ประวัติวัดพระเชตุพน
(วัดโพธิ์) |
|
วัดพระเชตุพน
หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่าวัด
โพธิ์ท่าเตียนนั้น
เดิมเป็นวัดโบราณ
ที่ชาวบ้านสร้างขึ้นตั้ง
แต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา ราว
พ.ศ. ๒๒๓๑ มีชื่อว่าวัดโพธาราม
ซึ่งชาวบ้านเรียกกันสั้น
ๆ ว่าวัดโพธิ์
สภาพของวัดโพธารามในอดีต
ก่อนที่จะมาเป็น"วัดโพธิ์
โสภาสถาพร
สง่างอนงามพริ้งทุกสิ่งอัน"
นั้น มีกล่าวถึงไว้ใน
จารึกเรื่องทรงสร้างวัดพระเชตุพน
ครั้งรัชกาลที่ ๑ อย่างน่าสน
ใจยิ่งว่า ...
เสด็จทอดพระเนตรเห็นววัดโพธาราม
เก่าชำรุด
ปรักหักพังเป็นอันมาก
ทรงพระราชศรัทธา
จะปฏิสังขรณ์ให้
บริบูรณ์งามขึ้นกว่าเก่า ซึ่งที่เป็นลุ่มดอนห้วยคลองสระบ่อร่องคู
อยู่นั้น ทรงพระกรุณาให้เอาคน
๒๐,๐๐๐ เศษ ขนดินมาถมเต็ม
แล้ว
รุ่งขึ้นปีหนึ่งสองปีกลับยุบลุ่มไป
จึงให้ซื้อมูลดินถม สิ้นพระ
ราชทรัพย์สองร้อยห้าชั่งสิบห้าตำลึง
จึงให้ปราบที่พูนดินเสมอดี
แล้ว ครั้น ณ วันพฤหัสบดี
เดือนสิบสองแรมสิบเบ็ดค่ำ
ปีฉลูนัก
ษัตรเบญจศก ให้จับการปฏิสังขรณ์
... (ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๓๒ -
๒๓๔๔ รวมเวลาก่อสร้าง ๑๒ ปี) |
นับแต่ครั้งสมัยกรุงธนบุรี ในปี
๒๓๑๑ เมื่อสมเด็จพระเจ้า
ตากสินมหาราช
ทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวง
ทรงกำหนดเขตพระนครครอบคลุม ๒
ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
วัดโพธาราม
ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ
ถูกกำหนด
อยู่ในเขตพระนคร
จึงได้รับการสถาปนาเป็นพระอารามหลวง
ตั้งแต่บัดนั้นมา
ครั้นถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ภายหลังพระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ทรงปราบดาภิเษกขึ้นครอง
ราชย์ เป็นปฐมบรมกษัตริย์
แห่งราชวงศ์จักรี ทรงย้ายพระนคร
จากฝั่งตะวันตก
ของแม่น้ำเจ้าพระยา
มายังฝั่งตะวันออก
ทรงสร้างพระบรมมหาราชวังขึ้นใหม่
ทางด้านทิศเหนือ
ใกล้บริเวณวัดโพธาราม
ครั้นสร้างพระบรมมหาราชวังเสร็จแล้ว
จึงโปรดฯ
ให้สถาปนาวัดโพธารามเป็นการใหญ่
เพื่อให้สม
กับเป็นพระอารามใกล้พระบรมมหาราชวัง
โดยเริ่มสถาปนา
ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๓๒ - ๒๓๔๔
รวมเวลาก่อสร้าง ๑๒ ปี
ทั้งได้พระราชทานนามใหม่ว่า วัดพระเชตุพน
วิมลมังคลาวาส
