|
|
|
การรบกวนของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า
Electromagnatic Interference (EMI)
บทคัดย่อ
- อุปกรณ์ทางด้านไฟฟ้าและอุปกรณ์ทางด้านอิเล็กโทรนิคส์ในปัจจุบันได้มีการใช้กันอย่างกว้างขวาง
มีทั้งแบบที่ใช้ความ
ถี่ส่งกระจายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกไปในอากาศที่ย่านความถี่ต่างๆ
และการแพร่กระจายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปตามตัว
นำซึ่งในประเทศไทยการส่งกระจายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกไปยังไม่มีการเข้มงวด
ซึ่งในบางครั้งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าก็ไป
รบกวนระบบอื่นๆ
ที่คลื่นได้กระจายออกไป
รวมทั้งผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กโทรนิคส์ต่างๆ
ที่ระบบการทำงานไม่ได้ใช้
หลักการของการกระจายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกไปในอากาศแต่ตัวผลิตภัณฑ์เหล่านี้ก็เป็นแหล่งกำเนิดและกระจ่าย
สนามแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาโดยไม่มีการควบคุม
ในบทความนี้ก็เป็นการอธิบายต้นเหตุที่ทำให้เกิดการรบกวนของ
สนามแม่เหล็กไฟฟ้า
(Electromagnatic Interference)
ในอุปกรณ์ต่างๆ
ทั้งที่เป็นการกะจ่ายออกไปจากตัวอุปกรณ์
และรับเข้าสู้ตัวอุปกรณ์
รวมทั้งข้อกำหนดระเบียบข้อบังคับต่างๆ
เกี่ยวกับการรบกวนของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า
(Electromagnatic Interference)
ที่เป็นข้อกำหนดที่ได้มีการใช้อยู่ใน
อเมริกา
และในประเทศแถบยุโรป
คำนำ
- การทดสอบ
EMI
ได้เกิดขึ้นจากการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ
การวัด EMI แบ่งเป็น 2
หัวข้อหลักดังนี้
- 1.
การวัดการเกิด EMI
ให้อยู่ภายในข้อกำหนด
(compliance)
2. การวัดการเกิด EMI
จากสิ่งต่างๆ (diagonostic)
-
- ในส่วนของ
compliance
จะเป็นมาตรฐานต่างๆ
ที่เป็นข้อกำหนดในเป็นการวัดการเกิด
EMI
ที่ใช้อยู่ในอเมริกาและยุโรป
การวัดการแพร่กระจาย
(emission)
ของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นการวัดให้เห็นบน
spectrum analyzer ที่ narrowband
หรือ broadband signal
ทั้งการทดสอบ compliance
และ diagonostic
-
- ในการวัด
diagonostic
เป็นส่วนที่สำคัญเพราะยอมให้
Engineer
ทั้งหลายออกแบบผลิตภัณฑ์
ให้อยู่ในขอบเขตจำกัดแต่แรกก่อนที่จะเกิด
EMI (EMI trouble spots early)
ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
เมื่อ EMI ถูกจำกัด (Fixes)
ก็เป็นการง่ายและไม่สินเปลืองต่อการปฎิบัติ
ทั้งยังไม่ต้องเสียเวลาและเงินตราเพื่อคอยแก้ปํญหาที่เกิดจาก
EMI ในแต่ละที่แต่ละเหตุการณ์อีกด้วย
EMI
- รายละเอียดของ
Electromagnatic Interference (EMI,
เรียกกันบ่อยๆ ว่า
Radio Frequency Interference, RFI)
เป็นสัญญานที่ไม่ต้องการ
ซึ่งเป็นผลกระทบต่อการทำงานของอุปกรณ์หรือระบบ
