กังวานเกี่ยวข้อง > วัฒนธรรมเด็ดยอด
 

 

สิ่งสุดท้ายที่ประเทศทั้งหลายควรลอกเลียนอเมริกัน คือระบบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย (ในภาษาไทย หรือแอ๊ดมิชชั่นในภาษาฝรั่ง) เพราะไม่มีประเทศไหนในโลกที่ลงทุนสำหรับอุดมศึกษา ทั้งในภาครัฐและสังคมเทียบเท่าสหรัฐ ไม่เฉพาะแต่ทุนที่เป็นเงินเท่านั้น แต่รวมถึงทุนทางวัฒนธรรม และโครงสร้างเศรษฐกิจ ที่เอื้อให้แก่การเปิดอุดมศึกษาได้กว้างอย่างนั้น

ฉะนั้น เมื่อสรุปลงท้ายแล้วก็คือ ใครอยากเรียนมหาวิทยาลัยที่นั่นก็จะได้เรียน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเสมอ

ในระยะ 20 ปีที่ผ่านมา หลายประเทศในยุโรปตะวันตก พยายามขยายอุดมศึกษาให้กว้างอย่างสหรัฐ แต่ก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จเหมือนๆ กัน เพราะในประเทศภาคพื้นยุโรปปรากฏว่ามาตรฐานของอุดมศึกษาต่ำลง เป็นเหตุให้มีนักเรียนอพยพไปหาที่เรียนในอังกฤษและสหรัฐเองเพิ่มขึ้นมาก

อนึ่ง ระบบแอ๊ดมิชชั่นของอเมริกันไม่ได้อาศัยแต่คะแนนเฉลี่ยระดับมัธยม หรือที่เรียกว่าจีพีเอเท่านั้น ยังมีการประเมินมาตรฐานของโรงเรียนมัธยม และระบบจดหมายสนับสนุนอีกด้วย

ระบบจดหมายสนับสนุนนี้ จะต้องประยุกต์อย่างไรจึงจะเหมาะกับวัฒนธรรมไทยผมไม่ทราบ แต่ถ้านำมาใช้ทั้งดุ้น ผมเชื่อว่านักการเมืองจะฝากเด็กเข้ามหาวิทยาลัยกันจนกลายเป็นอีกอาชีพหนึ่ง

นอกจากนี้ อาจจะโดยไม่ตั้งใจ ระบบอเมริกันยังมีผลโดยปริยายให้ตรึงคนด้อยโอกาสไว้ในบรรไดทางสังคมขั้นต่ำตลอดไป จนทำให้รัฐบาลกลางต้องออกกฎหมาย มาบังคับสัดส่วนของนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ให้มีคนผิวสีหรือเพศหญิงให้สอดคล้องกับความจริงในสังคมด้วย

การก๊อปอเมริกันจึงไม่ใช่คำตอบสำเร็จรูป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเอนทรานซ์หรือเรื่องอะไรทั้งนั้น

ระบบเอนทรานซ์ (หรืออะไรอื่นๆ) ที่เหมาะกับสังคมไทย ก็คือระบบที่สอดคล้องกับการศึกษาซึ่งเราจัดอยู่ในเมืองไทย แม้เราอาจจัดอย่างเละเทะอย่างไร จะปรับปรุงให้ดีขึ้นก็ต้องเริ่มจากจุดเริ่มต้นที่เละเทะตามความเป็นจริง ไม่ใช่ขอยืมวิธีการจากสังคมอื่นมาเป็นเป้าหมาย

อย่าไปพูดถึงวิธีการเลยครับ แม้แต่อุดมคติทางสังคมยังขอยืมกันใช้ไม่ได้เลย เพราะต่างควรสร้างอุดมคติขึ้นจากความเป็นจริงในสังคมตัวเอง และรากฐานทางวัฒนธรรมของตัวเอง มนุษย์ในต่างวัฒนธรรมมองเห็นสวรรค์คนละแห่งกันครับ

ทำไมในเมืองไทยจึงต้องเอาค่าพีอาร์ (หรือลำดับตำแหน่งการสอบในระดับมัธยม) เข้ามาคำนวณในการประเมินรับนักศึกษาด้วย ก็เพราะเชื่อกันโดยทั่วไป (รวมทั้งมีความจริงอยู่) ว่าโรงเรียนมัธยมต่างๆ นั้นมีมาตรฐานทางการศึกษาไม่เท่ากัน หวังกันว่า ค่าพีอาร์จะทำให้เกิดการถ่วงดุลระหว่างโรงเรียนที่ทำคะแนนเฟ้อ กับโรงเรียนที่ไม่ได้ทำบ้าง

ผมไม่ทราบว่าสิ่งที่เรียกกันว่า "มาตรฐานทางการศึกษา" นั้นคืออะไรแน่ และมีความสำคัญสำหรับการเรียนมหาวิทยาลัยมากน้อยเท่าไร รวมทั้งไม่ทราบแม้แต่ว่าค่าดังกล่าวนี้ช่วยถ่วงดุลได้จริงตามที่มุ่งหวังจริงหรือไม่