ภายหลังรัชการที่ ๔
ทรงเปลี่ยนสร้อยนามจากวิมลมังคลาวาส
เป็นวิมลมังคลาราม
ครั้นล่วงมาถึงสมัยรัชกาลที่
๓ ทรงพิจารณาเห็นว่า
บรรดาเสนาสนะในวัดพระเชตุพน
ซึ่งองค์ปฐมบรมกษัตริย์
ทรงสถาปนาไว้เมื่อ ๓๐
กว่าปีมาแล้วนั้น
ล้วนชำรุดทรุดโทรม
ลงจึงทรงมีพระราชดำริให้ปฏิสังขรณ์
วัดพระเชตุพน
เป็นการใหญ่
การปฏิสังขรณ์ วัดพระเชตุพน
ในสมัยรัชกาลที่ ๓ นี้ ได้มี
การขยายพื้นที่
ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
สิ่งก่อสร้างให้มีความ
ยิ่งใหญ่วิจิตรตระการตาขึ้น
โดยได้จัดผังก่อสร้างแยกเป็น
สองส่วน
คือเขตพุทธาวาสและสังฆาวาส
โดยเริ่มปฏิสังขรณ์
ในปีมะโรง พ.ศ. ๒๓๗๕
ล่วงเข้าปีที่ ๓
เริ่มขยายพระอุโบสถหลังเก่าให้กว้างขึ้น
การปฏิสังขรณ์ครั้งนี้
แล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. ๒๓๙๑
รวม
เวลาปฏิสังขรณ์นานถึง ๑๖ ปี
ในการปฎิสังขรณ์วัดพระเชตุพนนั้น
รัชกาลที่ ๓ ทรงมี
พระราชประสงค์
จะใช้เป็นแหล่งศูนย์รวมความรู้ด้าน
วิชาชีพ
สำหรับชาวบ้านทั่วไป
จึงโปรดเกล้าฯให้จารึกสรรพวิชาการ
ต่าง ๆ
ลงแผ่นศิลาติดไว้ตามผนัง
เสาอาคาร สิ่งก่อสร้าง
ภายในวัด รวม ๘ หมวดวิชา
เช่นหมวดภาษา หมวดแพทย์
อนามัย เป็นต้น
การปฎิสังขรณ์วัดพระเชตุพนนั้น
มีการปฏิสังขรณ์
ต่อเนื่องมาทุกราชการ
และนับเป็นภาระหนักของอธิบดีสงฆ์
วัดพระเชตุพน
ในการบูรณปฎิสังขรณ์
เนื่องจากสิ่งก่อสร้าง
มีจำนวนมาก
ซึ่งล้วนแต่วิจิตรและใหญ่โต
เกินกำลังที่สามัญ
ชนจะรับภาระได้
ซึ่งแม่แต่ราชการเอง
ก็ไม่สามารถจัดสรร
งบประมาณให้ได้เพียงพอ
|
จนกระทั่งตกมาถึงสมัยรัชกาลปัจจุบัน
ความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
จึงทรงมีพระราชดำริ
ในการทอดผ้าป่าสามัคคี
เพื่อรวบรวมจตุปัจจัยเป็นกองทุน
ไว้บูรณะปฏิ
สังขรณ์วัดพระเชตุพน
ในการนี้ทรงเสด็จพระราชดำเนินถวาย
ผ้าป่าด้วยพระองค์เอง
ซึ่งมีพุทธศาสนิกชน
ทั่วประเทศ
ร่วมถวายผ้าป่าโดยเสด็จพระราชกุศล
เป็นจำเงินถึง ๔๐ ล้านบาทเศษ
และได้นำไป
จัดตั้ง
เป็นกองทุนมูลนิธิพระพุทธยอดฟ้า
นอกจากนี้
ทางวัดยังเปิดให้นักทัศนาจร
เข้าชม โดยการจำหน่ายบัตร
ค่าธรรมเนียมเข้า
ชม
ซึ่งยกเว้นสำหรับคนไทยไม่ต้องเสียค่า
ธรรมเนียม
รายได้ส่วนนี้นับเป็นรายได้หลัก
ที่ทางวัดใช้เป็นทุน
ในการดูแลรักษาและปฏิ
สังขรณ์วัด
ตลอดถึงก่อสร้างสิ่งอำนวยความ
สะดวกอื่น ๆ แก่ผู้มาเข้าชม
|
|