special article

ข้อคิดสำหรับศีลข้อที่หนึ่ง

ตัดตอนมาจากหนังสือ "ชุมนุมข้อคิดอิสระ" โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

..........ทำไมเราจึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์ (ในเมื่อไม่จำเป็น)? เพราะว่า เป็นการทำเพื่อยึดเอาประโยชน์ทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายธรรม เป็นการก้าวหน้าของสัมมาปฏิบัติอันหนึ่ง ซึ่งได้ผลมากแต่ลงทุนทางฝ่ายวัตถุน้อยที่สุด ไปมากอยู่ทางฝ่ายใจ ซึ่งจะแยกอธิบายดังนี้
ฝ่ายธรรมเช่น :
1. เป็นการเลี้ยงง่ายยิ่งขึ้น เพราะผักหาง่ายในหมู่คนยากจนเข็ญใจ มีการปรุงอาหารด้วยผักเป็นพื้น นักเสพผักย่อมไม่มีเวลาที่ต้องกระวนกระวายเพราะอาหารไม่ถูกปากเลย ส่วนนักเสพเนื้อต้องเลียบเคียงเพื่อได้อุทิศมังสะบ่อยๆ ทายกเสียไม่ได้โดยในที ก็พยายามหามาให้ ทายกที่มีใจเป็นกลางเคยปรารภกับข้าพเจ้าเองหลายต่อหลายนักแล้ว ว่าสามารถเลี้ยงพระได้ตั้ง 50 องค์ โดยไม่ต้องมีการรู้สึกลำบากอะไรเลย ถ้าไม่เกี่ยวกับปลากับเนื้อ ซึ่งบางคราวต้องฝืนใจทำไม่รู้ไม่ชี้กันมากๆ มิใช่เห็นแก่การที่มีราคาแพงกว่าผัก แต่เป็นเพราะรู้ดีว่ามันจะต้องถูกฆ่าเพื่อการเลี้ยงพระของเรา มีอีกหลายคนทีแรกที่ค้านว่า อาหารผักล้วนทำให้วุ่นวายลำบาก แต่เมื่อได้ลองเพียงสองสามครั้ง กลับสารภาพว่า เป็นการง่ายยิ่งกว่าง่าย เพราะบางคราวไม่ต้องติดไฟเลยก็มีตัณหาของนักเสพผักกับนักเสพเนื้อ มีแปลกกันอย่างไรจักกล่าวในข้อหลัง เฉพาะข้อนี้ขอจงทราบไว้ว่า คนกินเนื้อเพราะแพ้รสตัณหา, กินเพราะตัณหา, ไม่ใช่เพราะให้เลี้ยงง่าย
2. เป็นการฝึกในส่วนสัจธรรม คนเราห่างจากความพ้นทุกข์ เพราะมีนิสัยเหลวไหลต่อตัวเอง สัจจะในการกินผักเป็นแบบฝึกหัดที่น่าเพลิน บริสุทธิ์สะอาด ได้ผลสูงเกินที่คนไม่เคยลองจะคาดถึง มันเป็นอาหารที่จะหล่อเลี้ยง "ดวงความสัจจะ" ในใจของเราให้สมบูรณ์ แข็งแรง ยิ่งกว่าแบบฝึกหัดอย่างอื่น ซึ่งเป็นแบบฝึกหัดที่ค่อนข้างง่ายโดยมาก หรือยากที่จะได้ฝึก เพราะไม่สามารถนำมาเป็นเกมฝึกหัดประจำทุกๆ วัน เราต้องฝึกทุกวัน จึงจะได้ผลเร็ว การฝึกใจด้วยเรื่องอาหาร อันเป็นสิ่งที่เราบริโภคทุกวัน จึงเหมาะมาก อย่าลืมพุทธภาษิตที่มีใจความว่า สัจจะเป็นคู่กับผ้ากาสาวพัสตร์