อันที่จริงเราก็ใช้ค่านี้ในการเอนทรานซ์มาหลายปีแล้ว ทบวงมหาวิทยาลัย และ/หรือที่ประชุมอธิการบดี น่าจะมีการทำวิจัยประเมินค่านี้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวได้แล้ว เพื่อจะได้ตอบผู้สงสัยได้ว่าควรคงค่านี้ไว้ หรือควรเลิก ควรลดความสำคัญ หรือตรงกันข้ามควรเพิ่มความสำคัญ

เช่นเดียวกับการสอบความถนัดการเรียน (SAT) น่าจะวิจัยกันดูให้ดีว่าให้ผลเที่ยงตรงมากน้อยแค่ไหน เพราะเป็นปัญหาถกเถียงกันทั้งโลกว่า การวัดผลตรงนี้วัดได้เที่ยงตรงมากน้อยแค่ไหน มีทั้งฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แม้แต่เมื่อวิจัยแล้วพบว่าเที่ยงตรง การวิจัยก็จะช่วยให้ออกข้อสอบได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ถึงแม้ระบบเอนทรานซ์ของไทยใช้การประเมินผลหลายชนิด แต่ทุกชนิดก็ล้วนวางอยู่บนรากฐานของหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการทั้งสิ้น ผมคิดว่าสิ่งที่เป็นปัญหามากกว่า "แกงโฮะ" ก็คือ การศึกษามหาวิทยาลัยต้องการเพียงเท่านี้แน่หรือ คือหาคนที่พร้อมจะรับการถ่ายความรู้มาเรียนเท่านั้น

ผมคิดว่าหน้าที่หลักของมหาวิทยาลัยคือการสร้างความรู้ ฉะนั้น แท้ที่จริงแล้วกระบวนการถ่ายความรู้ กับกระบวนการสร้างความรู้ จึงเป็นกระบวนการเดียวกันที่แยกออกจากกันไม่ได้ ถ้าถ่ายความรู้มีความหมายเพียงการถ่ายโอนความรู้ที่เขารู้กันอยู่แล้วให้เด็ก มหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ทำหน้าที่ของตัว

ปัญหาของระบบเอนทรานซ์ที่ใช้อยู่ จึงอยู่ที่ว่าระบบนี้สามารถคัดสรร คนที่เหมาะจะสร้างความรู้ใหม่ใ นกระบวนการเรียนรู้ของตนขึ้นหรือไม่ หรือเพียงแต่คัดสรรคนที่เหมาะจะเป็นช่างเทคนิคที่ได้รับการฝึกปรือมาแล้วเท่านั้น

แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเรามีระบบที่จะคัดสรรคน ซึ่งสามารถเสริมสร้างกระบวนการสร้างความรู้ของมหาวิทยาลัย เข้ามาเป็นนักศึกษาได้มากขึ้น เช่นคนที่มีความคิดริเริ่ม และคนที่มีความรู้และประสบการณ์ อันจะทำให้เกิดความมั่งคั่งด้านวิชาการของมหาวิทยาลัย เช่นเด็กที่พูดภาษาน้ำนมที่ไม่ใช่ภาษาไทย, เด็กที่ถนัดด้านดนตรีไทย, เด็กที่มีปูมหลังพิเศษจากครอบครัวบางอย่าง ฯลฯ โดยไม่ถือมาตรฐานของหลักสูตรกระทรวงศึกษาฯ เป็นเกณฑ์เพียงอย่างเดียว ก็จะเอื้อให้มหาวิทยาลัย (ซึ่งควรสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่นักศึกษามีส่วนร่วมอยู่ด้วย) กลายเป็นผืนนาที่เหมาะสำหรับการสร้างความรู้ใหม่ขึ้นตลอดเวลา

ตราบเท่าที่เราไม่ตีปัญหานี้ให้แตก เราก็ยืนบนขาตัวเองด้านสติปัญญาได้ยาก

การมองสังคมภายนอกเพื่อก๊อปส่วนที่เห็นว่า "ดีๆ" มาใช้ในเมืองไทยนั้น จะว่าไปก็เป็นประเพณีวิธีคิดของชนชั้นนำไทย นับตั้งแต่เปิดประเทศมากว่าร้อยปีแล้ว ยิ่งมีการส่งคนออกไปศึกษาเล่าเรียนเมืองนอกมากขึ้นในระยะหลัง ประเพณีวิธีคิดอย่างนี้ก็ยิ่งฝังแน่น เพราะเหล่านักเรียนนอกที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจสังคมวัฒนธรรมไทยเอาเลย

เขาเรียกประเพณีวิธีคิดอย่างนี้ว่า "วัฒนธรรมเด็ดยอด" คือคิดว่าอะไรที่เห็นว่าดีในเมืองนอกนั้น ก็เด็ดส่วนนั้นมาเลย โดยไม่ได้พิจารณาสืบไปถึงต้นตอและกระบวนการทั้งหมดกว่าจะมาถึงยอดนั้นๆ ด้วยเหตุดังนั้น ยอดที่ไปเที่ยวเด็ดๆ มาจากเมืองฝรั่งจึงไม่ยอมงอกงามในเมืองไทย

