Francois Mitterrand

ฟร็องซัวซ์ มิตแตร์ร็องด์ ผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ รัฐบุรุษอาวุโส และประธานาธิบดีที่ครองตำแหน่งนานที่สุดเป็นประวัติการณ์ เขาคือผู้เปลี่ยนโฉมการเมืองของฝรั่งเศส ขณะอยู่ในตำแหน่งเป็นผู้ฟื้นฟูระบบสังคมนิยมให้เป็นที่ประจักษ์ว่าเป็นกำลังทางการเมืองที่เชื่อถือได้ เป็นผู้ชักพาฝ่ายซ้ายให้กลับมามีอำนาจอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ถูกปกครองโดยฝ่ายขวามานานเป็นเวลาถึง 3 ทศวรรษ เขาเป็นผู้วางรากฐานการจัดตั้งเงินสกุลเดียวของยุโรป และมีบทบาทอันสำคัญยิ่งในการรวมยุโรปให้เป็นปึกแผ่น เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศส ถัดจากประธานาธิบดีชาร์ลส์ เดอ โกล

ฟร็องซัวซ์ มิตแตร์ร็องด์ เกิดเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ.1916 ในเมืองจาร์นาก เมืองเก่าแก่ทางตะวันออกของประเทศฝรั่งเศส เป็นบุตรคนที่ 5 ในจำนวน 8 คนของบิดาซึ่งเป็นนายสถานีรถไฟอังโกเลม ก่อนที่จะมาประกอบอาชีพในโรงงานกลั่นน้ำส้ม

หลังสำเร็จการศึกษาทางกฎหมายจากมหาวิทยาลัยในกรุงปารีส มิตแตร์ร็องด์ได้เข้าเป็นทหารในปี ค.ศ.1939 เขาเคยถูกจับเป็นเชลยในค่ายกักกันเชลยของเยอรมัน แต่ก็สามารถหลบหนีออกมาได้ในปี ค.ศ.1940 เขาเดินทางกลับฝรั่งเศสเพื่อเข้าร่วมอยู่ในรัฐบาลวิชีในปี ค.ศ.1943 และก่อตั้งหน่วยใต้ดินต่อต้านกองทัพนาซีเยอรมันหรือหน่วยฟรีเฟรนช์ในกรุงลอนดอน แต่ต่อมาก็มีความรู้สึกว่าเขาน่าที่จะรับตำแหน่งในรัฐบาลวิชีดีกว่าที่จะต้องคอยปิดบังงานใต้ดินของเขา

ทันทีที่สงครามยุติลง มิตแตร์ร็องด์ก็ได้รับชัยชนะได้รับการเลือกตั้งเข้าสู่สภาด้วยวัยเพียง 30 ปี และในปี ค.ศ.1947 เขาก็ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีครั้งแรก คือ รัฐมนตรีว่าการกิจการทหารผ่านศึก ขณะมีอายุเพียง 31 ปี ซึ่งถือเป็นรัฐมนตรีที่มีอายุน้อยที่สุดคนแรกของฝรั่งเศส ชื่อเสียงของเขาเป็นที่กล่าวขวัญกันมากในปี ค.ศ.1965 เมื่อเขาสามารถทำให้ประธานาธิบดีเดอ โกล ต้องแข่งขันกับเขาในรอบคัดเลือกชี้ขาดชิงตำแหน่งประธานาธิบดี

หลังจากที่โดนฝ่ายขวาโจมตีอย่างรุนแรงหลังเกิดเหตุการณ์การปฏิวัติของนักศึกษา ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1968 มิตแตร์ร็องด์ก็ไม่ได้ลงแข่งขันการเลือกตั้งในปี ค.ศ.1969 ซึ่งมีขึ้นหลังจากที่เดอ โกล ยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง แต่เขากลับทำงานทุ่มเทอย่างหนักในการสร้างพรรคใหม่ของกลุ่มนิยมซ้ายขึ้นมา และได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคสังคมนิยมเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ.1971 และเกือบจะได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1974 เมื่อเขาพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งแก่นายวาเลรี ยิสการ์ด เดสแต็ง อย่างหวุดหวิด

มิตแตร์ร็องด์ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1981 หลังจากที่ได้รับชัยชนะเหนือนายยิสการ์ด เดสแต็ง อย่างชนิดพลิกความคาดหมาย และเป็นนักการเมืองฝ่ายซ้ายจากพรรคสังคมนิยมคนแรก ที่สามารถโค่นนักการเมืองฝ่ายขวาที่กุมอำนาจการบริหารประเทศมาตลอดเวลา 23 ปี

ในปี ค.ศ. 1968 ฝ่ายค้านก็ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติ ทำให้มิตแตร์ร็องด์ต้องแบ่งสรรอำนาจทางการเมืองร่วมกับรัฐบาลอนุรักษ์นิยมภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีชาคส์ ชีรัค อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ.1988 มิตแตร์ร็องด์ก็ประสบชัยชนะในการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 2

ตลอด 14 ปีที่บริหารประเทศ รัฐบาลภายใต้การนำของมิตแตร์ร็องด์ มีผลงานเด่นๆ อาทิ ประกาศยกเลิกโทษประหารชีวิตในปี ค.ศ.1981 ลดจำนวนวันทำงานในแต่ละสัปดาห์ ในปี ค.ศ.1982 มีการออกกฎหมายว่าด้วยการกระจายอำนาจรัฐบาลไปจากส่วนกลาง และการให้เสรีภาพแก่สถานีวิทยุและโทรทัศน์ ส่วนในปี ค.ศ.1992 มีการให้สัตยาบันสนธิสัญญาว่าด้วยสหภาพยุโรปโดยการออกเสียงประชามติ ฝรั่งเศสภายใต้การนำของเขามีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการผลักดันให้ยุโรปรวมตัวกันเป็นปึกแผ่น รวมทั้งเป็นผู้วางรากฐานการจัดตั้งเงินสกุลเดียวกันของยุโรป

เมื่อเดือนมกราคม ค.ศ.1991 เขาส่งกำลังทหารฝรั่งเศสเข้าร่วมในสมรภูมิรบอ่าวเปอร์เซียเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารอเมริกันและอังกฤษ เพื่อขับไล่กำลังทหารอิรักออกจากคูเวต และผลงานที่ยิ่งใหญ่อันเป็นที่ประจักษ์สายตาของชาวโลกคือ ได้หยุดแผนการทดลองนิวเคลียร์ใต้ดินเมื่อปี ค.ศ.1992 หลังจากสิ้นสุดสงครามเย็น และในที่สุดก็ต้องเสียตำแหน่งประธานาธิบดีให้กับประธานาธิบดีชาคส์ ชีรัค คู่ปรับเก่า เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1995

ประธานาธิบดีฟร็องซัวซ์ มิตแตร์ร็องด์ ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 8 มกราคม ค.ศ.1996 ขณะที่มีอายุได้ 79 ปี