|
ก.ศ.ร.
กุหลาบ
(พ.ศ. ๒๓๗๗ - ๒๔๖๔)
ปัญญาชนหัวก้าวหน้าในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช
ผู้เรียกร้องให้มีรัฐธรรมนูญในสยามประเทศ
|
|
เทียนวรรณ
(พ.ศ. ๒๓๘๕ - ๒๔๕๘)
"ให้รีบหาปาลีเมนต์ขึ้นเป็นหลัก
จะได้ชักน้อมใจไพร่สมาน
เริ่มเป็นฟรีปรีดาอย่าช้ากาล
รักษาบ้านเมืองเราช่วยเจ้านาย"
|
|
นรินทร์(กลึง)
ภาษิต
(พ.ศ. ๒๔๑๗ - ๒๔??)
"ถ้าเจอต้นตาล เป็นต้องปีนต้นตาลผ่านไป"
|
|
พระยาอนุมานราชธน
(พ.ศ. ๒๔๓๑ - ๒๕๑๒)
"การศึกษาในที่นี้ ข้าพเจ้าไม่ได้หมายความเฉพาะการเรียนในโรงเรียน
หรือการเรียนหนังสือเท่านั้น แต่หมายความไปถึงการฝึกฝนอบรมให้เด็ก
ๆ รู้จักคิดด้วย ใช้ปัญญาอันมีเร้นเป็นพลังอำนาจทั้งหมด ซึ่งมีอยู่ในตนให้เกิดเป็นความเจริญ
คลี่คลาย มีนิสัยไปในทางดีงาม"
|
|
พระสารประเสริฐ
(พ.ศ. ๒๔๓๒ - ๒๔๘๘)
"ชีพและโลกานุโลก และดาวเทพ และแม้ถึงท้าวมหาพรหมเอง
ต่างแซ่ซ้องยินดีปรีดา ต้อนรับวันใหม่แห่งพรหมโลก เพราะอะไร? ก็เพราะไม่รู้แจ้งซึ่งความจริง"
- กามนิต |
|
ปรีดี
พนมยงค์
(พ.ศ. ๒๔๔๓ - ๒๕๒๖)
"ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ มิได้หยุดชะงักลง
ภายในอายุขัยของคนใด หรือเหล่าชนใด คือประวัติศาสตร์ จะต้องดำเนินต่อไปในอนาคต
โดยไม่มีสิ้นสุด ดังนั้นผมขอฝากไว้แก่ท่าน และชนรุ่นหลัง ที่ต้องการสัจจะ
ช่วยตอบให้ด้วย" |
|
กุหลาบ
สายประดิษฐ์
(พ.ศ. ๒๔๔๘ - ๒๕๑๗)
"ผู้ใดเกิดมาเป็นสุภาพบุรุษ ผู้นั้นเกิดมาสำหรับคนอื่น" |
|
พุทธทาสภิกขุ
(พ.ศ. ๒๔๔๙ - ๒๕๓๖) ปณิธานข้อ ๑ พยายามเข้าถึงหัวใจศาสนาของตน
ปณิธานข้อ ๒ การทำความเข้าใจระหว่างศาสนา
ปณิธานข้อ ๓ การนำโลกออกมาเสียจากวัตถุนิยม |
|
ป๋วย
อึ้งภากรณ์
(พ.ศ. ๒๔๕๙ - ๒๕๔๒)
กูชายชาญชาติเชื้อ |
|
ชาตรี |
กูเกิดมาก็ที |
|
หนึ่งเฮ้ย |
กูคาดก่อนสิ้นชี- |
|
วาอาตม์ |
กูจักไว้ลายโลกเว้ย |
|
โลกให้แลเห็น |
|
|
กรุณา
กุศลาสัย
(พ.ศ. ๒๔๖๓ - )
"เวลานี้เรารบราฆ่าฟันกันเหลือเกิน
ทุกหย่อมโลกมีความขัดแย้งกัน
ความขัดแย้งมันไม่ดี
แต่พอมนุษย์เรารู้ว่ามันไม่ดียังไง
ก็ต้องค่อย
ๆ ผ่อนให้มันน้อยลงไป
เพราะอะไร
เพราะถ้าไม่ผ่อนก็
หายนะ กันทั้งหมด"
|
|
เรืองอุไร
กุศลาสัย
(พ.ศ. ๒๔๖๓ - )
"ดวงใจของสตรีนางหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รวมของความระทมขมขื่น
และความอภิรมย์รื่นหฤหรรษ์ ความหวัง ความหวาดกลัว และความอับอายของกุลธิดาแห่งละอองธุลี
จากดวงใจดวงนี้ ความรักปฏิสนธิขึ้นมาต่อสู้กับชีวิตอันไม่รู้จักตาย
ในดวงใจดวงนี้มีแต่ความขาดตกบกพร่อง แต่กถึงกระนั้นก็ยังมีความสง่าและภาคภูมิ
" - จิตรา |
|
ระพี
สาคริก
(พ.ศ.