3. เป็นการฝึกในส่วนทมธรรม (การข่มใจให้อยู่ในอำนาจ) คนเราเกิดมีทุกข์เพราะตัณหาหรือความอยากที่ข่มไว้ไม่อยู่ ข้อพิสูจน์เฉพาะเรื่องผักกับเนื้อง่ายๆ เช่น ข้าพเจ้าเห็นชาวตำบลป่าดอนสูงๆ ขึ้นไป อุตส่าห์หาบอาหารผักลงมาแลกปลาแห้งๆ ทางบ้านแถบริมทะเล ขึ้นไปรับประทาน ทั้งที่ต้องเสียเวลาเป็นวันๆ และทั้งที่กลางบ้านของเขามีอาหารผักพวกเผือก มัน มะพร้าว ผัก ฟัก ฯลฯ อย่างสมบูรณ์ และทั้งทีอาหารเหล่านั้นยังเป็นของสดรสดี สามารถบำรุงร่างกายได้มากกว่าปลาแห้งๆ จนราจับ ที่อุตส่าห์หาบหิ้วขึ้นไปไว้เป็นเสบียงกรังเป็นไหนๆ ผู้ที่ไม่มีการข่มรสตัณหา จักต้องเป็นทาสของความทุกข์ และถอยหลังต่อการปฏิบัติธรรม การข่มจิตด้วยอาหารการกินก็เหมาะมาก เพราะอาจมีการข่มได้ทุกวันด้งกล่าวแล้ว การข่มจิตเสมอเป็นของคู่กับผ้ากาสาวพัสตร์ ควรทราบว่า มันเป็นการยากอย่างยิ่ง ที่คนแพ้ลิ้นจะข่มตัณหาโดยเลือกกินแต่ผัก จากจานอาหารที่เขาปรุงด้วยเนื้อและผักปนกันมา! จงยึดเอาเกมที่เป็นเครื่องชนะตน อันนี้เถิด ในการเลี้ยงพระของงานต่างๆ ข้าพเจ้าเคยเห็น เคยได้ยินเสียงเรียกเอ็ดแต่อาหารเนื้อ ส่วนอาหารผักล้วนดูเหมือนเป็นการยากที่จะได้ถูกเรียกกับเขา แล้วยังเหลือกลับไปอีก แม้อาหารที่ปรุงประเคน ก็หายไปแต่ชิ้นเนื้อ ผักคงเหลือติดจานไปก็มี และยิ่งกว่านั้นก็คือ ควรทราบว่าแม่ครัวหรือเจ้าภาพเขารู้ตัวก่อนด้วยซ้ำ เขาจึงปรุงอาหารเนื้อไว้มากกว่าอาหารผักหลายเท่านัก ทั้งนี้ ก็เพราะตัณหาทั้งของฝ่ายทายกและปฏิคาหก ร่วมมือกัน "เบ่งอิทธิพล"
4. เป็นการฝึกในส่วนสันโดษ (การพอใจเท่าที่มีที่ได้) ชีวิตพระย่อมได้อาหารชั้นพื้นๆ โดยมาก ข้าพเจ้าเคยเห็นบรรพชิตบางคนเว้นไม่รับอาหารจากคนยากจน เพราะเลวเกินไป คือเป็นเพียงผักหรือผลไม้ชั้นต่ำ แม้จะรับมาก็เพื่อทิ้ง นี่เป็นตัวอย่างที่ไม่มีความสันโดษ หรือถ่อมตน การฝึกเป็นนักเสพผักอย่างง่ายๆ จะแก้ปัญหานี้ได้หมด สันโดษเป็นทรัพย์ของบรรพชิตอย่างเอก