ในอุปกรณ์อิเล็กโทรนิคส์เกือบทุกชนิดจะ
generate
และแพร่กระจ่าย EMI
ออกมา
การแพร่กระจายสามารถทำได้โดยการกระจายคลื่น
(Radiated Emission)
หรือแพร่กระจ่ายไปตามตัวนำของ
cable (Conducted Emission ) ดังเช่น
power cord
และเช่นเดียวกันอุปกรณ์
อิเล็กโทรนิคส์ก็สามารถรับ
EMI ที่ generate
จากอุปกรณ์อื่นด้วยเช่นกัน
- สำหรับสถานะของการเกิด
EMI มีอยู่ 3
ลักษณะที่จะพูดถึงประกอบด้วย
1. Source
หรือแหล่งการกระจายของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
2. Media
สื่อกลางของการกระจาย
โดยการส่งกระจายคลื่นออกไป
3. Receptor
เป็นผลกระทบต่อการรับสัญญาน
- ในทั้ง
3
ลักษณะของการเกิด
EMI
ถ้าลักษณะหนึ่งลักษณะใดถูกจำกัด
Interference
ก็จะไม่เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นการ
เกิดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่พอดีเหมาะสมสอดคล้องต่อการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ
ที่เรียกว่า Electromagnetic
Compatibility (EMC)
สามารถทำให้ประสบผลได้โดยการลดความแรงของการแพร่กระจายที่แหล่งจ่ายกำลัง
เป็น
การขัดจังหวะในส่วนของการเดินไปของคลื่น
(propagation path)
หรือทำให้ยากต่อการที่ตัวรับจะรับเอามาได้
โดยทำ
การป้องกันต่อการแพร่กระจาย
(emission)
กฎทางการค้าให้ความสำคัญต่อการควบคุมที่แหล่งจ่าย
(source) ขณะที่
ในทางทหารต้องการข้อกำหนดที่ประกอบด้วยข้อกำหนดสำหรับลดความไวต่อการแพร่กระจายที่ตัวรับอีกด้วยหรือที่
เรียกว่า Electromagnetic
Susceptibility (EMS) หรือที่รู้จักกันว่า Immunity หรืออุปกรณ์ที่ตัวรับต้องสามารถทนต่อ
สนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่เข้ามารบกวน
(EMI) ตามที่ได้กำหนดอีกด้วย
Sources
of EMI
- ตัวกำเนิด
noise
ที่เกิดจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้ามีมากมาย
มีทั้งที่เกิดจากธรรมชาติ
(natural)
และเกิดจากสิ่งที่มนุษย์
สร้างขึ้น (man-made origins)ทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนาทำให้เกิดขึ้น
- Natural
noise
- แหล่งกำเนิด
noise
จากธรรมชาติที่มีความถี่ต่ำกว่า
10MHz
เกิดจากอิทธิพลของ
noise
จากชั้นบรรยากาศที่เกิดจาก
พายุฝนฟ้าร้อง (electrical
storms)
ส่วนความถี่ที่สูงกว่า
10MHz ก็เกิดจาก noise
จากจักรวาล (cosmic noise)
และ
การแพร่กระจายจากดวงอาทิตย์
(solar radiation)
- Man-made
noise
- noise
ที่เกิดจากสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นแบ่งออกเป็น
แหล่งกำเนิดที่มนุษย์เจตนาทำให้เกิดขึ้น
(intentional) และแหล่ง
กำเนิดที่มนุษย์ไม่เจตนาทำให้เกิดขึ้น
(unintentional)
- แหล่งกำเนิดที่มนุษย์เจตนาทำขึ้น
(intentional) ได้แก่
การกระจายของคลื่นวิทยุ
AM, FM, TV, วิทยุตำรวจ
และเครื่อง
ส่งกระจายเสียงอื่นๆ
เป็นต้นว่า จาก radar
และเครื่องส่งจากการเดินเรือ
(navigation transmitters),
วิทยุติดตามตัว
