สารบัญ

หน้าแรก

ยุคก่อนไดโนเสาร์กำเนิด

ยุคทั้ง 4 ของไดโนเสาร์

ทำไมไดโนเสาร์ถึงสูญพันธุ์

รู้มั้ยเมืองไทยก็มีไดโนเสาร์

ภาพไดโนเสาร์แต่ละพันธุ์

.ทำไมไดโนเสาร์ถึงสูญพันธุ์ ?
ไดโนเสาร์หาย...ไปไหน?
เรื่องราวเกี่ยวกับไดโนเสาร์ยังคงเป็นเรื่องที่สร้างความพิศวงและแปลกใจให้กับ พวกเราทุกคนไม่รู้หาย เหตุใดเจ้าสัตว์ร่างใหญ่เหล่านี้จึงสูญหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ของโลกอย่างรวดเร็วและไร้ร่องรอย นักวิทยาศาสตร์หลายกลุ่มต่างก็ออกมาเสนอทฤษฎีเกี่ยวกับการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์มากมาย แต่ปัญหาก็คือ ทฤษฎีแต่ละทฤษฎีต่างก็ยังคงมีจุดอ่อนของตนเอง ทำให้ไม่สามารถชี้ชัดเจนลงไปได้ว่าไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปได้อย่างไร
ลองมาดูกันว่า ทฤษฎีเกี่ยวกับการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ทฤษฎีไหนจะมีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากกว่ากันจะขอกล่าวในทฤษฎีที่สำคัญครับ
ทฤษฎีทั้ง 12 ทฤษฎีมีดังต่อไปนี้
1. "ทฤษฎีอุกกาบาตพุ่งชนโลก"
2. "ทฤษฎีภูเขาไฟระเบิด"
3. "ทฤษฎีบันได เด็คแคน"
4. "ทฤษฎีเรือนกระจก"
5. "ทฤษฎีฝุ่นดาว"
6. "ทฤษฎีการขาดอากาศ"
7. "ทฤษฎีโรคภัยไข้เจ็บ"
8. "ทฤษฎีสัตว์เลือดอุ่นนักล่ากลุ่มใหม่"
9. "ทฤษฎีรังสีคอสมิคจากการระเบิดของซุปเปอร์โนวา
10. "ทฤษฎีวงโคจรของโลกเกิดการเปลี่ยน"
11. "ทฤษฎีการเปลี่ยนขั้วของแม่เหล็กโลก"
12. "ทฤษฎีน้ำล้นออกจากมหาสมุทรอาร์คติก"

