<กลับหน้าแรก>
- ประโยชน์จากสมาธิ-
<กลับหน้าแรก>
สมาธิคือจุดสิ้นสุดของการแสวงหา
เพื่อเป็นการสนันสนุนการเข้าถึงธรรมะของเหล่ากัลยาณมิตร มูลนิธิธรรมกายจึงจัดให้มีการปฏิบัติธรรมขึ้น
โดยโครงการปฏิบัติธรรมพิเศษ จัดการปฏิบัติธรรมนอกสถานที่ ในพื้นที่ของจังหวัดเชียงใหม่
โครงการฯ นี้
ได้จัดอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 จนถึงปัจจุบัน มีการจัดมาแล้ว
200 กว่ารุ่น รุ่นละ 1 สัปดาห์
มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ แล้วกว่า 20,000 คน การได้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมถือว่าเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด
ท่านจะได้พักทั้งกายและใจตลอดเวลา 1 สัปดาห์ โดยมีพระอาจารย์และพี่เลี้ยงให้คำแนะนำในการปฏิบัติธรรม
พร้อมทั้งอาหาร และที่พักที่สะดวก สบาย เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม ท่ามกลางอากาศที่บริสุทธิ์สดชื่น
ในอ้อมกอด
ของแมกไม้และขุนเขาแห่งแดนล้านนา
อานิสงส์ของการเจริญภาวนา
เรียบเรียงจาก พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรมเรื่อง
อานิสงส์ของการเจริญสมาธิภาวนา
โดย พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
๑. ได้รับความสุขที่แท้จริง
๒. ได้ฌานสมาบัติ
๓. ได้วิปัสสนา
๔. ได้นิโรธสมาบัติ
๕. เข้าถึงภพอันวิเศษ (พระนิพพาน)
ความสุขที่แท้จริง
ตื่นเป็นสุข หลับเป็นสุข นั่งยืนเดินนอนเป็นสุข นี่คือความสุขที่มนุษย์ปรารถนา
โดยเอาสมาธิเป็นจุดกลาง เชื่อมโยง ในอริยาบทหรือกิจกรรมต่างๆ พอหยุดเข้าไปภายในอยู่กับเนื้อกับตัว
ในโลกส่วนตัวของเรา ยาววา หนาคืบ กว้างศอกนี้ ที่กึ่งกลางกายเราจะพบความมหัศจรรย์
ว่าแหล่งกำเนิดความสุขทั้งมวลที่เราปรารถนานั้น จริงๆ แล้วอยู่ในกลางกายนั่นเอง
ซึ่งเป็นที่ตั้งของใจ เมื่อใจของเรากลับมาสู่ที่ตั้งดั้งเดิม ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดความสุข
เราจะพบความสุขที่แท้จริง แตกต่างจากสิ่งที่เราเคยเจอ เราจะเปรียบเทียบได้ว่า
สิ่งที่เราเคยเจอเป็นเพียงแค่ความสนุก ความเพลินชั่วครั้งชั่วคราว
เป็นความสุขเพียงเล็กน้อย ไม่ใช่ความสุขอันยิ่งใหญ่หรือความสุขที่เราปรารถนา
สังเกตได้ว่าเราเบื่อง่าย ไม่ว่าจะได้ของถูกใจ คนถูกใจ จะถูกใจแค่ประเดี๋ยวเดียว
ต้องแสวงหาสิ่งที่อยู่ในอุดมคติของเรา คน สัตว์ สิ่งของ ในอุดมคติที่จะให้เราได้เข้าถึงความสุขที่แท้จริง
ถึงความเต็มเปี่ยมของชีวิต ที่มีความสุขที่สมบูรณ์ ๑๐๐ เปอร์เซนต์
จะสังเกตได้ว่า เมื่อเรายังไม่เจอความสุขที่แท้จริง ใจก็เปลี่ยนเรื่อย
การเปลี่ยนแปลงก็คือการแสวงหานั่นเอง แสวงหาสิ่งที่ดีกว่าประณีตกว่า
ประเสริฐกว่า จนกระทั่งถึงที่สุดไม่ต้องแสวงหา คือเข้าถึงความสุขที่แท้จริงแล้วไม่ต้องไปแสวงหาอะไร
แต่ความรู้ของเราน้อย เกิดมาในโลกนี้เจอะเจออะไรก็ตาม ที่มีอยู่ ที่เป็นอยู่
