กังวานเกี่ยวข้อง > ถ้าปฏิรูปการเรียนรู้ ให้คนมีปัญญาและจิตสำนึกได้ เราก็จะแก้ปัญหาทุกอย่างได้
 

 

รัฐบาลลงทุนการศึกษาราว 1 ใน 4 ของงบประมาณทุกปี ตกปีละ 2 แสนกว่าล้านบาท แต่ไม่สามารถจัดการศึกษาที่มีคุณภาพพอ ที่จะทำให้คนมีปัญญาและจิตสำนึกเพื่อส่วนรวมไปแก้ไขปัญหาใหม่ ๆ หลายเรื่องของประเทศได้ ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา มีคนจบมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้นจากปีละ 6-7 หมื่นคน เป็น 1.2 แสนคน ในปีการศึกษา 2543(เฉพาะปริญญาโท 24,158 คน และปริญญาเอก 820 คน)

แต่คนเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นเพียงปริญญาชนที่มีความรู้ทักษะในระดับหนึ่งเท่านั้น ยังขาดความรู้ความสามารถ ที่จะเข้าใจปัญหาอย่างเป็นองค์รวม และหาทางออกให้สังคมไทยได้อยู่อีกมาก พวกเขาถูกหลอมเข้าไปในตลาดแรงงาน ของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่เน้นการบริโภค และกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา มากกว่าจะเป็นส่วนของการแก้ปัญหา

ประเด็นหลักอยู่ที่ต้องคิด ต้องสร้างความรู้ใหม่ ไม่ใช่แค่การเลียนแบบคนอื่น

เหตุที่ผู้จบการศึกษาไทยส่วนใหญ่มีคุณภาพที่จะใช้งานได้ต่ำ เนื่องมาจากการจัดการศึกษาส่วนใหญ่ อยู่ภายใต้ระบบบริหารแบบราชการที่ไม่มีประสิทธิภาพ ผสมกับการเน้นการผลิตเชิงปริมาณ เพื่อหารายได้มากไป เรารับคนเข้ามาเป็นครู อาจารย์ส่วนใหญ่จากคนที่ได้รับการศึกษาแบบเก่า มีสติปัญญาปานกลาง ไม่ใช่คนที่เป็นนักวิชาการชั้นยอด หรือไม่ได้เป็นคนใฝ่วิชาการ เป็นนักอ่าน นักค้นคว้าวิจัย ไม่ใช่คนที่มีจิตใจเป็นครูหรือปัญญาชน ผู้มีแรงจูงใจที่อยากจะเผยแพร่ความรู้ หรืออยากจะสร้างคนให้มีคุณภาพ พวกเขาจึงหยิบยืมความรู้สำเร็จรูปของคนอื่นมาบรรยาย ให้นักเรียนท่องจำเพื่อสอบ มากกว่าที่จะสอนให้นักเรียนฉลาด ซึ่งหมายถึง การทำงานหนักเพราะต้องเตรียมตัวมาก

ต้องส่งเสริมให้นักเรียน นักศึกษา อ่านหนังสือหลายเล่ม,คิดค้นคว้าเอง ซักถาม อภิปราย ทำรายงาน ทำโครงการต่าง ๆ และครู อาจารย์ ต้องประเมินผลจากข้อสอบอัตนัย และพัฒนาการในการเรียนรู้ของนักเรียนแต่ละคน นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า การศึกษา ไม่ใช่แค่การฝึกอบรม

แต่นี่คือปัญหาของคนทั้งประเทศ ไม่ใช่เฉพาะครู อาจารย์ ชนชั้นผู้นำเองทั้งนักการเมืองข้าราชการ นักบริหารระดับสูง สื่อมวลชน ฯลฯ ก็บริหารจากประสบการณ์ อารมณ์ความรู้สึก มากกว่าจะใช้การวิจัยค้นคว้า หรือระดมหาองค์ความรู้ในการตัดสินใจ และแก้ปัญหาเหมือนกัน

