แนะการฝึกอ่าน และแปลประโยคภาษาอังกฤษ แบบพื้นฐานเด็กๆ
	แนะแนวการฝึกฝน การอ่าน และแปลประโยคภาษาอังกฤษ แบบพื้นฐานเด็กๆ เพื่อประโยนช์ในการ เข้าใจการนำศัพท์แต่และคำไปใช้สร้างประโยค      เริ่มแรกก็แนะนำว่าหาหนังสือภาษาอังกฤษจากทั่วๆไปได้เลย หรือหนังสือเรียนทั่วไป ก็ได้ และใช้เทคนิคการเทียบเคียงอักษรเสียงภาษาไทย กับภาษาอังกฤษ เพื่อการสะกด คำศัพท์ ประกอบเข้าไปในการฝึกฝนการอ่าน แต่ถ้าจะให้แนะนำจริงๆ ก็ให้เลือกหนังสือที่มีการแปลประโยคมาด้วยจะดี จะได้เป็นข้ออ้างอิงในการแปลความหมาย เพราะอะไร สังเกตุไหมว่า ที่หน้า ฝึกการอ่านจากคำศัพท์ ภาษาอังกฤษ ทำไมถึงมี บรรทัดว่า *แปลตรงตัว* เพราะ แนวคิดของผม ก่อนที่จะเข้าใจความหมายของประโยค เราต้องเข้าใจความหมายของคำภาษาอังกฤษ ของแต่ละคำที่นำมาสร้างประโยค แบบง่ายๆก่อน ว่าเขามักจะใช้อย่างไร เพื่อเป็นประโยชน์ในการสร้างการประโยค ก่อนจะที่ไปศึกษาหลักไวยากรณ์ จริงๆว่าจะต้องใช้แบบไหน เพราะการจะเกิดประโยคขึ้นมาได้นั้น เกิดจากการนำคำแต่ละคำมาต่อๆร่วมกันใ้ห้เป็นประโยค เพื่อจะสื่อความหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง เหมือนตัวเราเป็นเด็กเล็กๆ ที่เริ่มหัดพูด เราจำเป็นที่จะต้องไปเรียนหลักไวยากรณ์ก่อนไหม ก่อนที่จะหัดพูด ในความเป็นจริง เราแค่รู้ความหมายของแต่ละคำ และฝึกพูดประโยคตามที่เค้าพูด เค้าสอน และที่เค้ามักใช้ และแค่รู้ว่าพูดแบบนี้ มันสื่อความหมายอะไรก็เท่า ยกตัวอย่างคำไทย เช่นคำว่า "ขัน" ที่เราต้องรู้ความหมายของมันว่าหมายถึงอะไรบ้าง " การหัวเราะหรือตลก, เสียงร้องของไก่, การคลาย หรือผ่อน, ภาชนะสำหรับตักหรือใส่น้ำ" เพื่อที่จะรู้ว่าคำนี้จะไปสร้างให้เป็นประโยคได้อย่างไร      "ฉันอดขันกับตัวเองไม่ได้ที่เผลอพูดภาษาอังกฤษอะไรเซ่อๆ ไป"      "ไก่ขันรับกันเสียงดัง แต่เช้าเลย"      "อย่าลืมขันน๊อตให้แน่นหน่อยนะ"      "ขอขันให้ฉันตักน้ำหน่อยได้ไหม" และในประโยคที่ผ่ามไป มีคำไหนที่คุณไม่รู้ความหมายบ้าง เช่นคำว่า ไ่ก่, น๊อต, ตัก, ตัวเอง และการที่ตัวเราแปลประโยคภาษาอังกฤษให้เข้าใจนั้น สำหรับผมแล้วจะไม่เห็นประโยคภาษาอังกฤษ เป็นโครงสร้างของภาษา แต่เห็นเ็ป็นสำนวนของภาษาแบบหนึ่ง เปรียบเทียบได้กับเราเป็นเ้ด็กเล็กๆ ที่จะหัดพูดสำนวนไทย (“ สำนวน ” หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียง,โวหาร,คดี ถ้อยคำที่ไม่ถูกไวยากรณ์ ซึ่งมีความหมายไม่ตรงถ้อยคำนัก แต่เป็นที่เข้าใจกันโดยแพร่หลาย กินใจผู้ฟัง