เรื่อง..ราวการดื่มไวน์ของแต่คนเกิดขึ้นแตกต่างกัน บ้างก็เนื่องจากวัฒนธรรมของแต่ละเชื้อชาติ อาหารการกิน ภูมิอากาศ และบ้างก็จากการเข้าสังคม หรืออาจจะมาจากความชอบของคนๆนั้น แต่อย่างไรก็ตามหากดื่มไวน์โดยไม่ศึกษาคุณลักษณะของไวน์แต่ละชนิดที่ดื่ม ก็เหมือนการดื่ม เครื่องดื่มอื่นๆเช่นน้ำอัดลม หรือน้ำผลไม้ทั่วๆไป ไม่มีอะไรพิเศษ แต่เนื่องจากไวน์เป็นสิ่งพิเศษที่ต้องพิถีพิถันในการดื่ม มีเรื่องราวที่ต้องเรียนรู้มากมาย ทั้งแหล่งและปีผลิต พันธุ์องุ่น การเก็บรักษา รส กลิ่น ฯลฯ การเรียนรู้จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ในระดับหนึ่ง โดยจะจากหนังสือ จากผู้รู้ จากการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคนที่รักการดื่มไวน์ด้วยกัน ซึ่งคนรักไวน์จะมีความสุขจากการที่ได้พูดคุยเรื่องเกี่ยวกับไวน์กัน

จาก..ประสบการณ์ที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งของไวน์ชั้นเยี่ยม ที่ผู้จัดทำมีโอกาสดื่ม ก็จาก Wine Cellar ของนักสะสมไวน์รุ่นก่อนๆ ที่พูดคุยกันแล้วได้อรรถรสของคุณค่าของไวน์ที่ดี และอยากให้ได้เรียนรู้จากของจริง โดยปรกติแล้วนักสะสมจะหวงไวน์ที่สะสมไว้มาก ดังนั้นไวน์จึงเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อสัมพันธ์ของคนรักไวน์โดยไม่คำนึงถึงวัยวุฒิ คุณวุฒิและชาติวุฒิ หรือที่เราเรียกกันว่า พูดจาภาษาไวน์

คน..ที่ชื่นชอบการดื่มไวน์ จะแบ่งออกเป็น 4 จำพวก ตามชนิดและพัฒนาการการดื่มไวน์ในช่วงเวลานั้นๆ พวกแรก......เริ่มดื่มไวน์ใหม่ๆ ดื่มเพื่ออารมณ์โรแมนติค จะชอบดื่มแชมเปญ ไวน์ขาว ไวน์แดงโดยไม่เฉพาะเจาะจง พวกที่สอง...จะชมชอบไวน์แดงจากฝรั่งเศส โดยเฉพาะไวน์ในตระกูลเบอร์โดห์ ซึ่งนุ่มนวล กลมกล่อม เหมือนภาพวาดแนวคลาสสิค พวกที่สาม...เป็นพวกที่มีพัฒนาการมาจากการดื่มไวน์ในตระกูลเบอร์โดห์ แล้วต้องการสิ่งที่ท้าทายมากกว่า จะหันมาดื่มไวน์แดงจากแคว้นเบอร์กันดีซึ่งมีความละเอียดอ่อน ซาบซ่า ซึ่งถ้าเป็นชั้นไวน์ดีแล้วจะมีราคาแพงกว่า

พวกสุดท้าย....เป็นพวกที่มีพัฒนาการมาจากการดื่มไวน์สามพวกแรก แล้วต้องการสิ่งที่แตกต่างและความละเอียดอ่อนในรสชาติมากกว่า จะหันมาศึกษาและดื่มไวน์ขาว ซึ่งไวน์ขาวที่รสดีพอดื่มได้จะมีราคาเริ่มต้นที่แพงมากกว่า

