![]() |
ภูสอยดาว บันทึกการเดินทาง 10 - 11 กย.2547 |
เมนูหลัก | |
ภาพแรกที่พบเห็นบนลานสน ป้ายยืนยันว่ามาจริงๆนะ นี่คือเวลาบ่ายสอง ป้ายเขตแดนไทยลาว |
หน้าสาม ลานสนเป็นคล้ายๆสวนในบ้านเรา อืม....น่าจะสัก 30-50 ไร่ คือไม่ใหญ่มากแบบภูกระดึง ซึ่งแต่ละผาต้องเดินทางกันอย่างต่ำ 2 กิโลเมตร แต่ก็ไม่เล็กเหมือนสนามบอลรัชมังคลาฯ เค้าเป็นลานที่ไม่ราบเรียบนัก เป็นเนินลูกเล็กๆสลับกับที่ลุ่ม ราบบ้าง พื้นดินปูไปด้วยหญ้าและดอกหงอนนาค ความชุ่มชื้นของสายหมอกที่มาเป็นระยะๆ ทำให้เส้นทางเดินเปียกแฉะ สนยืนตะหง่านเรียงรายเว้นระยะห่างกันพองามตามธรรมชาติ สิ่งที่โชคดีที่สุดคือ ไม่มีทากมากวนใจ เราพบว่าเจ้าตุ๋มและรัตน์ได้ถึงที่นี่ตั้งแต่บ่ายโมงแล้ว ผมดูนาฬิกาคาสิโอ อืม... บ่ายสาม เราอยู่กับลานสนเมื่อกี้ไปนับชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว ผมได้พบเจอดิเรก น้องตัวใหญ่ที่ไปเที่ยวภูเข้ด้วยกันมา เค้าเพิ่งจะตื่น เราทักทายเหมือนรู้จักกันมาแรมปี ทั้งที่เจอะเจอกันเพียงครั้งเดียว แน่นอนความที่เราเคยร่วมทางลำบากมาด้วยกันทำให้มีความแน่นแฟ้นมากกว่าการพบปะแบบผิวเผินในเมืองกรุง ที่บ้านเจ้าหน้าที่หรือศูนย์บริการ เป็นบ้านยกพื้นหลังเล็กๆเก่าๆ โบราณ ที่นี่ไม่มีไฟฟ้านะ แต่ห้องน้ำเป็นส้วมซึม สะอาดดี ใครจะใช้บริการก็ต้องออกแรงไปตักน้ำเอง และแน่นอนที่ตักน้ำกิน อาบ อึ ที่เดียวกันคือลำธารหลังบ้านเจ้าหน้าที่นี่เอง สิ่งแรกที่ทำกันคือ เอาสัมภาระที่ลูกหาบเอามาถึงเมื่อชาติที่แล้ว เราจัดการเอาเต้นท์มาปักหลักหาที่นอนก่อน เจ้าตุ๋มเป็นแม่งานในการปักกรดตั้งเต้นท์ โห...พี่ ไม่ได้ทำความสะอาดเลยเหรอ เต้นท์น่ะ เออ ผมตอบตรงๆ คือข้างนอกเต้นท์ดูดีมีสกุลรุนชาติ แต่ในเต้นท์ยังกะ...แหม แค่มีเศษใบไม้และดินนิดหน่อย เอากระดาษทิชชู่สักม้วนสองม้วนเช็ดก็น่าจะหมดแล้ว ถ้าคุณบอกว่าไม่มีเวลา ลืม พอดีตอนนั้นไม่ได้ไปทำเอง ฝากเพื่อน คำถามก็ยังคงจะถามต่อไปเรื่อยๆว่า ทำไมๆๆฉะนั้นเหตุผลที่ดีที่สุดและเป็นคำตอบสุดท้ายก็คือ ขี้เกียจทำความสะอาดว่ะ ทุกคนก็จะไม่ถามต่อว่าทำไมถึงขี้เกียจ เรื่องนี้เป็นความจริงที่สุด เต้นท์ที่เอามาแบ่งกันคนละเต้นท์ ยกเว้นของสามสาวเต้นท์ใหญ่เต้นท์เดียว ผมคาดคะเนด้วยสายตาดู น่าจะมีนักเดินทางในวันนี้ไม่เกินร้อยคนนะ กลุ่มคซก.และผม เมื่อจัดที่จัดทางเต้นท์เสร็จ ก็วางสัมภาระใส่เต้นท์กัน เปลี่ยนรองเท้า นั่งพักสักประเดี๋ยวเดียว ก็ออกมาพบกันและนัดแนะทางกันว่าจะไปไหน สรุปคือ ออกเดินทางไปด้านตะวันออก คือทางหลังบ้านเจ้าหน้าที่ ข้ามลำธารเล็กๆ ไปลานสนฝั่งตะวันออก มีลักษณะไม่ต่างไปจากทางฝั่งตะวันตกอะไรมากนัก เพียงแต่รู้สึกว่ามันไกลกับผาที่จะชมตะวันตกดินเท่านั้นเอง คล้ายๆไม่ค่อยเจริญเหมือนฝั่งกรุงเทพกับฝั่งธนบุรีน่ะ ฝั่งตะวันออกนี้มีสิ่งที่เรามาดูกันคือ ยอดภูสอยดาวตัวจริงที่อยู่ในเขตแดนลาวตะหง่านอยู่ มีฉายาว่า ยอดสองพัน