และเป็นถ้อยคำที่กระทัดรัด มักเป็นถ้อยคำเชิงเปรียบเทียบ) อย่างเช่น " กินน้ำใต้ศอก, หนีเสือปะจระเข้, เข็นครกขึ้นภูเขา, ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่, แมวไม่อยู่หนูระเริง, " เราแค่นำคำแต่ละคำมาต่อให้เป็นสำนวน และนำไปประกอบในประโยคที่สื่อความหมายที่เราต้องการบอกออกไป      เช่นเราต้องการสือว่า"พูดไม่ออกเพราะมีเหตุการณ์บีบบังคับ" เราก็พูดว่า "ตอนนั้นฉันอยากจะพูดก็พูดไม่ได้ จะพูดไปก็เหมือนน้ำท่วมปาก" เราต้องแปลคำแต่ละคำให้เข้าใจเข้าใจตรงๆไปก่อน ก่อนที่จะไปเข้าใจว่าสำนวนนั้น มันมีความหมายสื่อถึงอะไร   เพื่อเป็นประโยนช์ในการที่จะเข้้าใจการนำคำศัพท์แต่ละคำ มาสร้างให้เป็นประโยค ที่ต้องการจะสื่อความที่ต้องการได้อย่างไร แบบเด็กๆหัดใช้สำนวน เพื่อจะสื่อความหมายที่ต้องการได้อย่างไร    มีท่านผู้รู้ทางด้านการสอนภาษาอังกฤษท่านหนึ่ง กล่าวไว้ว่าถ้าจะศึกษาภาษาอังกฤษ ไม่ควรแปลตรงตัวจากไทยเป็นอังกฤษ อังกฤษเป็นไทย และเมื่อมีคนถาม ด้วยประโยคภาษาไืทย คุณควรตอบด้วยประโยคถาษาไทย แต่ถ้าเป็นประโยคภาษาอังกฤษ ก็ควรตอบด้วยประโยคภาษาอังกฤษ เพราะการแปลแบบตรงตัวนั้นเป็นสารเหตุหลักที่ำทำให้เราใช้ภาษาผิด      ผมเห็นด้วยกับที่ว่า "เมื่อมีคนถาม ด้วยประโยคภาษาไืทย เราควรตอบด้วยประโยคภาษาไทย แต่ถ้าถามด้วยประโยคภาษาอังกฤษ ก็ควรตอบด้วยประโยคภาษาอังกฤษ " แต่สำหรับการแปลตรงตัวนั้น ผมกลับเห็นว่าควรจะแปลตรงตัว เพื่อจะได้รู้และเข้าใจแบบง่ายๆ ว่าประโยคภาษานั้นๆมักจะนำคำ แต่และคำมาสร้างให้เป็นประโยคได้อย่างไร และจะพอที่เดาความหมายของคำในประโยคที่มีศัพท์ที่เราไม่รู้ได้ เพราะผมเห็นประโยคภาษาเป็นสำนวน ของแต่ละภาษาที่จะใช้ไม่เหมือนกัน ถ้าเราไม่รู้ความหมายตรงตัวของคำ แล้วเราจะนำคำแต่ละคำมาสร้างประโยดได้อย่างไร อย่างเช่น "Can you speak Thai?" ที่ผมเห็นว่าสำนวนหนึ่งของภาษาอักฤษ ที่ความหมายว่า"คุณพูดภาษาไทยได้ไหม" ที่เป็นการนำคำแต่ละคำมาสร้างต่อกันให้เป็นประโยค คือแปลตรงตัว "สามารถ-คุณ-พูด-ภาษาไทย?" และเราก็ตอบเป็นสำนวนภาษาอังกฤษ ที่มีความหมายว่า"ได้้ซิ" ก็ตอบว่า "Yes, I can ! " คือแปลตรงตัว "ใช้,ฉัน-สามารถ!" แต่การแปลแบบตรงตัวที่เป็นสาเหตุหลัก ที่ทำให้ใช้ภาษาผิดนั้น เกิดจากการแปลตรงตัวบนสำนวนภาษาหนึ่ง ไปใช้กับอีกภาษาหนึ่ง ที่แน่นอนการใช้คำมาสร้างต่อๆกันให้เป็นประโยคย่อมจะไม่เหมือนกัน ถ้าคุณตอบเป็นสำนวนภาษาไทยว่า " พูดได้นิดหน่อย " คือ "speak able little bit", "speak can few" หรือตอบเป็นว่า "Snake Snake Fish Fish" คือแปลตรงตัว " งูงูปลาปลา " คุณเป็นคนไทยต้องเข้าใจความหมายนี้แน่นอน แต่้ถ้าคุณเป็นคนต่างชาติก็ต้องงงแน่นอนว่า ทำไมต้องเป็นงูเป็นปลาด้วย     แนวการแปลตรงตัวคำในประโยคภาษาอังกฤษ บนพื้นฐานแบบเด็กๆ เพื่อเข้าใจการนำคำศัพท์แต่และคำมาสร้างให้เป็นประโยค แบบง่ายๆ เด็กๆ เทียบไ้ด้กับสำนวนไทยที่ว่า"เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม" ที่มีความหมาย: การรู้จักประพฤติตนตามกาลเทศะ และคล้อยตามโดยไม่มีการขัดคอหรือโต้แย้งประการใดๆ    ยกตัวอย่าง การนำคำแต่และคำมาสร้างประโยค ที่เป็นสำนวนไทย กับสำนวนอังกฤษ ที่มีความหมายเหมือนกัน โดยในการสร้างสำนวนนั้นจะใช้คำศัพภาษาอักฤษในการสร้างสำนวน    สำนวนที่ให้ความหมายถึง "ประพฤติตนให้เหมาะสมกับกาละเทศะ ที่ใดเขาประพฤติกัยอย่างไร เมื่อไปอยู่ในที่นั้น ก็ต้องประพฤติตามเขาไป ไม่ควรไปขัดขืนหรือขวาง "         สำนวนอังกฤษ "When in Rome do as the Romans do."         สำนวนไทย   "go into city squint-eyed must squint-eyed follow" เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม   หรือสำนวนที่ให้ความหมายถึง " เกิดเรื่องเสียหายขึ้นแล้ว จึงคิดป้องกันภายหลัง "         สำนวนอังกฤษ "Lock the stable(barn) door after the horse is stolen."         สำนวนไทย   "cow lost build stalls" วัวหายล้อมคอก   และด้วยเหตุนี้ ผู้จะศึกษาำำอักฤษให้เข้าใจ จึงจะยากลำบาก เพราะเรามักจะแปลประโยคสำนวนที่มีความหมายจริงๆที่เราเข้าใจในแบบไทยแล้ว แต่พอจะพูด อ่าน หรือ ฟัง เรากลับสร้างประโยคสำนวนแบบภาษาอังกฤกไม่ได้   ถ้าเราเป็นเด็กๆที่จะหัดพูดภาษาอักฤษ เราก็ควรพูด ฟัง อ่านในแบบภาษาอักฤษให้ได้ก่ิอน ก่อนจะไปเข้าใจความหมายที่แท้จริงของประโยคที่สื่อออกไป ในแบบภาษาไทย    "สามารถ" สะกด สา-มาท ในการเขียนคำ " สามารถ" ่เรามักจะเขียนสะกดคำให้เป็นคำว่า สา-มา-รถ เพื่อจะเขียนให้ออกเป็นคำว่า สามารถ   ที่ไหน-กระทำว่า-คุณ-อาศัยอยู่ "Where do you live?" สำนวนไทยที่เข้าใจ {คุณใช้ชีวิตอยู่ที่่ไหนค่ะ}    สวัสดี, อย่างไร-เป็น-คุณ-กำลังกระำำทำ "Hello, how are you doing?" สำนวนไทยที่เข้าใจ {สวัสดีครับ, สบายดีไหม / หวัดดีเป็นอย่างไรบ้างละ}
	เทคนิคง่ายๆ ในการจำและการนำไปใช้ (ก้าวแรก) การที่จะฝึกทำความเข้าใจความหมายของคำหรือประโยคภาษาอังกฤษให้ดีนั้น (ก้าวที่3) การทำความเข้าใจภาษาอังกฤษทีละวลี หรือทีละช่วง มีประโยชน์อย่างไร?  (ก้าวที่4)