เราเข้าใจว่าสิ่งที่มีสิ่งที่เป็นนั้น เป็นสิ่งที่ทำให้เข้าถึงความสุขที่แท้จริงได้
เราจึงอยากได้ อยากมี อยากเป็นอย่างนั้น แสวงหาอย่างนั้น ทุ่มเทไปทั้งชีวิตทีเดียว
โดยเข้าใจผิดๆ ว่าสิ่งนี้จะให้ความสมบูรณ์แก่ชีวิต ที่เป็นอย่างนี้เพราะว่าชีวิตของเรายังไม่สมบูรณ์
รู้ครึ่งๆ กลางๆ ดังนั้นเราจึงเบื่อง่าย พอเบื่อก็เปลี่ยนแปลงแสวงหา
มีคนนี้ก็คิดว่าคนนี้จะให้ความสุข พอเจอเข้าจริงๆ สุขนิดเดียวทุกข์เยอะ
ต้องแก้ปัญหา ต้องเปลี่ยนคนใหม่ มีของสิ่งนี้ว่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความสุขบันเทิงใจ
ได้ประเดี๋ยวเดียวก็เบื่อ เปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนรถใหม่ เปลี่ยนแหวนใหม่
เปลี่ยนของใหม่ เปลี่ยนบ้านใหม่ เปลี่ยนกันไปเรื่อยๆ การเปลี่ยนแปลงก็คือการแสวงหา
นั่นคือสัญญาณ แสดงให้เรารู้ว่าเรายังไม่พบของจริง เมื่อใจของเรากลับมาสู่ที่ตั้งดั้งเดิม
ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดความสุขที่แท้จริงภายใน ทำความเห็น ความจำ ความคิด
ความรู้ หยุดเป็นจุดเดียวที่กลางกาย จะทำให้เราพบความสุขที่แท้จริงได้
ซึ่งแตกต่างจากเดิม ใครเข้าถึงก็จะรู้ได้ด้วยตัวของตัวเอง เป็นปัจจัตตัง
เป็นอารมณ์ที่แปลกแตกต่างจากเดิม โล่ง โปร่ง เบา สบาย ใจขยาย เป็นอิสระ
ไม่มีขอบเขต เมื่อใจหยุดนิ่งถูกส่วนในกลางกาย ใจจะหลุด จากที่แคบ แล้วขยาย
โล่ง โปร่ง เบา สบาย ขยาย กว้างขวางเบิกบาน ไปเรื่อยๆ ฉะนั้นวัตถุประสงค์เบื้องต้นของการทำภาวนา
ก็คือ เข้าถึงความสุข เมื่อเราเข้ามาสู่แหล่งของความสุขภายในที่แท้จริงบ่อยๆ
อยู่กับสิ่งนี้บ่อยๆ เวลาเราทำกิจกรรมใดๆ ก็ตาม ในอิริยาบทต่างๆ จะนั่ง
จะนอน จะยืน จะกิน ดื่ม ทำ พูด คิด หยุด นิ่ง ลิ้มรส เหยียดแขน คู้แขน
หรือจะทำอะไรก็แล้วแต่ ก็มีความสุข เพราะใจมีความสุข ใจเหมือนแผ่นดิน
เป็นที่รองรับทุกสิ่ง ทั้งคน ทั้งสัตว์ ทั้งสิ่งของ รองรับอารมณ์ต่างๆ
ทั้งมวล ถ้าใจดี อารมณ์ดี อารมณ์สบาย อะไรๆ ก็เป็นสุข ถ้าใจไม่สบาย
นั่งก็ไม่เป็นสุข จะยืน จะเดิน จะนอน ก็ไม่เป็นสุข เพราะว่าใจไม่เป็นสุข
ใจยังป่วย ใจยังไม่สบาย เมื่อใจกลับไปสู่แหล่งของความสุขภายใน มีความสบายมีความสุข
ความสุขนั้นขยาย เอิบอาบไปทุกส่วนของร่างกาย ทุกอณู ทุกเซลล์ของร่างกาย
ไม่ว่าจะนั่ง จะยืน จะเดิน จะนอน ก็เป็นสุข ที่นั่งมีเพียงแค่อาสนะบางๆ
มีพื้นที่แค่ 1 ตารางเมตร ที่ยืน ที่นอนก็เช่นเดียวกัน แม้ไม่ได้ปูลาดด้วยสิ่งที่อ่อนนุ่มประณีต
แต่ก็มีความสุข
ฌานสมาบัติ
เมื่อใจหยุดไปเรื่อยๆ ไม่ช้าก็จะเข้าถึง ฌานสมาบัติ
พบกายต่างๆ ที่อยู่ภายใน กายต่างๆ ที่ซ้อนกันอยู่ เราจะเข้าถึงกายที่เป็นที่ตั้งแห่งปฐมฌาน
ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตฌาน เข้าถึงความเป็นหนึ่ง มีอารมณ์เดียว อารมณ์ที่เป็นสุข