.ทฤษฎีอุกกาบาตพุ่งชนโลก
- "ทฤษฎีอุกกาบาตพุ่งชนโลก" -
ทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีที่มีการอ้างอิงและพูดถึงกันมากทฤษฎีหนึ่ง เมื่อย้อนกลับไปศึกษาถึงช่วงเวลา ที่ไดโนเสาร์มีชีวิตอยู่นั้น เราพบว่ามันปรากฎกายอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์จนถึงยุคเครตาเชอุสตอนปลาย หลังจากนั้นก็ไร้ร่องรอยไปเฉย ๆ นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งได้สันนิษฐานข้อมูลเอาไว้ว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าใน ยุคเครตาเชอุสตอนปลายนั้น อาจมีลูกอุกาบาตที่มีความกว้างถึง 3 เมตร จำนวนมากพุ่งเข้ามาชนโลกของเรา ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ส่งผลให้เกิดหมอกควันหนาทึบบดบังแสงอาทิตย์ที่ส่องให้ความอบอุ่นแก่โลกเป็นเวลานาน สัตว์เลือดเย็นอย่างไดโนเสาร์ไม่สามารถที่จะปรับอุณหภูมิของตนเองให้อบอุ่น ได้เหมือนสัตว์เลือดอุ่น จึงพากันล้มตายและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เมื่อฟังดูข้อสันนิษฐาน แล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะมีความเป็นไปได้เช่นกัน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นอยู่ที่ว่าแล้วร่องรอยของ อุกกาบาตที่ชนโลกนั้นหายไปไหน?
คำถามดังกล่าวนี้ได้รับการเฉลยในปี 2523 เมื่อ หลุยส์ อัลวาเรซ (Luis Alva rez) และ วอลเตอร์ อัลวาเรซ (Walter Alvarez) นักธรณีวิทยาบุตรชายของ หลุยส์ แฟรงค์ อาซาโร (Frank Asaro) นักเคมีนิวเคลียร์ และเฮเลน ไมเคิล (Helen Michael) นักโบราณชีววิทยาได้ค้นพบ ธาตุอีรีเดียม (Iridium) ปริมาณสูงในชั้นดินเหนียวที่แยกระหว่าง ตะกอนของดินในยุค เครตาเชอุสและยุคเตร์ฌีอารวื ข้อมูลใหม่นี้ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์หลาย คนรู้สึกมั่นใจในทฤษฎีอุกกาบาตชนโลกมากยิ่งขึ้น สาเหตุหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์สามารถใช้ธาตุอีรีเดียมเป็นตัวอธิบายในเรื่องนี้ได้นั้นเป็น เพราะการคงสภาพที่ดีของมันนั่นเอง ทั้งนี้เพราะในระหว่างที่มีการกระทบกันอย่างรุนแรง โลหะหนักส่วนใหญ่ เช่น เหล็ก มักจะจมลงไปในพื้นดิน แม้ว่าเหล็กจะเป็นธาตุหลักที่พบมากใน อุกกาบาต แต่ก็ยังมีธาตุอีกตัวหนึ่งที่พบได้มากเช่นกัน คือ ปลาตีนุม (Platinum : แพลทินัม) และโลหะที่มีลักษณะใกล้เคียงกับปลาตีนุม ด้วยเหตุนี้เองปลาตีนุมจึงกลายเป็นแร่ที่มีราคา แพงมาก อีกทั้งยังหายากอีกต่างหาก เพราะเป็นสิ่งที่ได้มาพร้อมกับอุกกาบาตนอกโลกของเรา แต่ถ้าหากเราสามารถเดินทางออกไปในอวกาศนอกโลกกันได้ง่าย ๆ เหมือนเดินทางจาก กรุงเทพฯ ไปอยุธยาแล้วล่ะก็ แร่ในกลุ่มปลาตีนุมจะกลายเป็นแร่ธาตุที่หาได้ง่ายทันที เพราะ มันเป็นฝุ่นผงที่พบได้ทั่วไปในอวกาศอันกว้างใหญ่ไพศาล สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ เมื่อแร่ปลาตีนุม หรือแร่โลหะทีมีลักษณะใกล้เคียงกับปลาตีนุม ถูกฝังอยู่ในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งแล้ว มันมักจมอยู่กับที่ไม่มีการเคลื่อนย้ายไปไหน แร่ธาตุ เหล่านี้จึงมีลักษณะค่อนข้างเฉื่อย และไม่ทำปฏิกิริยากับธาตุชนิดอื่น หนึ่งในกลุ่มของแร่ธาตุ ในกลุ่มปลาตีนุมก็คือ แร่อีรีเดียมนั่นเอง แร่อีรีเดียมสามารถตรวจพบได้ง่ายแม้ว่ามักจะมี ปริมาณน้อยมาก จึงทำให้นักวิทยาศาสตร์นิยมใช้แร่อีรีเดียมเป็นตัวอ้างอิงการชนของลูก อุกกาบาตต่อโลกของเรา สถานที่ที่คาดว่าน่าจะมีผงฝุ่นผสมอยู่ พื้นมหาสมุทรใดที่เป็นรอยต่อระหว่างยุคเครตาเชอุส และ ยุคเตร์ฌีอารวื ตำแหน่งที่พวกเขาสนใจคือ กุบบีโอ (Gubbio), อุมบรีอา (Umbria : อัมเบรีย) ในประเทศอิตาลี เมื่อลงมือขุดตะกอนดินขึ้นมา พวกเขาก็พบว่า บริเวณรอยต่อทั้งสองยุคจะมีร่องรอยการสูญหายของฟอสซิลสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กในยุคเครตาเชอุส อย่างชัดเจน โอยเฉพาะอย่างยิ่ง โฟรามีนีเฟรันส์ (Foraminiferans) บริเวณ รอยต่อของทั้งสองยุคจะเป็นชั้นดินเหนียวบาง ๆ สีน้ำตาลและดำ คั่นดินและซากฟอสซิล ของทั้งสองยุคเอาไว้ ทีมงานของ อัลวาเรซ ได้นำตัวอย่างหินของชั้นนี้มาศึกษาเพื่อตรวจ สอบหาแร่อีรีเดียม ผลการศึกษาสร้างความพิศวงงงงวยขึ้นในใจของนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้มาก เพราะปริมาณแร่อีรีเดียมในก้อนหินยังคงมีปริมาณเท่าเดิม และเปลี่ยนแปลงน้อยมากเมื่อ เทียบกับตะกอนดินเหนียวที่พวกเขาเก็บเอามาทดสอบ สิ่งที่พวกเขาสามารถทดสอบได้นั้น มีเพียงการตรวจวัดอายุของคัลเซียมคาร์บอเนต ที่พบในตัวอย่าง ดังนั้นพวกเขาจึงเสีย เวลาไปกับการวิเคราะห์ดินเหนียวจากท้องทะเล แม้ว่าจะผิดหวังจากสิ่งที่ค้นพบ ทีมของ อัลวาเรซ ก็ยังไม่ยอมแพ้ พวกเขาจึงมาศึกษากันใหม่ว่าจุดใดน่าจะเป็นจุดที่มีการเปลี่ยนแปลง พวกเขาจึงได้ทำการสำรวจเพิ่ม 2 จุด จุดหนึ่งเป็นทะเลในนิวซีแลนด์ และอีกจุดเป็นทะเลใน สตีน เคนท์ (Stevens Klint) ในเดนมาร์ก ในระหว่างการศึกษานี้พวกเขาได้พยายามสันนิษฐานกันว่าอะไรที่น่าจะเป็นสาเหตุที่ ทำให้มีปริมาณของแร่อีรีเดียมในชั้นรอยต่อระหว่างยุคเครตาเชอุสและเตร์ฌีอารวืบ้าง คำตอบ ของพวกเขาสามารถสรุปได้เป้น 2 ประเด็น ใหญ่ ๆ คือ
1. อาจมีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้การผสมกันของตะกอนดินเหนียวและฝุ่น หยุดชะงักลง ทำให้ปริมาณของแร่อีรีเดียมจากอวกาศจึงยังคงมีปริมาณคงที่
2. อาจจะมีบางอย่างที่มีขนาดใหญ่โตมาก ส่งผลให้เกิดผงฝุ่นของแร่อีรีเดียม ตกค้างในชั้นโลกเป็นจำนวนมาก
เมื่อศึกษาไปศึกษามาก็ไม่พบข้อมูลที่จะมาสนับสนุนทฤษฎีในข้อแรก พวกเขาจึง หันมาศึกษาข้อสันนิษฐานข้อถัดมา แต่ก็มีคำถามข้อใหม่เกิดขึ้นมาเช่นกันว่า แล้วผงฝุ่นปริมาณ มหาศาลจากนอกโลก จะเพิ่มปริมาณขึ้นมาเป็นจำนวนมากได้อย่างไร? เมื่อถกเถียงกันไปมา จึงได้ข้อสรุปออกเป็น 2 ประเด็น คือ
1. อาจจะมีดวงดาวขนาดใหญ่ใกล้ ๆ โลก เปลี่ยนสภาพเป็นซุปเปอร์โนวา ส่งผล ให้เกิดผงฝุ่นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเหล็กหรือแร่อีรีเดียมตกลงมาบนโลกของเรา
2. แร่อีรีเดียมอาจจะมาพร้อมกับวัตถุขนาดใหญ่นอกโลกที่เคลื่อนที่หลุดเข้ามาใน โลกของเรา มันอาจจะเป็นดาวหางหรือลูกอุกกาบาตยักษ์ก็ได้


