืองนนท์แล้ว ถ้าวันนั้นยังอยู่ที่สงขลา แม้ได้วันผ่าตัดใหม่ ก็คงเดินทางกลับมาไม่ทันในเช้าวันที่ 9 สรุปว่า ผมต้องเข้าโรงพยาบาล ผ่าตัดเร็วขึ้นจากกำหนดเดิม 10 วัน มีเวลาเตรียมตัวและสิ่งของเครื่องใช้ก่อนเข้าผ่าตัดแค่วันเดียว ใจนึกขอบคุณคุณหมอที่กรุณาเลื่อนให้เร็วขึ้น แสดงถึงความพร้อมของทีมผ่าตัดที่สามารถกำหนดนัดได้ภายในสองสามวันเท่านั้น นับเป็นโชคดีอีกครั้งหนึ่ง เป็นความสะดวกที่ไม่ต้องดิ้นรน โทรไปหาลูกๆ บอกว่าพ่อจะเข้าโรงพยาบาลวันพรุ่งนี้แล้ว และถามลูกชายซึ่งทำงานที่ ปตท. บ้านอยู่เขตสายไหม ว่ากลางคืนพอจะมีเวลามาเฝ้าพ่อได้หรือไม่ เพราะคนเฝ้าต้องเป็นผู้ชายเหมือนกัน ลูกบอกว่าได้ เขาเลิกงานประมาณหนึ่งทุ่มทุกวัน 9. ก่อนขึ้นเตียงผ่าตัด ก่อนขึ้นเตียงผ่าตัดต่อมลูกหมาก โรงพยาบาลกำหนดให้ผู้ป่วยเข้าพักในหอผู้ป่วยก่อนหนึ่งวัน เพื่อผู้ป่วยเตรียมตัวและคณะแพทย์เตรียมการต่างๆ ตามขั้นตอน เช้าวันพฤหัสบดีที่ 9 ส.ค. จัดกระเป๋าเตรียมสิ่งของเรียบร้อย ออกจากบ้านไปโรงพยาบาลศิริราช คุณราตรีนำผมไปรายงานตัวเข้าหอผู้ป่วยตึกอุบัติเหตุ ชั้น 2 ตั้งแต่เวลา 8.40 น. บอกเจ้าหน้าที่ว่าเป็นคนไข้ของหมอสุนัย และส่งสำเนาบัตรประชาชนให้พยาบาลที่รับเรื่อง เขาไปจิ้มหาข้อมูลที่เครื่องคอมสักหนึ่งนาที ถามผมว่างดอาหารมาแล้วหรือยัง ผมตอบว่างดมาตั้งแต่หกโมงเย็นเมื่อวาน (เพราะไม่กินมื้อเย็นแล้ว) เขาบอกว่าให้เข้าพักที่ห้อง 2/1 ก่อนไปห้อง เขาให้ชั่งน้ำหนักตัว วัดส่วนสูง (วันนั้นน้ำหนักตัวผม 68 กก) และขอเจาะเลือดไปตรวจ ดูดอยู่นานเกือบนาที ได้ไปหลอดใหญ่ เมื่อไปถึงห้อง ต้องเปลี่ยนใส่ชุดผู้ป่วยทันที ชุดผู้ป่วยสีเขียวนวล จะได้รับสับเปลี่ยนวันละสองชุด เช้า เย็น ห้องผู้ป่วยพิเศษรวมก็ดูดี เป็นห้องขนาดประมาณ 4x7 เมตร แบ่งเป็นห้องผู้ป่วยสองห้อง 2/1 และ 2/2 กั้นแยกกันด้วยม่านทึบ ซึ่งมีรางม่านรูด เปิดปิดได้โดยรอบเตียง เป็นห้องปรับอากาศ ส่วนหน้าที่เป็นทางเข้าใช้ร่วมกัน มีตู้เย็น มีสายอากาศทีวีสำหรับผู้ที่นำทีวีมาดู ข้อจำกัดคือไม่มีห้องน้ำในตัว ต้องใช้ห้องน้ำรวม ข้อเสียคือเสียงจะรบกวนกัน เมื่อผมเข้าไปนั้น ที่ห้อง 2/2 มีผู้ป่วยชายอายุประมาณ 40 เศษ สวมชุดผู้ป่วยสีชมพูนั่งอยู่ พยาบาลคนหนึ่งนำปลอกข้อมือมาสวมที่ข้อมือขวาของผม ก่อนใส่ก็ถามชื่อ นามสกุลให้แน่ใจว่าไม่ผิดตัว ปลอกข้อมือสีฟ้าขาว ทำด้วยวัสดุเหนียวดึงไม่ขาด มีข้อความเป็นชื่อ นามสกุล ดูเหมือนจะมีอายุด้วย และมีรายละเอียดอื่นอีก ได้แก่ อบห 2พ. HN-50-197992 AN-50-047224 อบห 2พ น่าจะหมายถึง ตึกอุบัติเหตุ ชั้นสองพิเศษ HN คือเลขประจำตัวผู้ป่วย AN อันนี้ผมเดาว่าเป็นเลขบัญชีที่จะลงค่าใช้จ่ายในการรักษา ปลอกข้อมือหรือริสท์แบนด์นี้ใส่ติดตัวตลอดเวลา จะแกะออกในวันกลับบ้าน จากนี้ไปผมอยู่ในความดูแลของโรงพยาบาล จะไปไหน หรือทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้แล้ว เห็นแฟ้มคู่มือการปฏิบัติระหว่างพักในหอผู้ป่วยวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง จึงหยิบมาอ่าน เป็นคำแนะนำที่อ่านรู้เรื่องชัดเจน ประมาณเก้าโมงเศษๆ มีเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งเข้ามาพร้อมเอกสารหลายแผ่น มาซักถามประวัติความเจ็บป่วย การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา โรคประจำตัว ยาที่ต้องกินประจำ ฯลฯ หลังจากนั้นให้เซ็นแบบฟอร์มยินยอม 3 ฉบับ ได้แก่ 1. ยินยอมปฏิบัติตามระเบียบหอผู้ป่วย 2. ยินยอมรับการผ่าตัดในวันรุ่งขึ้น 3. ยินยอมที่จะรับเลือดในกรณีต้องให้เลือดระหว่างผ่าตัด ผมเซ็นยินยอมทุกอย่าง โดยมีคุณราตรี ภรรยาลงชื่อเป็นพยาน เวลาประมาณสิบโมง พยาบาลเข้ามาวัดความดันโลหิต ได้ 143/92 บอกว่าสูงนิดหน่อยนะลุง เสร็จแล้วผมก็ถามว่า ลุงไม่มีญาติผู้ชายมานอนเฝ้า จะให้ป้าเฝ้าได้หรือไม่ พยาบาลตอบว่าเดี๋ยวจะถามหัวหน้าให้ สักครู่พยาบาลหัวหน้าเข้ามาถามว่าป้าเป็นอะไรกับลุง บอกว่าเป็นภรรยา พยาบาลบอกว่าคงไม่เป็นไร เพราะห้อง 2/2 ภรรยาเป็นคนเฝ้าไข้เหมือนกัน เป็นอันว่าคนเฝ้าไข้ของทั้งสองห้องเป็นเพศเดียวกันก็น่าจะยอมได้ ปัญหานี้ก็ตกไป คุณราตรีจึงต้องกลับบ้านไปจัดกระเป๋าเสื้อผ้า และโทรไปบอกลูกชายว่าไม่ต้องมานอนเฝ้าพ่อที่โรงพยาบาลแล้ว เวลา 11.00 น. เก็บปัสสาวะส่งไปตรวจ 2 กล่อง เวลา 11.30 เจ้าหน้าที่นำอาหารเที่ยงมาให้ เปิดดูแล้วน่ากิน เป็นข้าวสวย กับข้าวสองอย่าง มีของหวานด้วย เนื่องจากยังไม่ได้กินอะไรเลยมาตั้งแต่เช้า จึงกินอาหารมื้อนี้ได้หมดจด....