นิ่งแน่น เบิกบานอยู่ภายใน ในกายต่างๆ นั่นคือจะได้ฌานสมาบัติ มีอารมณ์เดียว
บุคคคลใดก็ตามมีอารมณ์ดี อารมณ์เดียว อารมณ์ที่สบาย บุคคลนั้นได้ชื่อว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งทีเดียว
เพราะอารมณ์ดี อารมณ์สบาย เป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก จะมีอยู่ได้เฉพาะบุคคลที่มีใจหยุดที่สมบูรณ์แล้ว
เข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด หยุดอยู่ในกลางกายมนุษย์ละเอียด เข้าถึงกายทิพย์
หยุดอยู่ในกลางกายทิพย์ เข้าถึงกายพรหม หยุดอยู่ในกลางกายพรหม เข้าถึงกายอรูปพรหม
เข้าถึงกายต่างๆที่ซ้อนอยู่ภายใน ซึ่งเป็นที่ตั้งของรูปฌานสมาบัติ
และอรูปฌานสมาบัติ เมื่อหยุดอย่างนั้นได้แล้ว อารมณ์เป็นสุขมีอารมณ์เดียว
ไม่ซัดส่าย ไม่คลอนแคลนเหมือนภูเขาแท่งทึบ ลมพัดมาทุกทิศทุกทางก็ไม่ทำให้หวั่นไหวได้
ฉะนั้นอารมณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา จะกระทบกระเทือนให้เกิดความยินดียินร้ายจะไม่เกิดขึ้น
มีอารมณ์สบายอยู่สม่ำเสมอ เป็นนิจ นี่คือคุณสมบัติของผู้ได้ฌานสมาบัติ
วิปัสสนา
วิปัสสนาแปลว่าการเห็นแจ้ง เห็นอย่างวิเศษ ความไม่รู้จริงอันใดทั้งในอดีตก็ดี
ปัจจุบันก็ดี หรือในอนาคตก็ดี เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของตัวเรา ตั้งแต่ตัวเราคือใคร
ประกอบไปด้วยอะไร มาจากไหน มาทำไม อะไรคือเป้าหมายของชีวิต อะไรคืออุปสรรคของชีวิต
และได้บรรลุเป้าหมายชีวิตนั้นแล้ว เห็นอย่างนี้เรียกว่าวิปัสสนา เมื่อใจหยุดต่อไปอีก
จะเข้าถึงกายธรรม ถึงพุทธรัตนะ ถึงธรรมรัตนะ ถึงสังฆรัตนะ มีความเห็นเป็นปกติ
มีความรู้เป็นปกติ เห็นไปตามความเป็นจริง รู้ไปตามความเป็นจริงด้วยธรรมจักขุ
รู้ด้วยญาณทัสสนะ เห็นด้วยธรรมจักขุของธรรมกาย เห็นไปตามปกติ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรว่า
จักขุกรณี ญาณกรณี อุปปสมายะ อภิญญาญะ นิพพานายะ คือเห็นเป็นปกติ เห็นไปตามความเป็นจริง
สิ่งใดที่ไม่เที่ยงก็เห็นว่าไม่เที่ยง สิ่งใดเที่ยงก็เห็นว่าเที่ยง
สิ่งใดเป็นสุขก็เห็นว่าเป็นสุข สิ่งใดเป็นทุกข์เห็นว่าเป็นทุกข์ เห็นตลอดหมด
ไม่เห็นครึ่งๆ กลางๆ ไม่มีความรู้ครึ่งๆ กลางๆ เมื่อใจหยุดนิ่งเข้าถึงธรรมกายดีแล้วธรรมกายขยายส่วน
ตกวูบขยายครอบคลุม นิพพาน ภพสาม โลกันต์ คลุมหมด กระแสข่ายแห่งญาณขยายออกไปไม่มีที่สิ้นสุด
อายตนะนิพพานก็ดี ภพสามก็ดี โลกันต์ก็ดี อยู่ในข่ายแห่งญาณทัสสนะของพระธรรมกายหมด
ในอายตนะนิพพานมีอะไรเห็นหมด ปฏิปทาที่ทำให้เข้าถึง เข้าถึงแล้วมีอารมณ์บรมสุขอย่างไรก็ได้รู้
ได้เห็น ได้สัมผัส ญาณครอบคลุมไปในภพทั้งสาม ในกามภพ ในรูปภพ ในอรูปภพ
อรูปพรหมเป็นอย่างไร พรหมเป็นอย่างไร ชาวสวรรค์เป็นอย่างไร กระทั่งอากาศเทวา
รุกขเทวา ภุมเทวา มนุษย์ ภูมิของสัตว์โลก สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย
สัตว์นรก ทั่วถึงหมดในสามสิบเอ็ดภูมิ ที่อยู่ในภพทั้งสาม อยู่ในข่ายของ
ญาณทัศนะของธรรมกายหมด ธรรมจักขุของธรรมกายมองเห็นตลอดหมด ญาณทัสสนะครอบคลุมหมด
เหมือนดึงของที่อยู่ในที่มืด ออกมาในที่แจ้ง เมื่อเข้าถึงธรรมกายแล้วแสงสว่างบังเกิดขึ้น
คลอบคลุมไปถึงไหนก็เห็นไปถึงนั่น เห็นถึงไหนก็รู้ถึงนั่น อย่างนี้เรียกว่าเห็นเป็นปกติ
ที่เรียกว่าจักขุกรณี ญาณกรณี รู้เป็นปกติ เป็นไปตามความเป็นจริง อภิญญาญะเป็นความรู้ยิ่ง
ที่ยิ่งกว่าความรู้ที่เรานึกคิด จินตนาการ หรือได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน
คือความรู้ที่เกิดจากความเห็น " สัมโพธายะ " รู้ทั่วถึงหมด
เพราะว่าธรรมจักขุเมื่อเกิดขึ้นแล้ว มีความเห็นได้รอบตัว ทุกทิศทุกทาง
ซ้ายขวา หน้าหลัง ล่างบน เห็นตลอดหมด นี่เป็นสิ่งที่แปลกทีเดียว "
นิพพานายะ " เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ บรรลุพระนิพพานถึงบรมสุข
มองทะลุไปถึงโลกันต์ โลกันต์ที่อยู่นอกภพสาม มองทะลุไปหมด เพราะฉะนั้น
" วิปัสสนา " แปลว่าการเห็นแจ้ง เห็นแตกต่างจากสิ่งที่เคยเห็น
เห็นว่าตัวเราคือใคร ภูมิวิปัสสนา ขันธ์ห้า อายตนะสิบสอง ธาตุสิบแปด
อินทรีย์ยี่สิบสอง อริยสัจสี่ ปฏิจจสมุปบาท เป็นภูมิรู้ของพระบรมศาสดา
นิโรธสมาบัติ
นิโรธสมาบัติจะบังเกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ ๑๐๐ เปอร์เซนต์
เมื่อใจนั้นล่อนจากกิเลสอาสวะทั้งมวล ความโลภ ความโกรธ ความหลง กิเลสสามตระกูลนี้
ล่อนหมด สังโยชน์เบื้องต่ำ เบื้องสูง หลุดล่อนหมด ใจล่อนใส กระจ่าง
สว่าง เต็มเปี่ยม ใจไม่มีอะไรเหนี่ยวรั้งเลย ธรรมกายจะเดินสมาบัติหยุดในหยุด
ไปเรื่อยๆ นิโรธะ แปลว่าหยุด แต่เป็นการหยุดที่แตกต่าง ที่เราเคยเจอ
คือหยุดแล้วเคลื่อนเข้าไปสู่ภายใน ไปสู่แหล่งแห่งบรมสุขยิ่งๆ ขึ้นไป
หยุดครั้งหนึ่ง ตกศูนย์วูบไปที ถึงธรรมกาย ที่ละเอียดไปเรื่อยๆ เข้าถึงอายตนนิพพานภายใน
ถึงสอุปาทิเสสนิพพานภายใน นิพพานของธรรมกายที่อยู่ภายใน หยุดต่อไปอีกก็เห็นนิพพานต่อไปอีก
เห็นธรรมกายที่ซ้อนๆ กันไปเรื่อยๆ ขอบข่ายของจักขุกรณี ญาณกรณี การเห็นก็ดี
ญาณทัสสนะก็ดี ขยายกว้างออกไปอีก หยุดในหยุด อย่างนี้เรื่อยๆ ไปไม่ถอนถอย
หยุดไป ดูดวูบเข้าไปทั้งเนื้อทั้งตัว จากธรรมกายองค์นี้ก็หลุดวูบไปเป็นธรรมกายอีกองค์หนึ่ง
หลุดเป็นชั้นๆ ไปนับชั้นไม่ถ้วน ๗ วัน ๗ คืนไม่ถอนถอยเลย เพราะว่าไม่มีกิเลสมาเหนี่ยวรั้ง
มีความสุขมาก มีบุญมาก มีอานุภาพมาก ใครทำบุญกับผู้ที่หยุดตลอด ๗ วัน
๗ คืน ที่หลุดล่อนจากกิเลสได้อย่างนี้ ได้ผลทันตาเห็น บุญศักสิทธิ์
หลั่งไหลมาจากแหล่งของบุญศักดิ์สิทธิ์
ภพอันวิเศษ
ภพอันวิเศษหมายถึงอายตนนิพพาน ซึ่งวิเศษกว่าภพทั้งปวง
คือในที่สุดแล้วจะได้ไปอยู่ อนุปาทิเสสนิพพาน ดังนั้นการทำสมาธิภาวนาไม่ใช่ของเล่นๆ
ที่หลวงพ่อวัดปากน้ำว่าไม่ใช่ของพอดีพอร้าย เป็นของที่สำคัญที่สุดสำหรับชีวิตมนุษย์ทีเดียว
|