๒๔๖๕ - )
"...
โลกภายนอกนั้น ยังมีเปลือกหุ้ม แต่โลกซึ่งอยู่ในรากฐานชีวิตเป็นสิ่งอิสระ
ปราศจากแม้กระทั่งเปลือก และหากค้นได้ถึงเนื้อใน ย่อมไม่พบสิ่งใดเป็นตัวตนทั้งสิ้น
... หากแต่ละชีวิตยังมีพลัง น่าจะรู้สึกท้าทายที่จะต่อสู้เพื่อการหยั่งรู้ได้ถึง
ย่อมรู้ความจริงได้เองว่า แม้ความยากความง่ายก็ไม่มีตัวตน คงมีแต่ความจริงซึ่งอยู่ในใจ
สานถึงทุกสิ่งได้เองอย่างเป็นธรรมชาติเท่านั้น" |
|
ระวี ภาวิไล
(พ.ศ. ๒๔๖๘ - ) "เด็กเล็กๆ
มีอายตนะ 6 เปิดกว้าง เพื่อรับรู้ และเรียนรู้สรรพสิ่งที่เขาพบเห็นในโลกอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด
ความคิดของเขาเป็นอิสระเสรี แต่น่าสมเพช ที่ภายในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีของระยะเติบโต
เขาได้ถูกทำลายความอยากรู้อยากเห็น และจินตนาการกว้างไกล กลายเป็นคนสยบยอม
เซื่องซึม สายตาสั้นอย่างที่ผู้ใหญ่เป็น เขากลายเป็นเพียงชิ้นส่วนเล็กน้อย
ในจักรกลมหึมาที่เคลื่อนไปอย่างไร้ความหมาย มีชื่อเรียกว่าสังคมมนุษย์" |
|
เสน่ห์
จามริก
(พ.ศ. ๒๔๗๐ - )
"คนอ่อนแอเป็นคนที่ต้องรวมตัวกัน
การต่อสู้กับอำนาจคือการรวมตัวกัน คนทุกวันนี้มันรวมตัวกันไม่ได้ ทั้งที่จำนวนมากกว่า
แต่มาแพ้คนน้อยกว่า มันเรื่องอะไร ...เพราะขาดความสำนึกความเป็นตัวตนร่วมกัน" |
|
จิตร
ภูมิศักดิ์
(พ.ศ. ๒๔๗๓ - ๒๕๐๙)
"เปิบข้าวทุกคราวคำ
จงสูจำเป็นอาจิณ
เหงื่อกูที่สูกิน
จึงก่อเกิดมาเป็นคน" |
|
สุลักษณ์
ศิวรักษ์
(พ.ศ. ๒๔๗๕ - )
"เราแต่ละคนควรมีเวลาให้ตนเอง เจริญโยนิโสมนสิการ
เพื่อฝึกปรือให้เป็นคนปรกติ ด้วยการไม่เอาเปรียบตนเองและผู้อื่น
อย่างรู้เท่าทันโครงสร้างทางสังคม ที่อยุติธรรมและรุนแรง เพื่อแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีและอหิงสธรรม
โดยไม่เกลียดโกรธคนที่เป็นต้นตอ แห่งทุกขสัจทางสังคม" |
|
ประเวศ
วะสี
(พ.ศ. ๒๔๗๕ - )
"ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม จะเล็กน้อย
ใหญ่ ปานกลาง จะต้องเชื่อมโยงไปสู่การตั้งคำถามว่า ที่เราทำคืออะไร
มีความหมายอย่างไร ไปสู่ความหมายใหญ่... มนุษยชาติต้องการการปฏิวัติ
การปฏิวัติ คือ การเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนคุณค่า เปลี่ยนจิตสำนึก
การปฏิวัติไม่ใช่การใช้ปืนไปไล่ฆ่าใคร ไปแย่งชิงอำนาจใคร แต่ยังคิดเหมือนเิดิม" |
|
พระธรรมปิฏก
(ป. อ. ปยุตโต)
(พ.ศ. ๒๔๘๑ - )
"การศึกษาจะต้องช่วยให้คนเจริญเท่าทันยุคสมัย
ในความหมายที่ว่า อย่างน้อยจะต้องตื่นตัวรู้เท่าทันต่อความ
เป็นไปและปัญหาต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต และความเสื่อมความเจริญของสังคม
เมื่อสดับข่าวสาร ก็ไม่ติด
อยู่แค่ส่วนปลีกย่อยที่จะเอามาซุบซิบ ตื่นเต้นกันไป แต่มองให้เห็นภาพรวมของโลกและสังคม
ทั้งในด้านปัญหา
ที่จะต้องแก้ไขและทางเจริญที่จะดำเนินต่อไป และสามารถแยกแยะวิเคราะห์องค์ประกอบ
และเหตุปัจจัยเชื่อมโยง กันขึ้นไป" |
|
นิธิ
เอียวศรีวงศ์
(พ.ศ. ๒๔๘๓ - )
"ความรู้เกี่ยวกับคนจนหรือความยากจนในสังคมไทย
เป็นความรู้ที่ขาดแคลน เป็นศาสตร์ที่ขาดแคลนยิ่งกว่าวิศวกรรมศาสตร์
คอมพิวเตอร์ ยิ่งกว่าอะไรทุก ๆ อย่าง แต่ไม่มีใครคิดจะไปลงทุน ในการที่จะสร้างความรู้เหล่านี้ขึ้มา" |
|
ธีรยุทธ
บุญมี
(พ.ศ. ๒๔๙? - )
"ผมเป็นวิศวกร มาเรียนทางสังคมศาสตร์
ผมยังให้คำตอบไม่ได้ว่า ทำไมคอมพิวเตอร์รุ่นเพนเทียมโฟร์ จึงมีราคาแพงกว่าข้าวหอมมะลิ
หรือแพงกว่างานศิลปะของอาฟริกา ถ้าตอบว่าลงทุนมากกว่า ทำวิจัยมากกว่าก็น่าตั้งคำถามว่า
ทำไมค่าแรงคุณจึงแพงกว่า แล้วทำไมค่าแรงคนอื่นจึงถูก คุณเก่งกว่าคนอื่นหรือไม่" |
|
เสกสรรค์
ประเสิรฐกุล
(พ.ศ. ๒๔๙๒ - )
"ปัญหามันคงไม่มากเท่านี้ ถ้าเรารู้จักวางชีวทัศน์ไว้
ในกรอบใหญ่ระดับจักรวาล ถ้ามีสำนึกเข้าใจว่าโลกมีอายุจำกัด เอกภพมีเวลาจำกัด
และชีวิตคนเป็นเพียงพริบตาเดียว ในห้วงยามเหล่านี้ บางทีเราอาจจะเบียดเบียนกันน้อยลง"
|
|
พระไพศาล
วิสาโล
"ความเป็นไทยที่เคารพความเป็นมนุษย์
ถือว่าความเป็นมนุษย์นั้นศักดิ์สิทธิ์กว่าความเป็นไทย แม้เขาจะไม่ใช่ไทย
เราก็ไม่มีสิทธิ์จะไปทำร้ายหรือใช้ความรุนแรงกับเขา เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นมนุษย์
ความเป็นไทยแบบนี้ จะทำให้ขันติธรรมและเมตตาธรรมเจริญขึ้นในจิตใจ
รักชาติแบบจิตวิวัฒน์คือรักมนุษยชาติด้วย มิใช่เห็นชาติสำคัญกว่าความเป็นมนุษย์
รักชาติแบบนี้แหละที่จะทำให้ประเทศไทยน่าอยู่ ภาคใต้เกิดสันติ และจิตใจสงบเย็น"
|