ไม่เหลืออะไรเลย ตอนบ่าย พยาบาลนำเหยือกแก้วมีขีดบอกปริมาตร ใส่น้ำประมาณ 1 ลิตรเข้ามาวางบนโต๊ะ แล้วบอกว่า "ให้ดื่มน้ำจากเหยือกนี้เท่านั้น เมื่อหมดพยาบาลจะนำมาเติมให้อีก" "ผมดื่มจากขวดน้ำที่มีบริการในตู้เย็นไปแล้ว" ผมสงสัยว่าทำไมต้องดื่มจากเหยือกนี้ เมื่อทางโรงพยาบาลแจ้งว่าจะมีบริการน้ำดื่มให้วันละสองขวด ขวดละ 500 ซีซี "ถ้าดื่มจากขวดไปเท่าไร ให้เทน้ำจากเหยือกออกไปเท่านั้น" เธอไม่บอกเหตุผล ทำให้ผมสงสัยมากขึ้นไปอีก จะถามต่อก็เห็นหน้าเธอเรียบเฉยเหมือนไม่อยากอธิบาย จึงเงียบไว้ หลังจากนั้นไม่นาน มีพยาบาลคนใหม่นำคอมฟอร์ท 100 และขวดใบใหญ่ พร้อมกรวยสำหรับกรอกน้ำมาวางไว้ที่พื้นห้องปลายเตียง และบอกว่าเมื่อถ่ายปัสสาวะให้เก็บใส่ขวดนี้ไว้ทุกครั้ง พยาบาลคนนี้หน้าตายิ้มแย้มดี ผมจึงถามว่าทำไมต้องดื่มน้ำจากเหยือกที่ให้ไว้เท่านั้น "เป็นการวัดปริมาณน้ำที่ดื่มเทียบกับปริมาณปัสสาวะที่ขับออกมา ถ้าดื่มน้ำมากแต่ปัสสาวะน้อย แสดงว่าไตไม่ปกติ เราจึงต้องบันทึกปริมาณน้ำที่ดื่ม และเก็บปัสสาวะด้วย" คราวนี้ผมเข้าใจแล้ว ตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมา เมื่อปวดฉี่ผมไม่ต้องไปห้องน้ำ ใช้คอมฟอร์ท100 รับ เสร็จแล้วกรอกใส่ขวดวางไว้ น้ำในเหยือกหมดเมื่อไรเขาก็มาเติมให้ ฉี่เต็มขวดเมื่อไรก็ถูกเก็บไปและนำใบใหม่มาวางแทน ประมาณบ่ายสองโมง เจ้าหน้าที่นำอาหารว่างมาบริการ เป็นขนมไทย หลังอาหารว่างพยาบาลเข้ามาวัดความดัน ครั้งนี้ ได้ 157/88 คงได้น้ำตาลจากขนม ตัวบนจึงค่อนข้างสูง นี่ผมเดาเอาเองนะ ตึกนี้เป็นตึกสำหรับคนไข้ที่รอการผ่าตัดและพักฟื้นหลังการผ่าตัด ผู้ที่รอการผ่าตัดในวันรุ่งขึ้นจะได้รับการชี้แจงในเรื่องต่างๆ จากพยาบาล จากแพทย์ที่เกี่ยวข้อง เป็นลำดับ ประมาณบ่ายสามโมง ผู้ที่จะผ่าตัดในวันรุ่งขึ้นถูกเรียกตัวให้ไปดูวีซีดี เรื่องการปฏิบัติตนก่อนและหลังการผ่าตัด เป็นวีซีดีความยาวประมาณ 20 นาที ดูจบแล้วพยาบาลให้อุปกรณ์สำหรับบริหารปอดไปใช้ที่ห้องอันหนึ่ง สาระสำหรับการรอผ่าตัดมีดังนี้ วันก่อนผ่าตัด.. ตอนเย็นสระผมให้สะอาด กลางคืนนอนพักผ่อนให้เต็มที่ ถ้านอนไม่หลับให้เรียกพยาบาล อาจให้ยานอนหลับช่วย หลังเที่ยงคืนแล้วให้งดน้ำอาหาร จนกว่าจะถึงเวลาผ่าตัด เช้าวันผ่าตัด..