เมื่อครูอาจารย์ มีคุณภาพต่ำและปานกลาง วิธีการสอนการเรียนล้าหลัง กระบวนการผลิต, การเผยแพร่และการเรียนรู้ ความรู้และทักษะต่างๆ ส่วนใหญ่ จึงมีคุณภาพต่ำมาตั้งแต่ชั้นประถมและมัธยม อาจมีข้อยกเว้นบ้างสำหรับโรงเรียนดี ๆ ครูหัวก้าวหน้า นักเรียนเก่ง ๆ แต่ก็เป็นส่วนน้อยมาก

ส่วนในเรื่องการสอนให้นักเรียนมีจิตสำนึก มีพัฒนาการเติบโตทางจิตใจทางอารมณ์ทางคุณธรรม ยิ่งมีน้อย หรือมีคุณภาพในระดับยิ่งกว่าด้านความรู้ทางวิชาชีพเข้าไปอีก เด็กที่เรียนเก่งสมัยนี้ก็มักจะมีแนวโน้มที่เห็นแก่ตัว รวมทั้งมีพัฒนาการทางอารมณ์ไม่ค่อยมีวุฒิภาวะดีนัก เพราะพ่อแม่เลี้ยงลูกไม่ค่อยเป็น และถูกครอบงำโดยวัฒนธรรมทุนนิยม ที่เน้นการแข่งขันหากำไรสูงสุดแบบตัวใครตัวมัน

ทางแก้ คือ จะปฏิรูปครู อาจารย์ในทุกระดับและวิธีการเรียนการสอนอย่างขนานใหญ่ ต้องประเมินครูที่มีปัญหา เรียนรู้ใหม่ไม่ได้ ต้องให้โยกย้ายไปทำงานอื่น หรือให้เกษียณก่อนวัยหกสิบไปเลย และปฏิรูปการฝึกอบรมครูใหม่อย่างจริงจัง รับบัณฑิตสาขาขาดแคลนครูสอน เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ คอมพิวเตอร์ มาฝึกวิชาชีพครู 1 ปี และปรับให้ครูมีเงินเดือนสูงขึ้น มีแรงจูงใจอื่นๆ เพิ่มขึ้น เปลี่ยนวิธีการสอนให้นักเรียนต้องอ่าน คิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ เรียนรู้ ค้นคว้า ด้วยตัวเองมากขึ้น โดยต้องลงทุนพัฒนาห้องสมุดและแหล่งเรียนรู้ให้ดีขึ้นสักสิบเท่า

ต้องเปลี่ยนระบบการสอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย จึงจะเปลี่ยนทัศนะคติและวิธีการเรียนรู้ได้

การที่สังคมไทยให้ค่านิยมกับคนมีปริญญาสูงกว่าคนไม่มีมากเกินไป และมหาวิทยาลัยปิดของรัฐรับคนได้จำกัด คือที่มาของระบบสอบเอ็นทรานซ์ ที่กลายเป็นเป้าหมายในการศึกษาแบบท่องจำ มุ่งสอบแข่งขันเอาประกาศนียบัตรมากกว่าเพื่อเรียนรู้ เป็นคนฉลาด มีทักษะ และจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม ปัญหาการต้องแย่งกันเข้ามหาวิทยาลัยปิดของรัฐ ที่รัฐบาลให้เงินอุดหนุนสูงแต่รับได้จำกัด ส่งเสริมการเรียนแบบกวดวิชา,ท่องจำ ที่นอกจากจะทำให้นักเรียนเครียด และเห็นแก่ตัวเอง โดยได้ประโยชน์การเรียนรู้ต่ำแล้ว ยังทำให้พวกเขาไม่มีเวลาว่างในการออกกำลังกาย เรียนศิลปะ พัฒนาสมองซีกอื่น หรือมีความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัว เพื่อนฝูง ชุมชนซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในกระบวนการเรียนรู้เป็นมนุษย์และพลเมืองดี

ลูกคนจนที่พ่อแม่ไม่มีปัญญาส่งไปกวดวิชา ที่จะแพ้ในการแข่งขัน ก็จะมีปัญหาไปอีกแบบหนึ่ง เช่น ขาดความมั่นใจในตนเอง ไม่สนใจจะอ่านหนังสือ หรือเรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่สามารถจะพัฒนาอาชีพการงานได้ดี หมดโอกาสหรือมีโอกาสน้อยมากที่จะเรียนรู้ต่อ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว คนเราสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต

คนเราสามารถพัฒนาด้วยตนเองได้ ถึงจะไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย ใครก็ตามที่รู้จักวิธีที่จะเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง ยังมีโอกาสฉลาดกว่าคนเรียนจบมหาวิทยาลัย ที่ยังเรียนรู้พัฒนาต่อไปไม่เป็นจำนวนมาก

ทางแก้ คือ เราต้องเปลี่ยนกรอบคิดเรื่องการศึกษาหรือการเรียนรู้ใหม่ โดยไม่เน้นประกาศนียบัตร ปริญญาเท่ากับกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง โดยต้องส่งเสริมให้ทุกคนมีโอกาสเรียนรู้ มีโอกาสพัฒนาศักยภาพในการเรียนรู้ตัวเองอย่างทั่วถึงและหลากหลาย การศึกษาในโรงเรียนต้องสอนให้นักเรียนแข่งขันกับตัวเอง หรือรู้จักทำงานเป็นทีม แข่งขันกันทำสิ่งที่ดีมีประโยชน์ ส่วนคนที่อยากเรียนรู้ ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ควรมีโอกาสที่จะเรียนรู้จากแหล่งความรู้ต่าง ๆ เช่น ห้องสมุด โรงเรียน สำหรับผู้ใหญ่ อินเตอร์เน็ต มหาวิทยาลัยเปิด ฯลฯ รวมทั้งสมัครเข้าวิทยาลัย มหาวิทยาลัยได้ตลอดชีวิต เราต้องทุ่มเทพัฒนาอาชีวศึกษา วิทยาลัยเทคนิค วิทยาลัยชุมชน มหาวิทยาลัยเปิดให้มีคุณภาพเพิ่มขึ้น และมหาวิทยาลัยควรเปิดรับนักศึกษาตัวเอง โดยให้โควตานักเรียนดีในเขตชนบทและชุมชนแออัดเพิ่มขึ้น และคัดเลือกคนเข้าโดยวัดจากผลการเรียนเดิม แฟ้มการทำกิจกรรม การสอบความถนัด การเขียนเรียงความ การสัมภาษณ์ แทนการสอบเอ็นทรานซ์แบบปรนัย และมหาวิทยาลัยต้องเปิดใจกว้าง ให้คนสามารถโยกย้ายเข้ามาและเทียบโอนวิชาได้สะดวกขึ้น

จะพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ได้ ต้องเปลี่ยนระบบคิดเรื่องการศึกษา และการพัฒนาประเทศ ปัญหาความด้อยพัฒนาทางด้านการศึกษาและวิจัย ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทย ไม่ใช่จะแก้ได้ด้วยการเพิ่มงบประมาณ หรือทุนเพื่อจูงใจให้คนนิยมเรียนเท่านั้น ปัญหาสำคัญคือ กระบวนการเรียนการสอนทั้งระบบ ในทุกสาขาวิชายังเน้นการท่องจำมากกว่าการคิดเข้าใจ จึงไม่สามารถสร้างครูอาจารย์ที่เข้าใจวิทยาศาสตร์มากพอ และเข้าใจเรื่องเทคนิคการสอน สามารถสอนเพื่อสร้างความเข้าใจได้ สร้างความสนใจให้กับนักเรียนได้ การสร้างความสนใจในเรื่องนี้ต้องเริ่มตั้งแต่เด็กเล็กๆ ด้วยการชี้แนะ จัดกิจกรรมดึงดูดให้เด็กสนใจเรื่องธรรมชาติและวิทยาศาสตร์ที่อยู่รอบตัว เด็กก่อนเข้าโรงเรียนมักฉลาดช่างซักถามอยากรู้โน่นรู้นี้ แต่เรานอกจากจะไม่ส่งเสริมแล้ว บางครั้งยังใช้วิธีดุและขู่ให้เด็กต้องเลิกพูด เลิกถามและต้องทนเรียนสิ่งที่น่าเบื่อ วิธีการสอนตามตำราที่เน้นการท่องจำเพื่อสอบเลื่อนชั้น และสอบแข่งกันเข้ามหาวิทยาลัย ทำให้วิชาด้านวิทยาศาสตร์ไม่เป็นที่นิยมเรียน หรือกลุ่มที่เลือกเรียนมัธยมปลายวิทยาศาสตร์ก็ยังเรียนได้อย่างไม่มีคุณภาพสูงพอ เพราะระบบการสอน และวัดผลการเรียน ไม่สอดคล้องกับปรัชญาแนวคิดการเรียนการสอนแบบวิทยาศาสตร์ ที่เน้นการเข้าใจ การคิดเพื่อแก้ไขปัญหา (ที่จริงวิชาด้านสังคมศาสตร์ที่มีคุณภาพก็ต้องการสิ่งนี้เช่นเดียวกัน) ปัญหายังมาจากสภาพแวดล้อมด้านเศรษฐกิจ สังคมอื่นๆ ที่ไม่ส่งเสริมการศึกษาและวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ หรือการคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์มากเท่าที่ควร ดังนั้น ทางแก้จึงต้องปรับเปลี่ยนปลายปัจจัยไปพร้อมๆ กัน 1) ความเชื่อ/ค่านิยมของคนไทยส่วนใหญ่ที่ยกย่องคนมีบุญญาธิการ,มีอำนาจ,มีอาวุโสมากกว่าความเชื่อ ค่านิยมในระบบเหตุผลความเสมอภาคประชาธิปไตย ทั้งสื่อสารมวลชน หรือแม้ผู้บริหารกระทรวงศึกษาฯ ครู อาจารย์ส่วนใหญ่เองก็ติดอยู่ในกรอบความเชื่อ/ค่านิยมแบบจารีตนิยมนี้ และเผยแพร่ต่อ ต้องเปลี่ยนจุดให้ได้ เช่น ลดขนาดการบริหารงานส่วนกลางของกระทรวงศึกษาให้เล็กลง กระจายอำนาจ,โอกาสเรื่องการศึกษาและสื่อสารมวลชนมากขึ้น 2) ผู้เรียนสายวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ โดยตรงไม่มีความก้าวหน้าทางอาชีพ และผลตอบแทนเท่าคนเรียนสายวิชาชีพ เช่น แพทย์ วิศวกร เพราะทั้งรัฐบาลและภาคเอกชน ไม่ได้สนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นโยบายพัฒนาประเทศเป็นแบบหวังพึ่งพาต่างชาติ การพัฒนาอุตสาหกรรมของไทยอาศัยความรู้ในการผลิต แบบสั่งเข้ามาจากต่างประเทศ มากกว่าจะลงทุนวิจัยและพัฒนาในสิ่งที่มีอยู่ในประเทศ และคิดปรับปรุงพัฒนาการผลิตภายในประเทศอย่างเป็นตัวของตัวเอง ฯลฯ

นโยบายที่เป็นปัญหาเหล่านี้ ต้องเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง เราต้องดำเนินนโยบายพัฒนาประเทศบนขาของเราเองด้วยการทุ่มเทการศึกษา การวิจัยและพัฒนาด้านการเกษตร เทคโนโลยีชีวภาพ การแพทย์ทางเลือก พลังงานทางเลือก เทคโนโลยีที่เหมาะสม เศรษฐกิจพอเพียง การพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น การสร้างครอบครัวและชุมชนให้เข้มแข็ง เศรษฐกิจแบบชาวพุทธ และเศรษฐกิจแบบอนุรักษ์สภาพแวดล้อม เราจึงจะมีทางหาภูมิปัญญาที่ใหม่และเหมาะสมที่จะแก้ปัญหาวิกฤตของประเทศได้

 

วิทยากร เชียงกูล
ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทางด้านสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต

นสพ.มติชน 11 มี.ค.46



หน้าแรก
| ปัญญาชนสยาม | หนุ่มสาวดัดจริต | กังวานเกี่ยวข้อง | ข้าวตอกดอกมะเขือ | กลับสู่ด้านบน

เว็บไซต์นี้จัดทำด้วยความกระตือรือล้นของใครหลายคนนั้น
ก้อนหิน และหรือดอกไม้ กรุณาหารือกับนักการ
พยายามปรับปรุงข้อมูลครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๔๖