ปีที่ 2 ฉบับที่ 817 ประจำวันศุกร์ที่ 8 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2542 |
ใครทำลายพระพุทธศาสนา กิจกรรมถนัดของคณะกรรมาธิการศาสนา ที่มี อำนวย สุวรรณคีรี เกี่ยวก้อย กับ กุเทพ ใสกระจ่างเป็นแม่งานตั้งโต๊ะเสวนาที่ห้องโถง อาคารรัฐสภา มีวิทยากรรับเชิญ อาทิ เสฐียรพงษ์ วรรณปก พ.อ.(พิเศษ) ทองขาว พ่วงรอดพันธุ์ และพระพิศาลธรรมวาที
ผมรู้สึกไม่สบายใจ โดยเฉพาะข้อกล่าวหาของ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ที่ระบุว่า นสพ.พิมพ์ไทยดูหมิ่นจ้วงจาบ สมเด็จพระสังฆราช ต้องเรียนตามตรงว่า ผมยินดีที่จะแก้ไข หากคนที่เป็นถึงราชบัณฑิตจะชี้แนะ
แต่อย่ากล่าวหากันลอยๆ อย่างนี้ มันไม่งาม และไม่แฟร์
การจ้วงจาบสมเด็จพระสังฆราช ตามที่เสฐียรพงษ์กล่าวหา กองบรรณาธิการพิมพ์ไทยนั้น ผมเข้าใจว่า น่ามาจากเรื่องพระลิขิต ของสมเด็จพระสังฆราช
ทำไมเราจึงมีมุมมองเกี่ยวกับพระลิขิตต่างไปจากสื่อมวลชนฉบับอื่น
ผมตอบได้ทันทีเลยครับว่า วันแรกที่มีพระลิขิตออกมา สมเด็จพระสังฆราชท่านทรงประชวร และก็ไม่ได้ประทับอยู่ที่วัดบวรนิเวศฯ ด้วย
เป็นธรรมดาของคนข่าว ที่จะพยายามขุดคุ้ยข้อมูลต่างๆ เพื่อให้ข่าวนั้นๆ ออกมาสมบูรณ์ ชัดเจน และถูกต้องที่สุด
ผมเป็นผู้ที่โทรศัพท์ไปสอบถามพระอาจารย์ ท่านเจ้าคุณมงคล ในฐานะที่ท่านเป็นเลขาฯ คอยสนองงานของสมเด็จพระสังฆราช
ท่านก็เอ็ดผม ว่าเบื่อที่จะรับสายโทรศัพท์นักข่าวที่พุ่งเป้าถามท่านแต่เรื่องพระลิขิต
คำตอบที่ผมได้รับครั้งนั้นคืออะไร?
ผมย้ำอีกทีก็ได้
ท่านเจ้าคุณมงคลปฏิเสธไม่มีส่วนรู้เห็นถึงพระลิขิตดังกล่าว
"กูไม่รู้ กูไม่เห็น พระลิขิตอะไร"
จะไม่ให้คนข่าวอย่างเราตั้งคำถามในใจอีกมากมายไปได้อย่างไร
โดยเฉพาะเรื่องใหญ่โตอย่างนี้ ทำไมพระเลขาฯ จึงไม่รู้
จนมีพระทำหนังสือให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบว่า พระลิขิตที่ออกมานั้นเป็นของจริง หรือของปลอม
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็นผู้เข้าไปสอบถามเรื่องดังกล่าวกับ ม.ล.จิตติ นพวงศ์ ศิษย์ห้องกระจก ก็ถูกตอกหน้าออกมาว่า เป็นการไม่บังควรอย่างยิ่ง
ในที่สุดการสอบถึงที่ไปที่มาของพระลิขิต ก็จบลงอย่างง่ายดาย ด้วยกระดาษรับรองเพียงใบเดียวว่า เป็น "พระลิขิตจริง"
ที่ออกโดยเจ้าคุณราชรัตนมงคล พระเลขาฯ ผู้สนองงานของสมเด็จพระสังฆราช เป็นพระรูปเดียวที่เคยปฏิเสธ ไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับพระลิขิตใดๆ ทั้งสิ้น
เรื่องพระลิขิต มีที่มาที่ไปอย่างนี้ครับ
เสฐียรพงษ์ ข้อมูลทั้งหลายที่ปรากฏบนกระดาษแผ่นนี้ คือความสัตย์จริง
ไม่มีใครบ้าอย่างที่ เสฐียรพงษ์ พูดแน่ๆ
โดยเฉพาะคนข่าวพิมพ์ไทย
คนบ้า น่าจะเป็นคนที่ด่วนสรุปแบบไร้สมอง ไร้กึ๋น ไม่มีสติปัญญาที่จะคิดอ่านเอง อาศัย กระแสพวกมากลากไปเท่านั้น
ความรู้สึก จิตสำนึกอย่างนั้น เป็นตัวชักพาประเทศชาติให้ฉิบหายมานักต่อนักแล้ว
สังคมวิปริตไปเสียแล้ว แค่มีความเห็นที่แตกต่างไปจากผู้อื่น เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง เมื่อมีการรับรองพิสูจน์แล้ว ก็ถือว่าจบไป อาชีพสื่อมวลชน มีหน้าที่ทำความจริงให้กระจ่าง ไม่ใช่เฮไหนเฮกัน อาชีพนักข่าวเป็นอาชีพที่ขายความเป็นจริง จะโกหกตอแหลหลอกลวงประชาชน คงไปได้ไม่กี่น้ำ