ความหมายตรงตัวคือสูงสองพันเมตร อีกอย่างคือป้ายหินอันใหญ่ หลักพรมแดนไทยลาวที่ 35 เขียนตัวหนังสือ 2 ฝั่งคือ ประเทศไทยอีกฝั่งคือ ลาว เป็นป้ายเดียว 2 ภาษาคล้ายๆทีวีบ้านเราในรุ่นใหม่ๆที่มี 2 ภาษาน่ะ ท่านสามารถฟังเสียงซาวแทรกส์ได้ในระบบไบลิงเกิ้ล ..... เราอาจจะเจอโฆษณาสินค้าระหว่างจอร์จกับซาร่าว่า โอ พระเจ้าจอร์จ มันยอดจริงๆในโหมดภาษาลาว่า ฮ่วย! จอร์จ คั่กหลายๆเด้อ .... สรุปว่า เราได้มีโอกาสเที่ยวต่างประเทศเป็นของแถมของทริปนี้ และที่นี่มีป้ายบอกทางไปโทรศัพท์รับคลื่นได้ แต่ต้องเดินเข้าลาวไป 500 เมตร เราๆไม่ค่อยจะกล้าเท่าไรนัก กลัวข้อหาหนีเข้าประเทศ เดี๋ยวจะยุ่งถึงระดับชาติกันเปล่าๆ 5 โมงกว่าๆ เราเดินย้อนทางมาที่ผาด้านตะวันตก เพื่อดูตะวันลับขอบฟ้ากัน มันคล้ายๆวิชาบังคับเวลาเราเรียนในมหาลัยน่ะ พอไปถึงก็พบช่างภาพจากหลายหลากอาชีพมาชุมนุมกัน นับได้เกือบ 10 หัวแน่ะ ฟ้าทางทิศตะวันตกเริ่มเปิดให้เห็นแสงทะลุผ่านมายังภูต่างๆแล้ว เราจึงรอกัน รอ รอ... และรอ เมฆ ยังคงเป็นมารร้ายคอยขัดขวางตะวัน ยังกะนางเอกละครบ้านเรา ที่กำลังโดนแกล้ง เราจึงคั่นรายการบ้างด้วยการถ่ายรูปกันเองเป็นที่ระลึกว่าได้มาที่นี่แล้วนะ เจ้าฝน ออ โบว์ที่ผมยังเรียกว่าโม ควั่กสเบียงสำรองจากเป้หลังเหมียวออกมากินกันอย่างสนุกสนานจนแทบจะลืมตะวันตะเวินหมด ผมคนเดียวที่ไม่มีเสื้อหนาวหรือผ้าคลุม ไม่ใช่เจ๋งนะ แต่ลืมเอามาจากบ้านน่ะ ไม่ไหว หนาวเอาเรื่องเหมือนกัน โดยเฉพาะตอนลมพัดเข้ามาหาใกล้ตะวันลับฟ้า 6 โมงแล้ว แสงอ่อนลงๆ.... 6 กว่าๆแล้ว แสงอ่อนลงเรื่อยๆ ความมืดเริ่มมาเยือน ท่าทางวันนี้ตะวันไม่ลับฟ้าให้เห็นแล้วล่ะ เพราะไม่เห็นตะวันตั้งแต่แรกแล้วนี่ ทำความผิดหวังกับคณะต่างๆที่ต้องกลับในวันพรุ่งนี้ ซึ่งในที่นี่มีพวกเราอยู่ด้วย อาหารเย็นในคืนนี้เต็มไปด้วยความทุลักทุเล ตั้งแต่ไม่มีเตา เหมียวไปยืมเตาเจ้าหน้าที่หน่อย สามสาวบอกเหมียวไป ครับผม ผมนึกไม่ออกเหมือนกันว่าเหมียวเป็นเพื่อนหรือคนรับใช้ส่วนตัวของเหล่าสามสาวกันแน่ แฮ่ะๆ แต่พอเราหยิบยืมเตาจากเจ้าหน้าที่ได้แล้ว ถ่านให้หุงก็ไม่มีอีก ท่าทางพวกเราจะเป็นคนไม่เอาถ่านจริงๆ ต้องเร่ไปหาฟืนไม้ผุเก่าๆตามลานสน หยิบได้ไม้ใหญ่บ้างเล็กบ้าง มากองสุมใกล้กับกองไฟของเจ้าหน้าที่ อย่าคิดว่าเราจะก่อไฟเป็นนะ เราไปขอไฟกับเจ้าหน้าที่ เพื่อหุงข้าวด้วยหม้อสนามที่หยิบยืมมาจากtkc เจ้าหน้าที่จึงสอนการหุงให้ แบบลองเคาะหม้อสนามดู ถ้าดังป๊อกๆก็สุก เอาขึ้นได้เลย แต่เห็นท่าทางบื้อๆของสองเรา กำช้อนกับเหมียวแล้ว เค้าคงสงสารก็เลยหุงให้ที่เตาของเจ้าหน้าที่ แต่ระหว่างที่กำลังหุง เจ้าหน้าที่เอาน้ำต้มมีดีกรีให้ดื่มแก้หนาวกับผมและแคท ก็ได้กันไป 2-3 จอก เราจะรู้ทันทีเลยว่าตอนนี้เจ้าน้ำต้ม ของเหลวนี้ไปอยู่ตรงไหนของร่างกาย เริ่มตั้งแต่ ปาก คอ จนถึงท้องไส้ ร้อนวูบๆ และแล้วเจ้าเหมียวคอยดูหม้อข้าวไป ตอดน้ำเมาไป ดูไปดูมา เจ้าข้าวในหม้อเราสุกบนไหม้ล่าง |