5. เป็นการฝึกในส่วนจาคะ (การสละสิ่งอันเป็นข้าศึกแก่ความสงบหรือพ้นทุกข์) นักเสพผักมีดวงจิตบริสุทธิ์ผ่องใส เกินกว่าจะนึกอยากในเมื่อเดินผ่านร้านอาหารนอกกาล หรือถึงกับนึกไปเองในเรื่องที่จะบริโภคให้มีรสหลากๆ เพราะผักไม่ยั่วในการบริโภคมากไปกว่าเพียงเพื่ออย่าให้ตาย ต่างกับเนื้อสัตว์ซึ่งยั่วให้ติดรสและมัวเมาอยู่เสมอ ความอยากในรสที่เกินจำเป็นของชีวิต ความหลงใหลในรส ความหงุดหงิด เมื่อไม่มีเนื้อที่อร่อยมาเป็นอาหาร ฯลฯ เหล่านี้ข้าพเจ้ารับรองได้ว่า ไม่มีในใจของนักกินผักเลย ส่วนนักเสพเนื้อนั้น ย่อมทราบของท่านได้เอง เป็นปัจจัตตังค์เช่นเดียวกับธรรมะอย่างอื่น
6. เป็นการฝึกในส่วนปัญญา (ความรู้เท่าทันดวงจิตที่กลับกลอก) การกินอาหารจะบริสุทธิ์ได้นั้น ผู้กินต้องมีความรู้สึกแต่เพียงว่า "กินอาหาร" (ไม่ใช่กินผักหรือเนื้อ คาวหรือหวาน) และเป็นอาหารที่บริสุทธิ์ การที่จะปรับปรุงใจให้ละวางความยึดมั่นว่า เนื้อ-ผัก-หวาน-คาว-ดี-ไม่ดี ฯลฯ เหล่านี้เป็นแบบฝึกหัดที่ยาก แต่ถ้าใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นโทษของการยึดมั่นในชื่ออาหารมามีความสำคัญเพียงว่าเป็น "อาหาร" ที่บริสุทธิ์แล้วก็บริโภคอยู่เสมอแล้ว นี่ก็เป็นการก้าวใหญ่ของการปฏิบัติธรรม ไม่มีอะไรดีไปกว่าอาหารผัก ที่จะเป็นอารมณ์บังคับ ให้ท่านต้องใช้ปัญญาพิจารณามันอยู่เสมอทุกมื้อ เพราะเนื้อทำให้หลงรส ผักทำให้ต้องยกใจขึ้นหารส เหมาะแก่สันดานของสัตว์ ซึ่งมีกิเลสย้อมใจจับแน่นเป็นน้ำฝาดมาแต่เดิม แต่ปัญญาของท่านต้องมีอยู่เสมอว่า ไม่ใช่จะไปนิพพานได้เพราะกินผัก เป็นเพียงการช่วยเหลือในการขูดเกลากิเลสทุกวันเท่านั้น ไว้นานๆ จะทดลองความรู้สึกในใจของท่านว่า จะบริสุทธิ์สะอาดพอหรือยัง ด้วยการลองรสอาหารที่ยั่วลิ้นเสียคราวหนึ่ง คือเนื้อที่ปรุงให้มีรสวิเศษนั่นเอง ก็ได้