สักวันหนึ่ง ความจริงต้องปรากฏ
ผมปลื้มใจที่เห็นเสฐียรพงษ์ ประกาศอุ้มชูสมเด็จพระสังฆราช กลางโต๊ะเสวนา และขอให้ทำหน้าที่ตรงนี้ อย่าได้สั่นไหวตามอารมณ์จริตของตัวเองจนเกินไป โดยเฉพาะประเด็นการแก้ไขปัญหาวัดพระธรรมกาย ที่เสฐียรพงษ์ ยอมรับว่า
"ต้องหาวิธีแก้ไขปัญหาธรรมกายให้จงได้ ไม่ว่าจะเป็นวิธีใดก็ตาม ให้สังฆราชทรงลาออกจากตำแหน่งประมุขสงฆ์"
บทบาทอย่างนี้ ราชบัณฑิตที่ประกาศตัวปกป้องพระพุทธศาสนา เชิดชูพระสังฆราช คงต้องกลับไปสำรวจจุดยืนของตัวเองเสียใหม่
เพราะพูดจาไม่ค่อยจะคงที่สักเท่าไหร่
เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ชาวพุทธไม่ถือสากันหรือครับ แต่เรื่องใหญ่ถึงขั้นต้องปลดพระสังฆราช คงไม่มีใครยอมแน่
ใครจะทำลายพระพุทธศาสนา ไม่ต้องไปเสียเวลาหาให้เมื่อตาตุ่ม สูเจ้าจงรู้ไว้เถิดว่า ขณะนี้ ศาสนาอื่นเขาสะใจแล้ว ที่เห็นชาวพุทธเกิดความระส่ำระสาย แม้แต่พระยังมีการแบ่งพรรคแบ่งพวก เขาไม่สนใจกับวิบากกรรมของเราหรอก เดินหน้าขายความศักดิ์สิทธิ์ ของพระเจ้าสนุกสนาน
เศร้าสุด คนยากจนทางอีสาน ไม่มีจะกิน ต้องเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่น เข้าโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ เห็นพระจะก้มกราบก็ทำไม่ได้ เพราะตนไปนับถือศาสนาอื่น เพื่อแลกกับเศษเงินเป็นค่าเลี้ยงชีพไปวันๆ เศร้าใจไหมครับชาวพุทธ
สงฆ์เองยังไร้สมรรถภาพ ต้องวิ่งเอาศีล 227 ข้อ มาพินอบพิเทา ขอความช่วยเหลือจากฆราวาสหัวหงอก หัวดำ ไตรสิกขาของพระเหล่านั้นอยู่ที่ไหนหนอ
จะทำอะไรเพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ไม่มีใครว่าอะไรหรอกครับ กลับกัน จะมีแต่เสียงสรรเสริญเยินยอ แต่การปกป้องนั้น ต้องไม่ก้าวล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น จะแก้ปัญหาธรรมกาย ก็พากันไปด่ามหาเถรสมาคมหมดสภาพ เป็นมาเฟียอุ้มช่วยเหลือกันนั้น ถูกต้องแล้วหรือ
พระรูปไหนอยากจะเป็นคณะกรรมการมหาเถรสมาคม ก็เสนอชื่อเข้ามารณรงค์หาเสียง ประกาศนโยบายให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเสียเลย กำหนดเขตเลือกตั้ง ตามครรลองประชาธิปไตยไปเสียเลย
จะได้เล่นการเมืองให้สะใจดังหวัง ไม่ผิดพระธรรมวินัยที่ว่า พระห้ามข้องเกี่ยวกับการเมืองด้วย
มหาบุญถึง สนใจก็เสนอผ่าน อำนวย สุวรรณคีรี ไปซิ เห็นแทงกั๊กอยู่นานแล้ว และโปรดอย่านำสถาบันมหาวิทยาลัยสงฆ์มาบังหน้า สร้างภาพให้ตัวเองเคลื่อนไหวในนามบุคคลหรือมจร. บอกมาให้ชัด
ที่ว่าไม่ผิดพระธรรมวินัย พระเล่นการเมืองนั้น อย่าเพิ่งด่าว่าผมลบหลู่พระธรรมวินัยไปเสียล่ะ เป็นเพียงแต่ไอเดียของผม ที่ต้องการจะสนองความอยากของพระบางรูป ที่อยากมีอำนาจในการบริหารคณะสงฆ์ ก็ลงมาเล่นการเมืองสงฆ์ซิครับ พระคุณเจ้าเลียนแบบนักการเมือง เพียงแต่เปลี่ยนกฎระเบียบนิดหน่อย
ชอบวิทยาการความเติบโตทางโลกอยู่เป็นทุนแล้ว คงไม่ใช่ปัญหาหนักแน่นอะไร หากจะนำมาประยุกต์ใช้
วันวานน้องๆ พิมพ์ไทย เดินเกือบจะชนกับ พ.อ. (พิเศษ) ทองขาว ก็เลยถือโอกาสทักทายกันที่หน้ารัฐสภาฯ ถาม น้าทองขาว ยังไม่เหนื่อยรึ อ่านข่าวออนแอร์ด่าพิมพ์ไทยทุกวัน ใจกว้างหน่อยซิครับ กับความเห็นที่แตกต่าง
คนเคยบวชเรียนมาแล้ว ควรนำธรรมะของพุทธองค์มาดำเนินชีวิตเสียบ้าง อย่าให้เด็กร่นลูกตำหนิได้ว่า ลืมบุญคุณข้าวก้นบาตรเลยครับ
โซตัส