Alexander The Great

พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ทรงได้รับฉายาว่า เป็นจอมราชาแห่งอาณาจักรเปอร์เซีย พระองค์ทรงนำกองทัพเข้าครอบครองดินแดนต่างๆ ตั้งแต่กรีซลงไปจนถึงอินเดีย รวมถึงตอนใต้ของอียิปต์ ทรงเป็นผู้สร้างนครอเล็กซานเดรียที่ยิ่งใหญ่ในอียิปต์ และนครแห่งนี้ก็ได้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้กว่า 1,000 ปี พระองค์ยังได้เผยแพร่แนวคิด กฎหมาย ขนบธรรมเนียม และ ประเพณี ของกรีกทั่วราชอาณาจักร ภายใต้การนำของพระองค์นั้น มาซิโดเนียเป็นประเทศที่ได้ปกครองโลก นี่คือสิ่งที่ทำให้พระองค์เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ทั่วโลกรู้จัก

อเล็กซานเดอร์ ทรงประสูติในเดือนมิถุนายน 356 ปีก่อนคริสต์ศักราช ณ เมืองเพลลา นครหลวงแห่งราชอาณาจักรมาเซดอน ดินแดนแห่งภูเขาและความรกร้าง ซึ่งตั้งอยูทางตอนเหนือของประเทศกรีซ ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าฟิลิปและพระนางโอลิมเปียสแห่งกรีซ เมื่อทรงเจริญวัยพอที่จะศึกษาเล่าเรียนได้ พระบิดาก็ได้ทรงจัดหาพระอาจารย์ที่ดีที่สุดในกรีซมาอบรมสั่งสอนพระองค์ เจ้าชายอเล็กซานเดอร์ทรงสนพระทัยในวิชาการต่างๆ ทรงเล่าเรียนสิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ทรงมีพระรูป โฉมงดงาม พระสติปัญญาเฉียบแหลม ทรงรักกีฬากลางแจ้งทุกชนิด เช่น ล่าสัตว์ ยิงธนู ขี่ม้า เป็นต้น

เมื่อพระราชบิดาสิ้นพระชนม์ลง เจ้าชายอเล็กซานเดอร์ซึ่งมีพระชนมายุได้ 20 พรรษา ก็เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ในเวลานั้นพวกขุนนางหลายคนกำลังแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน แคว้นเล็กแคว้นน้อยที่เคยขึ้นกับอาณาจักรมาเซดอน คิดแข็งเมืองจะก่อการกบฏ แต่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ไม่ทรงหวั่นพระทัยแต่ประการใด ทรงเผชิญกับเหตุการณ์ร้ายรอบด้านอย่างสงบ ทรงตั้งพระทัยจะสร้างอาณาจักรมาเซดอนให้ยิ่งใหญ่ให้จงได้ ชัยชนะครั้งแรกของพระองค์ก็คือทรงเสด็จนำทัพเรือซึ่งมีทหารคู่พระทัยเพียงหยิบมือเดียวข้ามช่องแคบดาเนลส์เข้าตีเปอร์เซีย ก่อนที่กษัตริย์ดาริอุสจะทันรู้พระองค์เสียอีก เพียงไม่นานอาณาจักรเปอร์เซียก็ตกอยู่ในอำนาจของพระองค์ พระองค์มักจะประทับอยู่บนหลังม้า นำหน้าทหารออกสู้รบกับข้าศึกอย่าง ดุเดือดและห้าวหาญ ต่อจากนั้นก็ทรงตีได้ ทาย์กาซา และอียิปต์ทั้งหมด

นอกเหนือจากการทำสงครามจนได้ยึดครองอาณาจักรมากมาย ด้วยนิสัยรักการผจญภัย พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ทรงคิดที่จะหันมาศึกษาและค้นคว้าแผนที่โลกใหม่ที่พระองค์ยังไม่ทรงรู้จักดีต่อไป ทรงเดินทัพไปยังดินแดนที่ยังไม่มีใครรู้จัก เช่น แบคเทเรีย ซอคเดียนา แอเรีย ความมุ่งมั่นอีกอย่างหนึ่งของพระองค์ ก็คือ มีพระประสงค์จะเสด็จข้ามลำห้วยและเขาสูงสู่อาณาจักรอินเดีย

กองทัพของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มุ่งไปทางตะวันออกสู่ใจกลางของทวีปเอเชีย พระองค์นำทัพผ่านทะเลทราย ผ่านเมืองต่างๆ หลายเมือง ข้ามแม่น้ำใหญ่ๆ หลายสาย มีการสู้รบประปรายตลอดทางแต่ไม่รุนแรงมากนัก จนเสด็จมาถึงอาณาจักรอินเดีย

พระเจ้าโพรัส กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอินเดียทรงนำทัพช้างถึงร้อยเชือก และทหารจำนวนมากออกต่อสู้พระเจ้าอเล็กซานเดอร์อย่างดุเดือด ในที่สุดพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ก็เป็นฝ่ายชนะ แต่ก็ทรงคืนพระราชอำนาจให้โพรัส และกษัตริย์ทั้งสองพระองค์ก็ทรงเป็น มิตรสนิทกันตั้งแต่นั้นมา

อย่างไรก็ตาม สงครามในอินเดียยังไม่สงบ แคว้นใหญ่น้อยในอินเดียอีกหลายแคว้นยังไม่ยอมอยู่ในพระราชอำนาจ และมักจะแอบลอบเข้าโจมตีกองทัพของพระองค์อยู่เสมอ และก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับไปก็ได้ทรงวางรากฐานเมืองขึ้นเมืองหนึ่ง ซึ่งได้กลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าของภาคตะวันออกมาจนทุกวันนี้คือ เมืองอเล็กซานเดรีย

กองทหารของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์แยกออกเดินทางเป็น 2 ทาง ทางหนึ่งคือทางเรือเลียบไปตามริมฝั่งทะเล ซึ่งก็โปรดให้หาทางสำรวจเส้นทางเดินเรือเพื่อที่จะได้ใช้เป็นเส้นทางติดต่อค้าขายระหว่างยุโรปและอินเดียไปด้วย ส่วนทัพบกพระองค์เป็นคน นำทัพเอง ซึ่งต้องผ่านทะเลทรายซึ่งมีความยาวถึง 500 ไมล์ และมีอากาศร้อนจัด จนต้องออกเดินทางเฉพาะในเวลากลางคืน ทหารหลายนายเสียชีวิตเนื่องจากทนความร้องและความเหน็ดเหนื่อยตรากตรำจากการเดินทางไม่ไหว เต่พระองค์ก็สามารถนำทัพกลับมาถึงซูดานและเพอเซโพลิสในเปร์เซียได้เป็นผลสำเร็จ และได้ทรงทราบว่าเจ้าผู้ครองแคว้นหลายแคว้นพากันเป็นกบฏ เพราะไม่คิดว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาอีก เมื่อทรงปราบปรามเจ้าผู้ครองนครเหล่านั้นแล้ว ทรงมีความคิดที่จะให้มีการรวบรวม ดินแดนเหล่านั้นให้เป็นน้ำหนึ่งในเดียวกัน โดยให้นายทหารของพระองค์แต่งงานกับชาวพื้นเมือง ส่วนพระองค์เองได้เสกสมรสกับสตาติรา พระธิดาของกษัตริย์ดาริอุส โดยพิธีแต่งงานได้จัดขึ้นพร้อมกันถึงกว่าร้อยคู่

พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ทรงเสด็จสวรรรค์คตเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 323 ปีก่อนคริสต์ศักราช ขณะที่ทรงมีพระชนมายุเพียง 33 พรรษา ในประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าพระองค์มีพระราชโอรสองค์หนึ่งกับเจ้าหญิงร็อกซาน พระมเหสีอีกพระองค์หนึ่ง แต่พระโอรสถูกลอบปลงพระชนม์เสียก่อนที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์จะสวรรคต พระองค์จึงไม่มีรัชทายาทที่จะรับมอบราชสมบัติ อาณาจักรอันยิ่งใหญ่ของพระองค์จึงต้องล่มสลาย แยกออกไปกลายเป็นเมืองเล็กเมืองน้อยไปในที่สุด