ถ่ายอุจจาระให้หมด ทำความสะอาดร่างกาย เปลี่ยนชุดผู้ป่วยเป็นชุดสีชมพู สวมใส่ให้สาปเสื้ออยู่ด้านหลัง พยาบาลจะให้กินยานอนหลับหนึ่งเม็ด เพื่อให้ง่วง เครื่องประดับต่างๆ นาฬิกา แว่นตา ฟันปลอม ให้ถอดฝากญาติไว้ รอเจ้าหน้าที่ห้องผ่าตัดมารับตัวไป เมื่อเช้านี้ ที่ผมเห็นผู้ป่วยห้อง 2/2 ใส่ชุดสีชมพู เพราะเขารอห้องผ่าตัดมารับตัวไปนั่นเอง ดูวีซีดีเสร็จ กลับไปที่ห้อง คุณราตรีหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าเข้ามาพอดี คนเฝ้าไข้เตรียมตัวพร้อมแล้วทั้งเครื่องนอนและเสบียง เวลา 16.00 น. วิสัญญีแพทย์เข้ามาพูดคุย ก่อนคุยเขาถามชื่อและนามสกุลก่อน คงถามเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ผิดตัว ถ้าสงสัยก็จับปลอกข้อมือไปดูได้ "ดิฉันเป็นวิสัญญีแพทย์ ที่จะอยู่ในทีมผ่าตัดวันพรุ่งนี้" หมอแนะนำตัว บอกชื่อด้วย แต่จำไม่ได้ "เราจะให้คุณวินัยดมยาเพื่อให้หลับก่อนผ่าตัด ในปริมาณที่ไม่มากนัก คุณจะหลับไปสักสามสี่ชั่วโมง หมอจะใส่เครื่องช่วยหายใจให้ในขณะหลับ ถ้าผ่าตัดไม่เสร็จอาจให้ยาเพิ่มเติม" บอกขั้นตอนการวางยา แล้วพูดต่อ "ผ่าตัดเสร็จแล้ว จะให้ยาเพื่อทำให้ฟื้น เมื่อคุณรู้สึกตัว จะมีคนเรียกชื่อคุณ จนกระทั่งคุณฟื้น ให้คุณทำตามคำสั่งเขา ถ้าทำได้ถูกต้องทุกคำสั่ง เขาจะถอดเครื่องช่วยหายใจ คุณจะมีอาการเจ็บในลำคออยู่ระยะหนึ่ง ...มีคำถามไหมคะ" หมอใช้คำว่าดมยาให้หลับ จริงๆ คือดมยาให้สลบสิ้นสติ ไม่มีความรู้สึกใดๆ หายใจเองยังไม่ได้ ถึงตอนนี้ผมก็ถามคำถามที่ไม่รู้ฉลาดหรือเปล่าว่า เคยมีใครที่ไม่ฟื้นบ้างไหมหลังผ่าตัด หมอยิ้มแล้วตอบว่าไม่เคยปรากฏ โล่งไป ขืนตอบว่ามีบ่อย ผมคงกลับบ้าน สักครู่หนึ่งหลังจากหมอวิสัญญีกลับไป นายแพทย์หนุ่มหน้าตายิ้มแย้มเข้ามา บอกว่าหมอสุนัยส่งมาให้ดูผม หมอสุนัยจะเป็นคนผ่าตัดในวันพรุ่งนี้ ส่วนเขาจะอยู่ในทีมด้วย "เป็นการผ่าตัดเอาต่อมลูกหมากออกทั้งหมด รวมทั้งถุงน้ำเชื้อด้วย หลังผ่าตัด คุณลุงจะเป็นหมันถาวร" หมอบอก "อาการช้ำรั่ว หรือกลั้นปัสสาวะไม่ได้จะเป็นนานไหม" ผมถาม "การใช้มือกลผ่าตัด