(pagers),
เครื่องมือจากการแพทย์
(diathermy machines),
วิทยุเคลื่อนที่ (mobile
radios) เป็นต้น
- แหล่งกำเนิดที่มนุษย์ไม่เจตนาทำให้เกิดขึ้น
(unintentional) ได้แก่
อุปกรณ์ computer (computing devices),
relays, switches, moter,
เครื่องมือที่เป็นเครื่องจักร
(tools),
เครื่องใช้ประจำวัน
(appliances), สายไฟฟ้า (power
line), หลอดไฟ fluorescent,
เครื่องเชื่อมโลหะ,
การ start เครื่องยนต์
(auto ignition), cable TV
และอื่นๆ อีกมาก
มาย
- สาเหตุต่างๆ
ที่เป็นแหล่งกำเนิดทั้งที่เกิดจากมนุษย์เจตนาทำขึ้นและมนุษย์ไม่เจตนาทำให้เกิดขึ้น
การเกิด EMI โดย
เฉพาะในพื้นที่ในเมือง
ระดับของการแพร่กระจายออกไปเป็นสิ่งที่สำคัญ
ตัวรับที่มีความไวต่อ
EMI
ประกอบด้วยเครื่อง
รับวิทยุ, TV, Radar
และอุปกรณ์การเดินเรือ,
อุปกรณ์คำนวณของปืนใหญ่,
ตัวมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน
ผลกระทบของ
interference
บนตัวรับขึ้นอยู่กับความเข้มของแหล่งกำเนิด
(strength of source) ,ตัวกลางของการกระจายคลื่น,
ระยะทางจากแหล่งกำเนิด,
การ coupling
ของอุปกรณ์ของเครื่อง
และความไวของตัวรับ
- การ coupling
ของอุปกรณ์ภายในเครื่องระหว่างแหล่งกำเนิด
และตัวรับเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนและยุ่งยาก
อย่างไรก็ตาม,
โดยส่วนของอุปกรณ์แบ่งออกง่ายๆ
เป็น 3 ส่วนคือ antenna to
antenna, antenna to wire และ wire to wire
ซึ่งการ
เกิดขึ้นทั้ง 3
ลักษณะเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการเกิด
interference
อีกอันหนึ่งคือการ
coupling จาก Box to Box ปกติ
จะไม่สำคัญมากนักเว้นแต่ที่
Low frequency
ก็จะมีสนามแม่เหล็กเข้ามาเกี่ยวข้อง
- การแพร่กระจายไปตามตัวนำ
(Conducted emission) จะเป็นการ
coupled โดยทาง power
mains,common grounds,
หรือติดต่อกันระหว่าง
cable (interconnecting cables) EMI
อาจแพร่กระจายไปตาม
Power lines และ Cables
หรือตลอดช่องว่างของการกระจายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
การแพร่กระจ่ายไปตามตัวนำมีทั้ง
แบบ differential-mode และ common-mode
currents
หรือทั้งสองแบบ
กระแสของแบบ differential-mode
จะ
เท่ากับ amplitude
และทิศทางของ hot
และ neutral line
จะตรงข้ามกัน
แหล่งกำเนิดการแพร่กระจายของตัวนำแบบ
differential-mode
ประกอบด้วยผู้ใช้อื่นๆ
บน Power line เดียวกัน
ตัวอย่างเช่น
การใช้งานของเครื่องมือต่างๆ,
moters, computers
ส่วนกระแสของแบบ
common-mode กระแสเป็นการประมาณเท่ากับ
amplitude และมีทิศ
ทางเดียวกันบน hot
และ neutral line
การแพร่กระจายแบบ
common-mode
เป็นผลมาจากการกระจายของแหล่ง
กำเนิดโดยการ coupled
ตลอดแนวของ Power lines
หรือการ coupled
สัญญานจากอุปกรณ์หรือ
chassis ในรูป
ของ stray circuit capacitance
- การแพร่กระจายแบบส่งกระจายคลื่น
(Radiated emission) เป็นการกำเนิดจากแหล่งจ่ายสนามไฟฟ้าที่