          ข้าพเจ้าเอง ไม่ได้มีความเห็นว่า ฝ่ายที่จะช่วยเหลือการขูดเกลาจิตใจต้องเป็นผัก ความจริงมันควรเป็นอาหารชั้นเลวๆ ไม่ประณีตก็พอแล้ว แต่เมื่อใคร่ครวญดูไปๆ ก็มาตรงกับอาหารผัก เพราะเนื้อนั้นทำอย่างไรเสียก็ชวนกินอยู่ตามธรรมชาติ แม้เพียงแต่ต้มเฉยๆ มันก็ยังยั่วตัณหาอยู่นั่นเอง เพราะฉะนั้น ฝ่ายที่จะปราบตัณหาจึงกลายเป็นเกียรติยศของผัก คืออาหารที่จะข่มตัณหาได้ และมีแต่ทางบริสุทธิ์ยอย่างเดียวโดยไม่มีการระวังเลยก็ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่ระแวงภัยในความประมาทอยู่เสมอ

ฝ่ายโลก เช่น :
1. ผักมีคุณแก่ร่างกายยิ่งกว่าเนื้อหรือไม่วิทยาศาสตร์ปัจจุบัน ก็พอที่จะรับว่าจะทำให้มีโรคภัยน้อย มีกำลังแข็งแรง มีดวงจิตสงบกว่าเนื้อสัตว์ (ชาวอินเดียด้วยกัน ที่เป็นพวกกินเนื้อดุร้ายกว่าพวกที่เป็นพราหมณ์ ไม่กินเนื้อโดยกำเนิด) มีความหื่นในความอยาก-ความโกรธ- ความมัวเมาน้องลงเป็นอันมาก
2. ทางเศรษฐกิจ ราคาผักกับเนื้อ ทราบกันอยู่แล้วว่าผิดกันเพียงไร ของดีไม่ใช่มีหลักว่าต้องแพงเสมอไป แต่ของแพงคือของสำหรับคนโง่ คนทะเยอทะยาน ของที่มีคุณภาพสมค่าหรือเกินค่า ไม่ใช่ของแพงแม้จะมีราคาเท่าไรก็ตาม และเป็นของสำหรับคนฉลาด อาหารเลวๆ ไม่ได้ทำให้คนโง่ลงเลย ยิ่งเนื้อและผักแล้ว เนื้อเสียอีกกลับจะทำไห้โง่ คือหลงรสของมันจนเคยชิน คนๆ เดียวกันนั่นเอง ถ้าเขาเป็นนักเสพผักจะเป็นคนเข้มแข็ง มีใจมั่นคง ไม่โยกเยกรวนเร ยิ่งกว่านักเสพเนื้อ (กินผักมากที่สุดกินเนื้อแต่เล็กน้อยเท่าที่จำเป็นจริงๆ ก็เรียกว่านักเสพผัก ผักหมายถึงผลไม้ น้ำตาลสด ขนม ฯลฯ แม้จะหมายถึงนมด้วยก็ได้)
3. ธรรมชาติแท้ๆ ต้องการให้เรากินผัก ขอจงคิดให้ลึกหน่อยว่า ธรรมชาติสร้างสรรค์พวกเราให้มีความรักชีวิตของตนทุกๆ คน เราควรเห็นอกของสัตว์ที่มีความรู้สึกด้วยกัน มิฉะนั้นก็ไม่มีธรรมเสียเลย ลองส่งดวงใจที่เป็นกลางๆ ไปทั่วใจสัตว์ทุกตัว ที่ต้องพรากผัว-เมีย-ลูก-แม่-พ่อ ฯลฯ โดยถูกฆ่าเป็นอาหารแล้วลองเทียบถึงใจเราบ้าง ถ้ามีพวกยักษ์ใหญ่มาทำแก่เราเช่นนั้น เราจะรู้สึกอย่างไร? เราจะถึงกับร้องให้พระเจ้าช่วยหรือไม่ ถ้ามีพระเจ้าที่จะช่วยได้? และคิดสืบไปว่า เมื่อเราอาจช่วย หรืออาจเสียสละรสที่ปลายลิ้นเพื่อช่วยชีวิตสัตว์อื่น หรือผู้อื่นได้แล้ว ธรรมของมนุษย์ (สัตว์มีใจสูง) จะไม่ช่วยให้เราทำเพื่อเห็นแก่อกเขาและอกเราบ้างเทียงหรือ แม้พระพุทธองค์ก็ทรงบำเพ็ญพระเมตตาบารมีอย่างกว้างขวาง ทำไมเราจึงไม่ช่วยไรเมื่อเรารู้ว่าเราอยู่ในฐานะที่ช่วยได้ แม้ว่าไม่ช่วยก็ไม่บาปก็ตาม?

          ธรรมชาติจะมีผักหญ้าและผลไม้ พอให้เราบริโภคพอเพียงเสมอ มนุษย์มากขึ้นๆ ทุกปี ส่วนสัตว์มีน้อยลงๆ ทุกปี โลกมนุษย์ขยายตัวออก โลกสัตว์เดรัจฉานหดสั้นเข้า ในที่สุดเนื้อจะไม่พอกันกิน ต้องเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง ก็ที่ดินขนาดเท่ากัน สามารถเลี้ยงสัตว์พอเพื่อมนุษย์ น้อยกว่าปลูกผักเพื่อมนุษย์ คิดดู แต่ไม่พอเพื่อเลี้ยงวัว 1 ตัว สำหรับกินเนื้อ และต้องหลายปี ปัญหาจึงไปตกหนักอยู่ที่เนื้อสัตว์จะไม่พอ หาใช่ที่ผักจะไม่พอไม่ แม้ปลาในมหาสมุทร ก็บอกสถิติตัวเองอยู่เรื่อยๆ มาแล้วว่า จะต้องขาดมือลง แต่ข้อสำคัญที่สุดนั้นคือมันไม่ให้คุณไปกว่าผักเลย