ในขณะที่รู้จักฝรั่งแค่ครึ่งๆ กลางๆ ซ้ำไม่รู้จักเมืองไทยเอาเลยเช่นนี้ พวกคนสุกๆ ดิบๆ หรือครึ่งสุกครึ่งดิบเหล่านี้ประกอบกันขึ้นเป็นชนชั้นนำของไทยมาอย่างสืบเนื่อง แล้วก็ยึดมั่นกับ "วัฒนธรรมเด็ดยอด" ในการจัดการบ้านเมืองและสังคมสืบมา

วิธีจัดการน้ำก็รู้จักอยู่อย่างเดียว คือการสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ไม่เคยศึกษาเข้าใจระบบจัดการน้ำของชาวบ้าน ฉะนั้น แทนที่จะเอา "ยอด" ฝรั่งมาเสียบกับต้นซึ่งเป็นไทยกลับถอนต้นของไทยออก แล้วเอา "ยอด" ฝรั่งเสียบดินแทน ผลก็คือเกิดการทำลายทรัพยากรเสียยิ่งกว่าฝรั่งต้องเผชิญด้วยซ้ำ

การต่อสู้ทางการเมืองของชนชั้นนำไทยจึงอยู่ที่การฝันเฟื่องถึง "ยอด" ต่างๆ ที่เที่ยวก๊อปมาจากต่างแดน ใครจะฝันได้ดูน่าอัศจรรย์กว่ากัน คนนั้นก็ชนะ เรียกกันว่าเป็นคนมี "วิสัยทัศน์"

คำว่า "วิสัยทัศน์" ในภาษาไทยที่ใช้ในปัจจุบันจึงหมายถึงความฝันเฟื่อง ผมมีความเห็นเกี่ยวกับคำนี้แตกต่างจากความหมายที่ใช้กันทั่วไปในปัจจุบัน (และได้เคยเขียนในคอลัมน์นี้แล้ว) กล่าวโดยสรุปก็คือ "วิสัยทัศน์" ต้องหมายรวมถึงความรู้ความเข้าใจอดีตและปัจจุบันอย่างถ่องแท้ด้วย เพื่อที่ว่าเมื่อฝันเฟื่องถึงอนาคตอย่างไรก็ตาม จะสามารถมองเห็นด้วยว่า เราจะเดินจากปัจจุบันไปสู่อนาคตที่ฝันเฟื่องนั้นได้อย่างไร ...ตามความเป็นจริงนะครับ ไม่ใช่ตามอำนาจแห่งความฝันเฟื่อง

ทำไม "วัฒนธรรมเด็ดยอด" จึงดำรงอยู่อย่างคงทนในสังคมไทยมาเป็นร้อยปี ผมคิดว่าคำตอบรวบยอดที่สุดก็คือ เพราะชนชั้นนำไทยมีความแข็งตัวค่อนข้างมาก แม้ว่าในระยะร้อยปีมานี้ มีความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเมืองหลายอย่าง ที่ทำให้หน้าตาของชนชั้นนำเปลี่ยนไป แต่โดยวัฒนธรรมแล้วยังคงรูป (intact) เหมือนเดิม

ผมคิดว่ามีปัจจัยอยู่สามสี่อย่างที่ทำให้เป็นเช่นนี้ ผมจะพูดถึงเฉพาะปัจจัยที่ผมกล้าพูด คือระบบการศึกษาหนึ่ง ซึ่งเอื้อให้วัฒนธรรมชนชั้นนำแข็งแกร่งอยู่ตลอดมา ทั้งในแง่เนื้อหา, มาตรฐาน, ฝีมือ รวมไปถึงแม้แต่ระบบเอนทรานซ์

ระบบสื่อสารมวลชนอีกหนึ่ง ที่ช่วยตอกย้ำวัฒนธรรมอันนี้

ความสัมพันธ์ภายในของกลุ่มชนชั้นนำอีกหนึ่งที่ค่อนข้างใกล้ชิดกันมาก ทั้งโดยผ่านระบบการศึกษา, ความสัมพันธ์ทางสังคม, ความสัมพันธ์ในเชิงธุรกิจ และราชการ ฯลฯ

ฉะนั้น แม้ชนชั้นนำไทยจะเปิดให้มีคนหน้าใหม่โผล่เข้าไปอยู่ตลอดมา มากบ้างน้อยบ้างตามแต่โอกาส แต่ในที่สุดก็จะถูกกลืนหายเข้าไปในวัฒนธรรมของชนชั้นนำอย่างแน่นแฟ้นเสมอ

 

นิธิ เอียวศรีวงศ์

นสพ.มติชนสุดสัปดาห์ 10 ม.ค.46

 



หน้าแรก
| ปัญญาชนสยาม | หนุ่มสาวดัดจริต | กังวานเกี่ยวข้อง | ข้าวตอกดอกมะเขือ | กลับสู่ด้านบน

เว็บไซต์นี้จัดทำด้วยความกระตือรือล้นของใครหลายคนนั้น
ก้อนหิน และหรือดอกไม้ กรุณาหารือกับนักการ
พยายามปรับปรุงข้อมูลครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๔๖