high
impedance ดังเช่น Mono Poles
และแหล่งกำเนิดสนามแม่เหล็กที่
Low impedance ดังเช่น Transformers
ความ
เข้มของสนามในอากาศขึ้นอยู่กับระยะทางจาก
Source, ความถี่
และธรรมชาติของแหล่งกำเนิด
- การทำการวัดและวิเคราะห์
EMI
เราแบ่งลักษณะของการวัด
EMI (Classification) ออกเป็น 1.Broadband
emission และ 2.Narrowband emission , Broadband
emission
หมายถึง bandwidth
ของสัญญานรบกวนมากกว่า
bandwidth
ของสัญญานอ้างอิง
และ Pulse repetition frequency (PRF)
ของสัญญานรบกวนน้อยกว่า
bandwidth
ของสัญญานอ้างอิง ,Narrowband
emisson หมายถึง bandwidth
ของสัญญานรบกวนน้อยกว่า
bandwidth
ของสัญญานอ้างอิง
และ Pulse repetition frequency (PRF)
ของสัญญานรบกวนมากกว่า
bandwidth
ของสัญญานอ้างอิง
- สาเหตุของ
Broadband emission
เป็นลักษณะของ Impulses
ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทางไฟฟ้า
หรือสถานะของการ
Charges
ทางแม่เหล็กที่เกิดจากการ
Switching
กระบวนการเหล่านี้อาจเป็นผลมาจาก
Low-frequency, repetitive impulsesผลของพลังงานก็จะกระจายไปตาม
Spectral lines ต่างๆ โดย
frequency นั้นน้อยกว่า
bandwidth ของตัวรับ
- สาเหตุของ
Narrowband emission เป็นชนิดที่เกิดจากความถี่สูง
frequency มากกว่า bandwidth
ของตัวรับ
อุปกรณ์และเครื่องมือในการวัด
EMI
- ขณะนี้เรามีความเข้าใจพื้นฐานของแหล่งกำเนิดสัญญานรบกวน
(Source) , การ Coupling
จากอุปกรณ์ของเครื่อง,
การส่งกระจายสัญญานรบกวน
(Propagation), และ Classification
ของการแพร่กระจาย
สำหรับในการทำการวัด
EMI ,การพิจารณาชนิดของการทดสอบ
EMI ต้องมี factor
ที่แน่นอนที่จะพิจารณาขอบเขตของการวัด
ตัวอย่างประกอบด้วย
ห้องShielded,
ที่เปิดโล่ง (Open site)
และห้อง Anechoic chamber
อุปกรณ์ Transducer หรืออุปกรณ์
Pick-Up
ก็มีความจำเป็นดังเช่น
Antenna, Current Probe หรือ LISN (Line
Impedance Stabilization Network), EUT (Equipment
Under Test),ระยะทางที่เครื่องมือวัดจะสามารถ
detect
และแสดงระดับของ
interference
เครื่องมือวัดจะต้องมีความไวเพียงพอต่อการอ่านระดับสัญญานต่ำๆ
ได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน
ซึ่งสามารถจะครอบคลุมสัญญานที่ต้องการทุก
factor
และสามารถทบทวนผลการวัดนั้นเปรียบเทียบกับผลการวัดที่
Site อื่นๆ ด้วย
ลักษณะของสถานที่ที่ใช้ในการทดสอบ
EMI
- การทดสอบ
Radiated Emission
ขึ้นอยู่กับ
ชนิดของสถานที่ที่ทำการทดสอบ
แบ่งออกให้เห็นง่ายๆ
มี 3 ชนิดดังนี้
- 1.
สถานที่ที่เป็นที่เปิดโล่ง
(Open-field Sites) ต้องเป็นพื้นที่ที่ปลอดจากคลื่นความถี่อื่นๆ
ที่เข้ามาอิทธิพลต่อผลของการวัด
Radiated Emission
ของอุปกรณ์ที่ทำการวัด
(EUT) ตัวอย่างเช่น
พื้นที่ว่างในหุบเขาที่คลื่นความถี่อื่นๆ
ไม่อาจเข้าถึงได้เป็นที่นิยมอย่างมากในการทดสอบทางการค้าในสมัยก่อนๆ
เนื่องจากใช้การลงทุนต่ำ
- 2.