          มีนักปราชญ์ทางวิทยาศาสตร์คำนวณว่า เนื่องจากเกิดใหม่มากกว่าการตายในเวลานี้ได้มีจำนวนพลโลกเพิ่มขึ้นถึงปีละ 21 ล้านคน แต่ต่อไปจะเพิ่มมากทวีขึ้นอีก ถ้าไม่มีเหตุใดมาทำให้จำนวนน้อยลง เป็นต้นว่า การสงครามหรือโรคภัยที่ร้ายแรงมาลดจำนวนลงเสียมากๆ เป็นพิเศษ ในอีกร้อยปีจะมีจำนวนคนถึง 5,000 ล้าน (ห้าพันล้าน) คน ในเวลานั้นพื้นดินทุกๆ แห่งจะต้องใช้เป็นที่ทำการเพาะปลูก เพื่อได้อาหารมาเลี้ยงมนุษย์ ไม่มีที่ดินและอาหารผักพอที่จะเลี้ยงสัตว์ มนุษย์จะต้องกินอาหารผักและข้าวโดยตรง แทนการกินเนื้อซึ่งเป็นการกินผักโดยทางอ้อม มหาเศรษฐีจึงจะมีนมและเนื้อกิน โดยเลี้ยงวัวไว้บนตึกชั้นสุดยอดหรือในสวนข้างๆ บ้าน

          เวลานี้มีคนเพียงประมาณ 2,000 ล้านคน เรามีจำนวนคนที่อดอยากอยู่มากมายเพียงไร? อีกร้อยปีข้างหน้าเมื่อมีคนถึง 5,000 ล้านคน ภาวะของความจนจะเป็นอย่างไร ความจำเป็นจะบังคับให้คนต้องกินอาหารผักและเมล็ดข้าวเท่านั้น

          สำหรับภิกษุ ไม่จำเป็นจะต้องรับรู้มาถึงเหตุผลของฝ่ายโลกดังกล่าวมานี้ก็จริง แต่เพราะเป็นเพศนำของเพศอื่น จึงควรดำรงอยู่ในอาการที่เป็นฝ่ายข้างพ้นทุกข์สงบเยือกเย็นอยู่เสมอ ไม่เป็นคนดื้อต่อเหตุผล ไม่เป็นคนเลี้ยงยาก ไม่เป็นคนละเลยต่อการขูดเกลาความรู้สึกของธรรมดาฝ่ายต่ำ มีการเห็นแก่ตัวหรือความอร่อยของตัวเป็นต้น ไม่เป็นผู้หาข้อแก้ตัวด้วยการตีโวหารฝีปาก แต่จะเป็นคนรักความยุติธรรม รักความสงบ แผ่เมตตาไม่จำกัดวง ไม่จำกัดความรับผิดชอบ พร้อมด้วยเหตุผลอยู่เสมอ เพราะฉะนั้น ภิกษุจึงไม่ควรนิ่งเฉยต่ออารมณ์ที่เกื้อกูแก่ความก้าวหน้าในส่วนใจของตนแม้แต่น้อย