จะช่วยรักษาเส้นประสาทและเนื้อเยื่อใกล้เคียงไว้ได้มาก ทำให้ผลข้างเคียงมีน้อย ถ้าฝึกใช้กล้ามเนื้อกลั้นปัสสาวะบ่อยๆ อาการก็จะเป็นอยู่ไม่นาน" เมื่อเห็นว่าผมไม่ถามอะไรอีก หมอก็กลับไป 17.30 น. เจ้าหน้าที่นำอาหารมื้อเย็นมาให้ ผมงดมื้อเย็นแล้ว แต่วันนี้ต้องกิน เพราะพรุ่งนี้งดมื้อเช้า กินอาหารเสร็จ ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า พักผ่อนอยู่ในเตียง 19.00 น. พยาบาลเข้ามาวัดความดันอีกครั้ง ได้ 143/92 ผมพูดว่าวัดบ่อยจังเลย เธอตอบมาว่าวันผ่าตัดจะวัดบ่อยกว่านี้ ความดันของคนไข้ที่จะผ่าตัดคงเปลี่ยนแปลงเร็ว เพราะวิตกกังวลบ้าง เครียดบ้าง กลัวบ้าง บางคนความดันขึ้นสูงมากจนผ่าตัดไม่ได้ก็มี ตอนผ่าตัด เสียเลือดไปอีก หลังผ่าตัดคงวัดกันทุกชั่วโมง 20.00 น. หมอหนุ่มอีกคนหนึ่งหน้าเฉย มีอาการสำรวม เข้ามาที่เตียงพร้อมพยาบาล ถามชื่อและซักประวัติเล็กน้อย แล้วบอกว่า ผลการตัดตรวจชิ้นเนื้อพบเซลล์มะเร็งที่ต่อมลูกหมากด้านซ้าย ขอทำ DRE อีกครั้ง สวมถุงมือแล้วล้วงในทวารของผมคลำไปมาอยู่ครู่หนึ่ง บอกว่าพบก้อนเล็กๆ อยู่ที่ด้านซ้าย แต่จะมีการกระจายหรือไม่ หลังผ่าตัดจะนำก้อนเนื้อที่ตัดไปตรวจก่อน หมอคนนี้พูดจาน้อยคำ และหน้าตาเรียบมากเลย แม้ไม่บอกผมก็รู้ว่าอยู่ในทีมผ่าตัดวันพรุ่งนี้แน่นอน แล้วหมอก็กลับไป 21.00 น. พยาบาลคนหนึ่ง เสียงออกจะห้าวนิดหน่อยเข้ามาพร้อมอุปกรณ์ บอกว่าจะทำความสะอาด และสวนอุจจาระให้ ให้ผมนอนเปลื้องผ้าออก เอาผ้าชุบน้ำเช็ดบริเวณหัวเหน่าและท้องน้อย ทาสบู่แล้วใช้ใบมีดโกนขนบริเวณนั้นออกจนเกลี้ยง เป็นการเตรียมตัวหากมีการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง เสร็จแล้วจึงสวนท้องเพื่อล้างลำไส้ ไม่นานนักผมทนกลั้นไม่ได้ ต้องรีบไปห้องน้ำซึ่งอยู่นอกห้องไม่ไกล เป็นอันเสร็จภารกิจของพยาบาลคนนี้ จากเวลานี้ไป เป็นเวลาพักผ่อน เตรียมใจ สำหรับวันรุ่งขึ้น พยาบาลมาวัดความดัน เติมน้ำในเหยือกให้ เมื่อเวลาเที่ยงคืนก็เข้ามาเตือนว่าให้งดน้ำอาหารทุกชนิด และถามว่านอนหลับไหม ผมนอนไม่ค่อยหลับ เพราะเสียงพัดลมดูดอากาศในห้องดังมาก แต่ไม่ขอยานอนหลับ นอนหลับๆ ตื่นๆ ไม่ฝันเรื่องอะไรเลย จนถึงเช้า ยังจะมีต่อ ตอนที่ 3
|