สถานที่ที่เป็นห้อง
Shielded ปิด (Shield enclosures) ใช้กันมากในการทดสอบทางการทหาร
- 3.
สถานที่ที่เป็นห้อง
Anechoic (Anechoic room) แม้ว่าราคาจะแพง
แต่เป็นแบบที่เป็นมาตรฐานและสะดวก
และใช้ได้ทั้งการทดสอบทางการค้าและการทหาร
และเป็นการลดปัญหาบางอย่างที่เกิดขึ้นกับการทดสอบในสถานที่แบบที่
1
และสถานที่แบบที่
2
กฎ,
ระเบียบและข้อบังคับของ
EMC
- กฎและข้อบังคับต่างๆ
มีการพัฒนาเพื่อจำกัดการแพร่กระจายสัญญานรบกวน
(EMI) จากอุปกรณ์
และควบคุมระดับความไว
(EMS) ต่อสัญญานรบกวน
ประเทศต่างๆ
ได้พัฒนากฎของตัวเอง
และบังคับให้กระทำตามระเบียบข้อบังคับที่ทำขึ้นภายในประเทศตนเอง
ตัวอย่างเช่น
ระเบียบข้อบังคับของ
FCC ใช้ภายในประเทศ
USA, FTZ/VDE ใช้ในประเทศ
Germany และ DOC
ใช้ในประเทศ Canada
และข้อกำหนดทั้งหมดนั้นได้มีการพัฒนาออกไปอยู่เสมอเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับสนาม
EMC
- ในทางทหาร
EMC เป็นข้อกำหนดของ
MIL-STD 461A และ B และ MIL-STD 462
เป็นมาตรฐานที่ออกโดยฝ่ายป้องกัน(Defense)
ทางทหารของประเทศอเมริกา
กฎข้อบังคับนี้มีสาระที่แตกต่างจากกฎข้อบังคับทางการค้าเพราะเป็นความแตกต่างกันทางการกระทำ
ในทางทหารการทำงานของระบบจะสอดคล้องกันภายใต้เงื่อนไขความยุ่งยากของผู้เชี่ยวชาญทางสงคราม
สำหรับในทางการค้าเป็นความพยายามป้องกันการรบกวนของ
TV, Radio
และการบริการทางการสื่อสาร
- สถาบันที่ออกกฎข้อบังคับทางการค้าประกอบด้วย
FCC และ VDE
โดยอยู่ภายใต้ CISPR (International
Special Committee on Radio Interference)
เพื่อจำกัดการแพร่กระจายสัญญานรบกวน
และปฏิบัติการทดสอบ
CISPR ตั้งขึ้นในปี 1934
โดยอนุกรรมการ (Subcommittee)
ของ IEC (International Electrotechnical
Commission) ซึ่งเป็นสถาบันที่เป็นตัวกำหนดระดับของสัญญานรบกวน
(EMI)
- ระเบียบข้อบังคับ
EMC
ครอบคลุมย่านของความถี่ที่เกี่ยวข้องจาก
DC
ไปจนถึงย่านความถี่มากกว่า
40GHz ตั้งแต่อุปกรณ์Computer
ไปจนถึงอุปกรณ์
Microwave ตัวอย่างเช่น
ระเบียบข้อบังคับของ
FCC และ VDE
สำหรับอุปกรณ์ Computer,ระเบียบข้อบังคับทางทหาร
MIL-STD Conducted
สำหรับการแพร่กระจายไปตามตัวนำ
และ MIL-STD 461/462
สำหรับการแพร่กระจายโดยการ
Radiated
- ข้อจำกัดของอุปกรณ์
Computer และอุปกรณ์
Electronic อื่นๆ
ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้จะผลิตและใช้สัญญาน
Timing หรือ Pulse
ที่อัตราเกินกว่า
10kHz
และใช้วิธีการทาง
Digital
อุปกรณ์เหล่านี้ต้องจัดจำพวกให้สอดคล้องต่อการใช้งาน
อุปกรณ์ใน
