ปีที่ 2 ฉบับที่ 817 ประจำวันศุกร์ที่ 8 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2542 |
วันนี้อยากคุยเรื่องหลักกฎหมายสักนิด เพื่อเป็นการปูพื้นความรู้สำหรับคนที่ไม่เคยเรียนกฎหมาย จะได้เข้าใจเรื่องราวได้ถูก เพราะยิ่งตอนนี้มีคนที่ไม่รู้กฎหมาย แต่พยายามอวดภูมิอวดอำนาจ หลงฟังคำนักกฎหมายใกล้ตัว ซึ่งให้คำแนะนำผิดๆ ได้ เพราะนักกฎหมายที่น่ากลัว คือนักกฎหมายที่ทิ้งหลักกฎหมาย และในใจร้อนเร่าด้วยอคติ ขาดอุเบกขา
เพราะฉะนั้นทนายที่ดีก็มี ทนายที่ไม่ดีก็มี ทนายที่ให้คำแนะนำแก่ลูกความ จนทำให้ลูกความเสียหายก็เยอะ เขาจึงชอบเปรียบเทียบว่า เป็นเหมือนหมอรักษาคนไข้ เป็นหมอความ เพราะถ้าหมอวินิจฉัยผิด ให้ยาผิด คนไข้ไม่ควรจะตายก็ตายได้ ผมเห็นก็ฟ้องร้องกันเยอะไป
ทนายที่วินิจฉัยผิด สู้ความผิดประเด็น ลูกความก็อาจถูกประหารชีวิตได้ ทั้งทิ่ได้กระทำความผิด อาชีพทนายจึงเป็นเรื่องความเป็นความตาย เป็นเรื่องชีวิตของคนอื่น
ผมเองก็ไม่เคยคิดเลยว่า วิชาชีพที่เรียนมา โดยไม่ตั้งใจ และคิดว่าจะขอไม่เกี่ยวข้อง แล้วขอปริญญาใบเดียว เพื่อเป็นการฟื้นความรู้ระดับมหาวิทยาลัย แล้วก็ขอเปลี่ยนไปประกอบอาชีพอื่น เพราะเมื่อเรียนเข้าจริงๆ เห็นชีวิตจริงแล้ว ก็ปลงอนิจจัง และเกิดความกลัวว่า จะเอาชีวิตคนอื่นไปทิ้งเสีย เพราะการตัดสินใจผิดพลาดของเรา
อาชีพผู้รักษาความยุติธรรม อาชีพที่ต้องเสียสละ อุทิศชีวิต เป็นอุดมการณ์ไม่มีเพื่อน ไม่มีพรรคพวก ไม่มีญาติพี่น้อง เมื่ออยู่บนบัลลังก์ คือความโดดเดี่ยวที่ต้องตัดสินใจ โดยไม่เกรงกลัวอิทธิพลใดๆ ทั้งสิ้น
และผมก็ไม่เคยคิดเลยว่า วิชาชีพติดตัวตอนสมัยมหาวิทยาลัย สุดท้ายเมื่อมาเป็นนักบริหาร เป็นนักธุรกิจ และตอนนี้มาเป็นคนเข้าวัด ถือศีล ปฏิบัติธรรม ปรากฏว่า วิชากฎหมายที่ร่ำเรียนมา จะกลายเป็นมีบทบาทสำคัญช่วยตัวเองได้ ช่วยคนอื่นได้
และวันนี้ ช่วยอธิบาย ทำความเข้าใจให้กัลยาณมิตรชาววัดพระธรรมกายเข้าใจที่ถูกต้องได้ ให้เกิดความอุ่นใจ ไม่หลงใหลไปตามกระแสข่าวลือ ที่น่าเป็นห่วงบ้านเมืองยุคนี้ยิ่งนัก
คนไม่เรียนกฎหมาย ทำความเข้าใจเอง ฟังความข้างเดียว แล้วก็คิดเองตัดสินใจเอง ทั้งที่ไม่ได้เรียน ไม่ได้รู้สึกซึ้งว่า กฎหมายทุกฉบับทุกมาตรานั้น มีหลักนิติธรรม หรือ Rule of Law หรือ แปลภาษาชาวบ้านว่า หลักกฎหมายของกฎหมายคุ้มครองอยู่
วันนี้ผมอยากจะอธิบายเรื่องหลักนิติธรรมนี้ เพราะแม้เรามีกฎหมายระบุชัดแจ้งแล้ว แต่วันนี้คนในประเทศไทยส่วนหนึ่ง กำลังทำตัวเป็นผู้พิพากษาศาลเตี้ย ศาลที่ไม่เคารพหลักกฎหมาย ศาสที่ตัดสินตามอำเภอใจ ตามกระแสสังคม ทำตัวเหนือกฎหมาย
นั่นคือกระบวนการไล่ล่าเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย พยายามจะหาความผิด พยายามเอาแว่นขยายมาส่องให้พบความผิด โดยมีกระบวนการของรัฐร่วมมือด้วยอย่างน่าประหลาด ด้วยความเกรงกลัวต่อและอำนาจที่มืด ที่ถูกปลุกระดมให้ทำผิดกฎหมายมาตลอดหนึ่งปี
ทั้งๆ ที่วันนี้นี้ เรื่องก็เข้าสู่กระบวนการศาลยุติธรรมถูกต้องแล้ว แต่ขบวนการไล่ล่าเหมือนหมาไล่เนื้อ กระหายเลือดนี้ก็ยังไม่หยุด อ้างว่าเมื่อฟ้องศาลแล้ว แสดงว่ามีความผิด ต้องถอดถอนหรือปลดเจ้าอาวาสจากตำแหน่งหน้าที่ และก็อ้างกฎหมายสงฆ์ มาตรา 56 ซึ่งมีข้อความดังนี้