.ทฤษฎีเรือนกระจก
- "ทฤษฎีเรือนกระจก" -
กลไกที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตจากผลกระทบของภาวะเรือนกระจก บุคคลแรกที่นำทฤษฎีการระเบิดของภูเขาไฟและผลกระทบจาก กรีนเฮาส์ (Volcano-greenhouse) มาอธิบายถึงการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ คือ นายแม็คลีน (McLean) เขาได้ตีพิมพ์บทความที่อธิบายถึงปรากฎการณ์ดังกล่าวในวารสารทางวิทยา ศาสตร์ในหัวข้อ "ทฤษฎีเรือนกระจกจุดจบของยุคเมโสโศอิค : บทเรียนจากอดีต" (A terminal Mesozoic 'greenhouse' : lessons from the past) บทความดังกล่าว ถูกตีพิมพ์ขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ.2521 โดย แม็คลีน ได้อธิบายสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นด้วยการ อ้างอิงถึงการระเบิดของภูเขาไฟ (Deccan Traps) เมื่อ 65 ล้านปีก่อน ทำให้ก๊าซคาร์บอน ไดออกไซด์ถูกปลดปล่อยเข้าสู่ขึ้นบรรยากาศของโลกเป็นจำนวนมาก อุณหภูมิของโลกจึง สูงขึ้นอย่างรวดเร็วและกินเวลายาวนาน ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตขึ้น ผลกระทบดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างมากต่อสิ่งมีชีวิตเพศเมีย เหตุใด แม็คลีน จึงกล่าวเช่นนั้น แม็คลีน อธิบายทฤษฎีของเขาว่า ความร้อนที่ เพิ่มสูงขึ้น ทำให้อุณหภูมิภายในร่างกายของสิ่งมีชีวิตเพิ่มสูงขึ้นไปด้วย วิธีการหนึ่งที่ร่าง กายของสิ่งมีชีวิตใช้ในการลดความร้อนภายในร่างกายของตนเองก็คือ การเพิ่มปริมาณของ เลือดให้ไหลไปเลี้ยงบริเวณผิวหนังมากขึ้น เพื่อที่จะได้คายความร้อนออกจากร่างกายมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ก็เป็นเรื่องที่ปกติหากเกิดกับผู้ชายหรือผู้หญิงที่ยังไม่ตั้งครรภ์ ผลกระทบโดยตรงที่เกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตของเพศเมียที่เกิดการตั้งครรภ์นั้น จะทำให้จำนวน ของลูกหลานที่จะสืบต่อไปนั้นลดปริมาณลงอย่างรวดเร็ว เพราะเมื่อเลือดถูกส่งไปที่บริเวณ ผิวหนังมากขึ้น เลือดที่ถูกส่งไปเลี้ยงตัวอ่อนในมดลูกก็มีปริมาณน้อยลง ทำให้ตัวอ่อนได้ รับอาหารและก๊าซออกซิเจนไม่เพียงพอ อีกทั้งความสามารถในการแลกเปลี่ยนก๊าซคาร์บอน ไดออกไซด์คืนสู่มารดาก็ทำได้ลดน้อย ตัวอ่อนที่ฝังอยู่ภายในมดลูกจึงอาจตายได้ หรือหาก ไม่ตายก็อาจจะมีรูปร่างพิกลพิการได้ ฟังดูแล้วก็ค่อนข้างจะเหลือเชื่อ แต่จากการศึกษาทาง วิทยาศาสตร์หากในระหว่างที่ตัวอ่อนมีการพัฒนา เพื่อเจริญเติบโตขึ้นเป็นทารกของสิ่งมีชีวิต หากเกิดความผิดปกติใด ๆ ขึ้น ลูกก็จะได้รับผลกระทบนั้นโดยตรง หากเรานำทฤษฎีดังกล่าวนี้มาใช้ในการอธิบายถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับไดโนเสาร์ ตัวเมียที่ตั้งครรภ์ แน่นอนว่า ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะต้องมากมายมหาศาลอย่างแน่นอน เพราะ การที่เลือดไปเลี้ยงมดลูกหรือรังไข่ไม่เพียงพอ ไข่ของไดโนเสาร์ก็อาจจะฝ่อหรือเน่าเสียไป ลูกหลานที่จะสืบสายพันธุ์ต่อมาก็ไม่มี จึงทำให้เกิดการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ขึ้น แม้แต่คนเรา ทุกวันนี้ก็อาจจะได้รับผลกระทบจาการที่อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นเช่นกัน เราจะพบว่าผู้หญิง ในปัจจุบันตั้งครรภ์ได้ยากขึ้น อีกทั้งยังแท้งลูกได้ค่อนข้างง่าย ทั้ง ๆ ที่กว่าจะตั้งครรภ์ได้ ก็กินเวลาหลายปี ทำให้เราต้องหันมาพึ่งวิทยาการทางการแพทย์ช่วย เพื่อให้สามารถมี บุตรหลานสืบสกุลต่อไปได้ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงของระบบ อวัยะสืบพันธุ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม สัตว์เลื้อยคลานและนก ข้อมูลที่พวกเขาพบนั้นจะ ค่อนข้างสอดคล้องและไปด้วยกัน จึงทำให้ แม็คลีน มั่นใจในทฤษฎีของตนมากขึ้น เขาจึง ได้นำความรู้ดังกล่าวมาอ้างอิงถึงการเปลี่ยนแปลงที่คาดว่าอาจจะเกิดขึ้นกับไดโนเสาร์เมื่อ 56 ล้านปีก่อน การเปลี่ยนแปลงภายในโลก เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าโลกของเรา แม้ว่าจะเป็นดาวเคราะห์ที่มีอุณหภูมิเย็น ลงมาเป็นเวลานานหลายพันล้านปี แต่แท้จริงแล้วภายใต้เปลือกโลกใบนี้ก็ยังคงอัดแน่นไป ด้วยพลังงานความร้อนจำนวนมากมายมหาศาล ทำให้โลกของเราเกิดการเปลี่ยนแปลงได้แทบ ทุกขณะ เราจะเห็นว่าในประเทศที่มีภูเขาไฟยังระอุอยู่นั้นมีอัตราเสี่ยงต่อการระเบิดของภูเขาไฟ และแผ่นดินไหวมาก แต่ถึงกระนั้นในดินแดนดังกล่าวก็ยังมีผู้คนอาศัยอยู่เป้นจำนวนมาก เนื่องจากความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้เราสามารถตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงที่ เกิดขึ้นได้ค่อนข้างรวดเร็ว ปัจจุบันเราจะพบว่าการระเบิดของภูเขาไฟหลาย ๆ ลูกลดน้อย ลงกว่าในอดีตเมื่อหลายสิบปีก่อน ทั้งนี้เพราะเมื่อโลกของเราปลดปล่อยพลังงานจำนวนหนึ่ง ออกไปแล้ว จะทำให้มันเข้าสู่สภาพสมดุลมากยิ่งขึ้น ดังนั้น หากโลกของเรายังไม่เข้าสู่สภาพ สมดุล พลังงานส่วนเกิดบวกกับก๊าซต่าง ๆ ใต้พื้นโลกจะถูกปล่อยออกมาเป็นจำนวนมาก จนกว่าจะเข้าสู่สภาวะสมดุล การพ่นก๊าซชนิดต่าง ๆ ขึ้นมาสู่บรรยากาศ ทำให้สภาพแวดล้อมบนโลกเกิดการ เปลี่ยนแปลงอย่างมาก อุณหภูมิของโลกจะเพิ่มสูงขึ้น ทำให้สิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ได้รับผล กระทบเป็นอย่างมาก พวกไหนที่ทนไม่ได้ก็จะสูญพันธุ์ไป พวกที่รอดเหลือก็จะสภาพเปลี่ยน แปลงไป เพราะต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ และในบางครั้งก็ส่งผลกระทบทาง อ้อมต่อวิวัฒนาการ (Bioevolution) ของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด เมื่อภูเขาไฟระเบิกก๊าซนานาชนิดเข้าสู่บรรยากาศแล้วนั้น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จะรวมตัวกับน้ำในบรรยากาศ ทำให้มันสามารถจับความร้อนที่แสงอาทิตย์สาดส่องมาได้เป็น อย่างดี จึงทำให้อุณหภูมิของเปลือกโลกเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าปกติ แต่จะกล่าวหาว่าผลกระทบ จากเรือนกระจกนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดีอย่างเดียวก็คงไม่ถูกเท่าใดนัก เพราะหากสิ่งมีชีวิตไม่มี ปรากฎการณ์ใด ๆ ที่ผิดปกติมาก ๆ ก็จะไม่มีการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ ทำให้ พัฒนาการแต่ละขณะของสิ่งมีชีวิตกินเวลายาวนาน เรียกว่ายิ่งมีเหตุการณ์เลวร้ายมากเท่าใด สัตว์ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมขึ้นมาทันที เพื่อให้ตนเองสามารถเอาชีวิตริดใน สภาพที่เลวร้ายได้ จึงทำให้เกิดการพัฒนาของสิ่งมีชีวตในระดับที่สูงขึ้น แต่ที่แน่ ๆ ก็คงจะ ไม่มีใครอยากที่จะให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้นกับโลกของเราอย่างแน่นอน เพราะหากเกิดผล กระทบมาก ๆ สิ่งมีชีวิตจำนวนมากจะล้มตายลงไป คงเหลือเฉพาะพวกที่สามารถปรับตัวและ เอาตัวรอดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นับว่าเป็นความโหดร้ายอย่างมากของธรรมชาติเช่นกันที่คัด เลือกเฉพาะผู้ที่แข็งแรง ใครที่อ่อนแอจะถูกตัดทิ้งไปทันที