          การเว้นบริโภคเนื้อ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ทรงร้าหรือฝ่าฝืนพระบัญญัติสำหรับดวงใจที่ประสงค์เพื่อขูดเกลากิเลสของตน- ดวงใจที่ไม่เอาคนนอกส่วนมากเป็นประมาณ-ดวงใจที่ไม่แพ้ลิ้น-ดวงใจที่ไม่ประสงค์การตีโวหาร การไม่บริโภคเนื้ อก็เป็นธุดงค์อย่างเดียวกับธุดงค์อื่นๆ ซึ่งทรงตรัสไว้ว่าเป็นการขูดเกลากิเลส แต่ก็ไม่ทรงบังคับกะเกณฑ์ให้ใครถือ แต่เมื่อใครถือก็ทรงสรรเสริญเป็นอย่างมาก เช่น ทรงสรรเสริญพระมหากัสสป ธุดงค์ 13 อย่าง บางอย่างเช่น เนสัชชิกังคะ ก็ไม่มีใครเชื่อว่าเป็นพุทธภาษิตนัก แม้จำนวนสิบสามก็ไม่ใช่จำนวนที่ทรงแต่งตั้ง เมื่อเช่นนั้น การขูดเกลาด้วยการเว้นเนื้อก็เป็นสิ่งที่รวมลงได้ในธุดงค์ หรือมัชฌิมาปฏิปทานั้นเอง เพราะเข้ากันได้กับสิ่งที่ทรงอนุญาตในฝ่ายธรรม มิใช่ฝ่ายศีลซึ่งเป็นการบังคับ

          ท่านคงประหลาดใจหรือสงสัยว่า ข้าพเจ้าเห็นแต่สนับสนุนมติของตนเอง จึงส่งเสริมให้ฝึกใจด้วยอาหารผัก ข้อนี้ขอตอบว่า เพราะเป็นโอกาสที่จะฝึกฝนทดลอง ขูดเกลา ได้ทุกวันนั่นเอง วิธีอย่างอื่นโดยมากเราต้องคอยระลึกขึ้นมา ไม่ได้ผ่านมาเฉพาะหน้าเราทุกวันๆ เช่นอาหาร และอีกอย่างหนึ่งคนธรรมดาเราก็ติดรสอาหารกันทั้งนั้น มันเป็นเครื่องทดลอง หรือวัดน้ำใจเรา เปรียบเหมือนออกสงครามต่อสู้ข้าศึกอยู่เสมอ ถ้าไม่กลัวว่ามันเป็นเครื่องทดลองวัดน้ำใจของท่านเกินไปแล้ว ท่านคงเห็นพัองกับข้าพเจ้าทีเดียวว่าเราควรยึดเอาบทเรียนประจำวันบทนี้เป็นแน่ เพราะมันจะเป็นผู้เตือนให้เราฝึกมันทุกวันทีเดียว เป็นบทเรียนที่ยาก แต่เปิดโอกาสให้เราฝึกได้ทุกๆ วัน

          ท่านอาจถามข้าพเจ้าว่า เราจะไปนิพพานด้วยการกินผักกันหรือ? ข้าพเจ้าก็อาจตอบได้โดยย้อนให้ท่านตอบในตัวเองว่า เราจะไปนิพพานได้โดยต้องออกบวชเป็นบรรพชิตเท่านั้นแลหรือ? ถ้าท่านตอบว่าการบวชเป็นเพียงการช่วยให้เร็วเข้าเท่านั้น เพราะฆราวาสก็บรรลุมรรคผลนิพพานได้แล้ว ข้าพเจ้าก็พิสูจน์ให้ท่านได้ในทันทีว่าการกินผักก็อย่างเดียวกัน เพราะเป็นการฝึกใจช่วยให้ไปถึงการชำนะตัณหาเร็วเข้า ดังกล่าวแล้ว ถ้าใครจะพยายามพิสูจน์ว่า กินผักเพราะพระพุทธองค์ไม่ฉันเนื้อ หรือกินเนื้อเป็นบาปแล้ว ข้าพเจ้าก็เห็นว่าไม่มีเหตุผลเพียงพออย่างเดียวกับท่าน เพราะเนื้อที่บริสุทธิ์ไม่บาป และพระองค์ก็ฉันเนื้อ

          ถ้าท่านยังแย้งว่า การกินผักไม่ได้เป็นการก้าวหน้าของการปฏิบัติธรรม ข้าพเจ้ามีคำตอบแต่เพียงว่า ท่านยังไม่รู้จักตัวปฏิบิติธรรมเสียเลย ท่านจะรู้จักการกินผักซึ่งเป็นอุปกรณ์ของการปฏิบัติธรรมอย่างไรได้