"พระสังฆาธิการรูปใด ต้องอธิกรณ์ หรือถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีอาญา และอยู่ในระหว่างพิจารณาวินิจฉัย หรือมีกรณีต้องหาว่า ละเมิดจริยาอย่างร้ายแรง และอยู่ในระหว่างสอบสวน ถ้าผู้บังคับบัญชาใกล้ชิดเห็นว่า จะให้คงอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ในระหว่างการพิจารณา หรือสอบสวน จะเป็นการเสียหายแก่การคณะสงฆ์ จะสั่งให้พักตำแหน่งหน้าที่ก็ได้"
คำที่สำคัญก็คือ ถ้าเห็นว่าจะเป็นการเสียหายแก่การคณะสงฆ์ มิใช่เสียหายต่อวัด หรือต่อคนอื่น ต้องเป็นคณะสงฆ์โดยส่วนรวม ซึ่งในกรณีนี้คดีที่ท่าน ถูกกล่าวหาก็ยังมิได้มีการตัดสินการกล่าวหา ก็ยังถือเป็นเพียงข้อกล่าวหาที่ต้องมีการพิสูจน์ และท่านก็เป็นเจ้าอาวาสอยู่ก็มิได้ กระทำสิ่งใดที่เสียหายต่อคณะสงฆ์ แม้กฎนิคหกรรมก็ตกไปแล้ว เหลือแต่คดีทางศาลทางโลกที่สู้กันอยู่
หลวงพ่อท่านก็ทำแต่ความดีให้กับวัด สร้างวัดขยายวัดจนใหญ่โต มีคนเข้าวัดเป็นระเบียบนับแสนคน ท่านมิได้ทำอะไรให้เสียหาย ทั้งวัดเอง และชาววัดที่ร่วมทำบุญมาโดยตลอด ซึ่งควรจะเป็นผู้เสียหายก็มิได้มีใครกล่าวโทษแต่อย่างใด มีแต่ชื่นชมและศรัทธา
มีแต่คนนอกวัด คนไม่ทำบุญ คนอิจฉาริษยา บุคคลที่มีความประพฤติน่ารังเกียจ ออกอากาศกล่าวร้ายอย่างผิดกฎหมายต่อสาธารณชน ทำตัวเป็นผู้พิพากษา ตั้งข้อหาเอง ตัดสินเอง โดยไม่เกรงอาญาบ้านเมือง กลายเป็นกระแสบาปที่ไหลบ่าท่วมเมือง แต่ที่สำคัญคือกฎหมาย ซึ่งถือเป็นหลักกฎหมายของประเทศ เป็นหลักนิติธรรมของทุกกฎหมาย คือกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 33 ระบุไว้ชัดดังนี้
"ในคดีอาญา ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้ต้องหา หรือจำเลยไม่มีความผิด" ก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุด แสดงว่าบุคคลใดกระทำความผิดจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้น เป็นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้"
ครับ ชัดเจนแจ่มแจ้ง ไม่ต้องอธิบายต่อ ผมถึงชอบใจท่านกิตติวุฑโฒที่ใช้คำพูดที่เหมาะสมอย่างยิ่งต่อผู้กล่าวร้าย ท่านว่า พูดจนเข้าใจง่ายๆ ไม่ต้องแปลแล้วยังทำเป็นไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าเป็นคนได้หรือเปล่า ท่านก็เลยให้คำจำกัดความไปให้เจ็บปวดจนหน้าชา
เพราะฉะนั้น เมื่อหลักกฎหมายชัดเจนอย่างนี้ ต้องให้ผมแปลอีกไหมครับ หรือจะให้ด่าอย่างท่านบ้าง ระวังนะครับ มีคนเซ็นชื่อไว้แล้ว เกินห้าหมื่นคน ถูกหลักประชามติ หรือ Referendum สิทธิตามรัฐธรรมนูญใหม่ทุกประการ เป็นหลักกฎหมายใหม่สุด ที่ถูกท้าทายขณะนี้
วันนี้ชาวกัลยาณมิตร ผู้ยืนหยัดรักษาความดีมาตลอดหนึ่งปี อดทน อดกลั้น อ่อนน้อม รักษาศีล ทำแต่ความดี เพื่อร่วมสร้างบารมีอันยิ่งใหญ่ โดยไม่หวั่นไหว แม้จะถูกรังเกียจเหยียดหยาม ถูกประนาม ถูกเยาะเย้ยถากถาง แต่เราก็ยังภูมิใจที่เป็นคนไทย และเชื่อมั่นในกฎแห่งกรรม แต่ถ้าจำเป็นก็ขอใช้สิทธิแห่งความเป็นคนไทย เจ้าของประเทศไทยเต็มตัว และอย่างถูกวิธี
กาขาว