Class A
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในทางการค้า,โรงงานหรือแวดวงธุรกิจ
อุปกรณ์ใน
Class B
เป็นอุปกรณ์มือถือทั่วไป
และเป็นตลาดในแวดวงที่อยู่อาศัย
- กฎข้อบังคับของ
FCC
เกี่ยวกับการบริการวิทยุสื่อสาร
ถ้ามี Interference
เกิดขึ้นเกินข้อกำหนด
เป็นเหตุให้เกิดอันตรายจากInterference
อาจกำหนดให้หยุดให้บริการถ้ามีผลต่อสาธารณะ
,
ระเบียบข้อบังคับของ
EMC
เพื่อควบคุมระดับของ
EMIให้อยู่ในข้อกำหนด
เช่น มาตรฐาน FCC
ใช้ใน USA ,มาตรฐานFTZ/VDE
ใช้ในประเทศ Germany ,มาตรฐาน
DOC ใช้ในประเทศ Cannda
มาตรฐาน EMI ทางทหาร
เช่น MIL-STD 461A และ B และ
MIL-STD 462 ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้ในฝ่ายป้องกันทางทหารของสหรัฐอเมริกา
- FCC
มีการแยกเป็นข้อจำกัดทางด้าน
Conducted Emission และ Radiated Emission
สำหรับอุปกรณ์ใน
Class A และ ClassB
ข้อกำหนดใน Class B
จะเข้มงวดอย่างมากเพราะบริเวณที่อยู่อาศัยของผู้ใช้มีความสามารถน้อยต่อการป้องกันอันตรายต่อสัญญาน
Interference
- ในประเทศ
Germany ข้อกำหนดของ EMC
เป็นสิ่งที่เข้มงวดมาก
และเป็นข้อกำหนดที่ดีที่สุดในยุโรป
และการรับรองการออกแบบผลิตภัณฑ์สำหรับมาตรฐานในประเทศ
Germany
ซึ่งเปรียบเสมือนกับข้อกำหนดในประเทศแถบยุโรป
นั้นคือข้อกำหนดที่ออกโดยสถาบัน
FTZ /VDE
สรุป
- บทความทั้งหมดนั้นได้มีการอธิบายถึงสาเหตุของ
EMI
ที่เกิดจากสิ่งต่างๆ
ทั้งที่เกิดจากธรรมชาติ
และเกิดจากสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น
ทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนาทำให้เกิดขึ้น
วิธีการแพร่กระจาย
EMI
ออกจากตัวอุปกรณ์
และรับ EMI เข้าสู้ตัวอุปกรณ์
ลักษณะของการแพร่กระจายทั้ง
Broadband และ Narrowband
การแพร่กระจายไปตามตัวนำ
(Conducted Emission)
การแพร่กระจายโดยการส่งกระจายคลื่น
(Radiated Emission)
ผลกระทบในเรื่องนี้สำหรับเมืองไทย
ก็เริ่มมีการตื่นตัวขึ้นบ้างในระยะหลังๆ
โดยเฉพาะในแวดวงการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทาง
Electronic และ Computer
เพื่อการส่งออก
โดยเฉพาะตลาดยุโรปและอเมริกา
จะเข้มงวดในเรื่อง
EMC มากเป็นพิเศษ
ดังนั้นในการออกแบบลายแผ่นวงจรก็ดี
การจัดวางอุปกรณ์ก็ดี
ผู้ออกแบบต้องคำนึงถึงเรื่อง
EMI และ EMS เป็นอย่างมากจึงจะสามารถฝ่ากำแพงการกีดกันสินค้าของตลาดยุโรปและอเมริกาไปได้
สำหรับบทความนี้จะอธิบายอย่างกว้างๆ
เพื่อง่ายต่อการทำความเข้าใจ
สำหรับเป็นแนวทางให้ผู้สนใจได้ไปศึกษาในรายละเอียดต่อไป
เอกสารอ้างอิง
|