          ขอให้ทราบว่า "การกินผักไม่ได้ถือเป็นลัทธิหรือบัญญัติ" เราฝึกบทเรียนนี้ โดยไม่ได้สมาทาน หรือปฏิญาณ อย่างสมาทานลัทธิ หรือศีล มันเป็นข้อปฏิบัติฝ่ายธรรมทางใจ ซึ่งเราอาศัยหลักกาลามสูตร หรือโคมีสูตร เป็นเครื่องมือตัดสินแล้ว ก็พบว่าเป็นแต่ฝ่ายถูก ฝ่ายให้คุณโดยส่วนเดียว เป็นการขูดเกลากิเลสซึ่งพระพุทธองค์สรรเสริญ แต่ถ้าใครทำเพราะยึดมั่น ก็กลายเป็นสีลัพพตปรามาสยิ่งขึ้น และถ้าบังคับกันก็กลายเป็นลัทธิของพระเทวทัต ที่จริงหลักมัชฌิมาปฏิปทา สอนให้เราทำตามสิ่งที่เรามองเห็นด้วยปัญญาว่าเป็นไปเพื่อความขูดเกลากิเลสเสมอ แต่เรามองเห็นแล้วไม่ทำ ก็กลายเป็นเราไม่ปรารถนาดีไปเอง ส่วนผู้ที่ยังมองไม่เห็นนั้นไม่อยู่ในวงนี้ มัชฌิมาปฏิปทาคือการทำดีโดยวงกว้าง!

          วันนี้ข้าพเจ้าเขียนมาก จนคาดว่าบรรณาธิการจะรังเกียจเพราะจะแย่งเนื้อที่ของเรื่องแผนกอื่นไป จึงขอไว้อธิบายเพิ่มเติมในโอกาสหลังบ้าง แต่ขออย่างลืมหลักสั้นๆ ว่า เราไม่ได้เสพผักเพื่อเอาชื่อเสียงว่าเป็นนักเสพผัก (Vegetarian) เลย เราก้าวหน้าในการขูดเกลาใจเพื่อยึดเอาประโยชน์อันเกิดแต่การมีกิเลสเบาบางอีกส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะฉะนั้น เมื่อท่านผู้ใดจะวิเคราะห์เหตุผลทั้งหลายของข้าพเจ้า โปรดใช้กฎประจำใจอันนี้เข้าผสมด้วยเสมอ และอย่าลืมว่าข้าพเจ้าไม่ได้เป็นคนฝ่ายโลกนาถภิกษุ หรือฝ่ายใคร นอกจากฝ่ายที่มีเหตุผล แล้วและตั้งหน้าปฏิบัติด้วยความเชื่อความนับถือตนเองเท่านั้น และข้อสำคัญที่สุดก็คือ ข้าพเจ้าไม่ได้ขอร้องให้ท่านเป็นนักผัก เป็นแต่แสดงความคิดเห็นของข้าพเจ้าในเรื่องนี้ ขอร้องเพียงให้ท่านนำไปคิดดู เมื่อท่านคิดแล้วในกาลต่อไปท่านจะเป็นนักผักหรือนักเนื้อ ก็แล้วแต่เหตุผลของท่าน พุทธบุตรที่แท้จริงคือ "คนมีเหตุผล" ที่จริงนักเนื้อก็ไม่ใช่ผู้อันใครจะพึงรังเกียจ เช่นเดียวกับผู้ไม่สามารถทานธุดงค์อย่างอื่น เช่น ทรงไตรจีวร หรืออยู่โคไม้เหมือนกัน เพราะเป็นเรื่องที่ไม่บังคับ.

line

[ หน้าแรก | นิยามมังสวิรัติ | เหตุใดต้องเป็นมังสวิรัติ | อาหารหลักสี่หมู่ | โครงสร้างทางสรีระ | รายงานการวิจัย
| หลักการกินมังสวิรัติ | คำสอนทางศาสนา | คนดังนักมังสวิรัติ | ไขข้อข้องใจ | นานาสาระ | Link ]


ปรับปรุงเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2542
แนะนำและติชม
1