ตอน..เริ่มทานไวน์ใหม่ๆเมื่อสิบกว่าปีก่อน หลังจากพยายามศึกษาเรื่องไวน์จากแหล่งต่างๆ อ่านหนังสือไวน์หมดไปหลายสิบเล่ม ก็ยังไม่ถ่องแท้เรื่องไวน์สักที ก็เลยรวบรวมสมัครพรรคพวก เชิญนักชิมไวน์มืออาชีพ(Wine Consultant)มาสาธิตให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียที Wine Consultant รับหน้าที่จัดทุกอย่างให้ครบเครื่อง ทั้งสถานที่ อาหารคาวหวานทั้งชุด ชนิดของไวน์ที่เหมาะกับอาหารแต่ละชนิด ไวน์ที่จะใช้ปรุงอาหาร ไวน์ทั้งหมดถูกลำเลียงไปที่ร้านอาหาร ก่อนหน้าวันงานหนึ่งวัน ทั้งนี้เพื่อให้ไวน์ชั้นดีได้มีเวลาอยู่นิ่งๆ อย่างน้อยประมาณ 24 ชั่วโมง หลังจากคอยมาครึ่งค่อนวัน เราก็มาพร้อมกันที่ห้องโถงรับแขกของร้านอาหาร เริ่มแนะนำ Wine Consultant ที่มีผลงานให้คำปรึกษาเรื่องไวน์ กับ อาหาร ให้แก่ร้านอาหารมีชื่อ สายการบินต่างๆ งานเลี้ยงที่สำคัญของสถานทูตต่างๆ เขียนบทความ เรื่องไวน์กับอาหารในนิตยสารฯลฯ

หลัง..จากแนะนำวิธีและสาธิตการดื่มไวน์ที่ถูกต้องแล้ว เราก็เริ่มเรียกน้ำย่อยด้วยChampagne Cuvee Dom Perignon ที่อุณหภูมิ6-8 องศาเซลเซียส ซึ่งการดื่มจะให้น้ำแชมเปญไหลไปรอบลิ้นแล้วกลืนลงคอ แกล้มด้วยออเดิร์ฟ หลายอย่าง และเมื่อเราพร้อมก็เริ่มแก้วแรกบนโต็ะอาหาร ด้วยไวน์ขาว Chablis(Grand Crus) ที่อุณหภูมิ 8-12 องศาเซสเซียส แกว่งแก้วช้าๆ แล้วจิบ ทานกับสลัดอาหารทะเลจานแรกและลอบสเตอร์ซุบ ต่อด้วยไวน์ขาวชนิดหวาน โซแตร์น (Sauternes) ที่อุณหภูมิ 6-8 องศาเซลเซียส ทานกับตับห่านสดทอด โฟ-กราส์(Foie-gras) ความหวานของไวน์ที่บ่มมาไม่ต่ำกว่าเจ็ดปีทำให้รสชาติของตับห่านนุ่มหวานแทบจะละลายไหลลงคอเลยทีเดียว จากนั้นเราก็ล้างปากด้วยเชอเบทรสมะนาว แล้วต่อด้วยChateau-Mouton Rothschild 1982 ไวน์แดงเบอร์โดห์รสเลิศที่มีกลิ่นบูเก้ที่ไม่เหมือนใคร ดื่มในห้องที่ปรับอุณหภูมิอยู่ที่ 15-18 องสาเซลเซียส จับที่ปลายแก้วไม่ให้ความร้อนจากมือทำให้อุณหภูมิของไวน์เปลี่ยนไป แกว่งแก้ววนไปช้าๆ สังเกตุดูสีแดงเข้ม สูดกลิ่นบูเก้จากขอบแก้ว แล้วจิบโดยให้น้ำไวน์ไหลผ่านทั่วทั้งลิ้นแล้วค่อยกลืน รับประทานกับ Main Couse คือ Roast Lamb อบที่ Medium จะทำให้ไวน์และเนื้อมีรสหอมหวานมากขึ้น หลังจากอิ่มหนำแล้ว ก็ตบท้ายด้วย Port Wine เพื่อช่วยย่อยอาหาร แล้วก็ชาหรือกาแฟ และของหวาน ประสบการณ์ที่ได้รับเทียบกับค่าใช้จ่ายที่ช่วยกันเฉลี่ยจ่ายแล้ว นับว่าคุ้มค่าทีเดียว