.ทฤษฎีการขาดอากาศ
- "ทฤษฎีการขาดอากาศ" -
นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งได้ตั้งข้อเสนอไว้อย่างสนใจว่า ได้โนเสาร์อาจจะสูญพันธุ์ จากโลกนี้ เพราะการที่ปริมาณของออกซิเจนบนโลกใบนี้ลดน้อยลงไปอย่างรวดเร็ว ศาสตรา จารย์ เคท ริคบี้ (Keith Rigby) ได้นำเสนอทฤษฎีข้อสันนิษฐาน เพเล (Pele hypothesis) ริคบี้ เชื่อว่า การที่ปริมาณออกซิเจนลดลงอย่างรวดเร็วนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นร่วมกับการ ที่อุณหภูมิของโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้ไดโนเสาร์จำนวนมากเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว เหตุผลที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้เชื่อว่า ไดโนเสาร์เสียชีวิตจากการขาดอากาศ หายใจนั้นเกิดขึ้นเพราะพวกเขามองว่า ในช่วงที่เหลือกโลกของเราเกิดการเปลี่ยนแปลงนั้น ในระหว่างที่มีการยกตัวของเปลือกโลกบางส่วนขึ้นมาจากพื้นน้ำใต้ท้องทะเลกลายมาเป็นทวีป ต่าง ๆ นั้นจะส่งผลให้เกิดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเป็นจำนวนมาก ซึ่ง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เหล่านี้จะถูกพืชนำไปใช้ในการสังเคราะห์อาหาร และปลดปล่อยก๊าซ ออกซิเจนออกมาเป็นจำนวนมาก บรรยากาศของโลกในยุคนั้นจึงเต็มไปด้วยอากาศบริสุทธิ์ เหมาะสำหรับการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวตเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น เมื่อปริมาณออกซิเจนที่เคยมี มากมายมหาศาลเกิดการลดปริมาณลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ไดโนเสาร์ปรับตัวไม่ทัน จึงค่อนข้าง จะทนต่อสภาพแวดล้อมใหม่ที่เกิดขึ้นไม่ได้ แม้ว่าทฤษฎีนี้จะฟังดูน่าเชื่อถือเพียงใด ก็ยังคงต้องมีหลักฐานมาอ้างอิงเพื่อให้ มองดูมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือมากขึ้นกว่านี้ ซึ่งศาสตราจารย์ ริคบี้ ก็ได้ทำการศึกษาเพื่อค้นหา หลักฐานมาสนับสนุนทฤษฎีนี้เช่นกัน ในการศึกษานั้นเขาได้ค้นพบฟองอากาศในซากอำพัน โบราณ เมื่อนำอากาศในอำพันโบราณดังกล่าวมาตรวจสอบดูพวกเขาก็พบว่า ฟองอากาศ ดังกล่าวมีอายุประมาณ 75 ล้านปีก่อน หรือก่อนยุครอยต่อระหว่างยุคเครตาเชอุสและยุค เตร์ฌีอารวื ภายในฟองอากาศมีปริมาณออกซิเจนอยู่ถึง 35 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งฟังดูแล้วไม่น่า ที่จะเป็นไปได้เลย เพราะในบรรยากาศของเราในปัจจุบันมีปริมาณออกซิเจนอยู่เพียง 21 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ดังนั้นหากในยุครอยต่อระหว่างยุคเครตาเชอุสและยุคเตร์ฌีอารวื เกิดลด ระดับลงมาเหลือเพียง 28 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นการลดลงอย่างรวดเร็วของปริมาณออกซิเจน ก็อาจจะทำให้ไดโนเสาร์เสียชีวิตอย่างรวดเร็ว เพราะมันยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับ บรรยากาศแบบใหม่ที่มีออกซิเจนน้อยลง ข้อสังเกตอีกจุดหนึ่งที่ศาสตราจารย์ ริคบี้ ชี้ให้เห็นก็คือ บรรดาแมลงขนาดใหญ่ หลาย ๆ ชนิดที่มีชีวิตอยู่ในยุคเดียวกับไดโนเสาร์นั้น ได้อาศัยการดูดซึมออกซิเจนเข้าทาง เนื้อเยื่อ (Absorb) นั่นก็แสดงให้เราทราบว่า พวกมันไม่ได้หายใจเอาอากาศเข้าสู่ร่างกายเหมือน กับสัตว์ชนิดอื่น ดังนั้น หากอากาศภายนอกมีปริมาณออกซิเจนลดน้อยลง การดูดซึมเอา ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายก็จะมีปริมาณน้อยลงไปด้วย จึงเป็นสาเหตุให้แมลงเหล่านี้เกิดการ สูญพันธุ์ได้ ข้อดีประการหนึ่งของทฤษฎีนี้ก็คือ คำอธิบายปรากฎการณ์บางอย่างที่ทฤษฎีอื่น ๆ ได้อธิบายเอาไว้ เช่น ในทฤษฎีอุกกาบาตพุ่งเข้าชนโลกนั้น ส่งผลให้เกิดหมอกฝุ่นควันหนาทึบ ปกคลุมโลกของเราเป็นเวลายาวนาน ส่งผลให้อากาศในขณะนั้นค่อนข้างมืดมิดและเต็มไปด้วย ความหนาวเหน็บ สัตว์ที่มีรูปร่างใหญ่โตอย่างไดโนเสาร์จึงไม่สามารถทนทานต่อกาศที่หนาว และสภาพบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไปในขณะที่สัตว์ที่มีรูปร่างเล็ก ๆ เช่น จระเข้ เต่า และสัตว์ เลื้อยคลานขนาดเล็กอย่างจิ้งจก ตุ๊กแก กลับไม่ได้รับผลกระทบ ในทางตรงกันข้ามมันกลับ สามารถดำรงชีวิตอยู่ในยุคที่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬาร โดยไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์หลายกลุ่มก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น แต่นักวิทยาศาสตร์ ที่อธิบายที่อธิบายทฤษฎีการขาดอากาศได้อธิบายไว้อย่างน่าสนใจว่า สัตว์ที่มีขนาดเล็ก ๆ เช่น จระเข้ เต่า และสัตว์เลื้อยคลานนั้นมีอัตราการใช้พลังงานค่อนข้างต่ำ หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า ในช่วงที่บรรยากาศหนาวเหน็บไม่เหมาะสมกับการดำรงชีวิต พวกมันก็สามารถจำศีลเพื่อลด อัตราการใช้พลังงานได้เป็นอย่างดี จึงทำให้มันไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงครั้ง ใหญ่ และสามารถมีชีวิตรอดมาถึงปัจจุบันนี้ ผิดกับไดโนเสาร์ที่มีรูปร่างใหญ่โต การปรับตัว ก็ค่อนข้างลำบาก และใช้เวลามากกว่าสัตว์ที่มีขนาดเล็ก เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นก็ย่อมได้ รับผลกระทบอย่างหนัก ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของธรรมชาติที่มีการคัดเลือกสิ่งมีชีวตที่จะ อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ สัตว์โลกตัวใดที่อ่อนแอหรือไม่สามารถปรับตัวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลง ใหม่ ๆ ได้ก็จะล้มตายจากไป จะคงเหลืออยู่ก็เพียงสิ่งมีชีวิตใหม่ ๆ ที่สามารถปรับตัวเข้ากับ สิ่งแวดล้อมใหม่ได้ ไดโนเสาร์ก็อาจจะเป็นสัตว์โลกที่เคราะห์ร้ายกลุ่มหนึ่งที่ไม่สามารถปรับตัว เข้าสู่สิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ มันจึงถูกธรรมชาติกำจัดไปโดยที่ไม่มีใครสามารถที่จะช่วยเหลือได้


คุณเป็นลำดับที่

เริ่มนับตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2543

CopyRight(C) www.oocities.org/dinosaurth/. All rights reserved.

ติดต่อ webmaster และ ติดต่อโฆษณา