กังวานเกี่ยวข้อง > ฮีโร่
 

"ลอยล่องคลอเมฆฟ่องคล้องฟ้า
จะออกค้นหาดวงดาว…
แรมรอนอ้อนราตรีถึงเช้า
เหนื่อย หนาว โดยลำพัง หวังได้พบ"
--เสกสรรค์ ประเสริฐกุล "เพลงเอกภพ"
-- สำนักพิมพ์สามัญชน ตุลาคม 2536

ผมได้ยินกิตติศัพท์ของธีรยุทธ บุญมี เป็นครั้งแรกในตอนกลางปี พ.ศ. 2515 เมื่อผมได้เข้ามาเป็นนักเรียนชั้น ม.ศ. 4 แผนกวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาได้เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง ธีรยุทธ บุญมี…
อดีตนักเรียนสายวิทยาศาสตร์ที่สอบไล่ชั้น ม.ศ. 5 ได้เป็นที่หนึ่งของประเทศไทยจากโรงเรียนสวนกุหลาบ สอบเข้าและจบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นคณะอันดับหนึ่งสำหรับผู้ที่ใฝ่ฝันจะเป็นวิศวกรด้วยคะแนนดีเยี่ยม มิหนำซ้ำยังเป็นนักกิจกรรมตัวยงระดับเลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยที่กำลังรณรงค์ต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น กล่าวสำหรับเด็กนักเรียนสายวิทยาศาสตร์ "รักเรียน" และต้องการเรียนต่อในคณะวิศวกรรมศาสตร์อย่างผมแล้ว ธีรยุทธคือ "ฮีไร่" คนหนึ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดของผมและเพื่อนๆ ของผมอีกหลายคนในยุคนั้น ยุคทศวรรษที่ 2513 (ค.ศ. 1970) ในสังคมไทย เป็นยุคของความหลงในความเป็น "วีรบุรุษ" โดยแท้ กว่าผมและเพื่อนๆ จะเข้าใจถึงความหมายที่แท็จริงของยุคทศวรรษที่ 2513 ได้ ก็ต้องผ่านพ้นและเผชิญกับความเจ็บปวดรวดร้าวทรมานทางจิตใจ และจิตวิญญาณเป็นเวลานานนับปีเลยทีเดียว

"งานเขียนเกือบทุกชิ้นที่นำมารวมไว้ใน "เพลงน้ำระบำเมฆ" ของผม (เสกสรรค์ ประเสริฐกุล) เป็นเรื่องเศร้า หรือแฝงไว้ด้วยความรันทดสลดหมอง ที่ไม่อาจเขียนให้เป็นอื่นไปได้ มันเป็นความรันทดรวมหมู่ซึ่งต่อเนื่องมาจากชะตากรรมของบ้านเมืองมันเป็นบาดแผลแห่งยุคสมัยที่แม้วันนี้ (พ.ศ.2531) คนรุ่นเดียวกับผมก็ยังคงต้องแบกทานมันอยู่โดยลำพัง ริ้วรอยรูปธรรมนั้นอาจจะแตกต่างกันไปบ้าง แต่กล่าวสำหรับอารมณ์ความรู้สึกนั้นอาจพูดได้ว่าคล้ายคลึงกันทุกผู้นาม…ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ควรจะหวานชื่น คนรุ่นเราได้เดินสู่นรกเพื่อหนทางแห่งสรรค์บาดแผลนั้นยังอยู่ และหลายคนยังคงต้องดิ้นรนเอาชนะมัน"
--เสกสรรค์ ประเสริฐกุล "คำนำ" ของ
--เพลงน้ำระบำเมฆ, สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น

ในช่วงที่กำลังจะเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 นั้นเป็นช่วงที่โรงเรียนของผมกำลังอยู่ในระหว่างการสอบกลางปีอยู่พอดี ผมไม่ได้เข้าไปร่วมชุมนุมเลยแม้แต่เพียงครั้งเดียว เพราะความเป็น "เด็กที่อยู่ในโอวาท" และความที่ไม่ประสีประสาทางการเมือง แม้ในส่วนลึกของจิตใจจะคล้อยตาม "พี่ๆนักศึกษา" ก็ตาม แต่ "เพื่อนรัก" คนนั้นของผมได้ไปร่วมชุมนุนด้วยเกือบทุกคืนเพราะเขาได้รับอิทธิพลทางความคิดจากพี่ชายของเขา ซึ่งกำลังเป็นนักศึกษาธรรมศาสตร์ในขณะนั้น ดังนั้นเขาจึงตามพี่ชายไปร่วมชุมนุมด้วย ตัวผมได้รับทราบเรื่องราวของเหตุการณ์ 14 ตุลา ก็จากปากคำของเขานี่เอง

เหตุการณ์ 14 ตุลาคม ทำให้ผมและคนไทยกว่าค่อนประเทศได้รู้จักชื่อของ "เสกสรรค์ ประเสริฐกุล" …ชายหนุ่มหน้าตาดี รูปร่างสูงใหญ่ ผู้ชอบสวมหมวกเบเล่ย์ที่ปรากฎตัวขึ้นมาบนเวทีการเมืองไทยอย่างฉับพลันและอย่างโอฬารตระการตาดุจ "ดอกไม้ไฟ" คนนั้น
"ในการต่อสู้ 14 ตุลาคม 2516 เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมการชุมนุมของนักศึกษาประชาชนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และการเดินขบวนประท้วงรัฐบาลซึ่งสืบเนื่องต่อมา สำหรับในด้านการวางแผนการต่อสู้นั้น เสกสรรค์ได้ทำหน้าที่ร่วมกับผู้นำนักศึกษาคนอื่นๆ ของธรรมศาสตร์ และศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย

ตลอดเวลาที่มีการประชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยอยู่หลายวันจนกระทั่งเกิดการเดินขบวนนั้น เสกสรรค์ไม่เคยอยู่ในคณะผู้แทนนักศึกษาที่เข้าเจรจากับรัฐบาล??? ??A ?และนั่นเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดความขัดแย้งและเข้าใจผิดในหมู่ผู้นำนักศึกษาเมื่อเช้ามืดของวันที่ 14 ตุลาคม 2516 จนกระทั่งในช่วงหนึ่งก็ได้มีการทอดทิ้งให้เสกสรรค์นำขบวนอยู่เพียงผู้เดียว โดยที่กรรมการศูนย์นิสิตฯ ส่วนใหญ่หันไปยืนอยู่ฝ่ายรัฐบาล.." (หน้า 17)
--นิตยา มาศะวิสุทธิ์ เขียนคำนำเสนอ
--"ปากคำประวัติศาสตร์": รวมบทสัมภาษณ์
--เสกสรรค์ ประเสริฐกุล (พ.ศ.2517-2531)

ดอกไม้ไฟมักปรากฎโฉมให้เราเห็นเพียงวูบเดียว หรือเพียงชั่วพริบตาแต่วูบนั้นได้เปล่งประกายเจิดจรัสอย่างงดงามยิ่ง ตรึงตาตรึงใจยิ่งเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ไม่เพียงแต่กำหนดชะตาชีวิตของเสกสรรค์ ประเสริฐกุลให้พลิกผันจากอดีตนักศึกษาโค่งผู้แปลกแยกกับสังคมเมือง ผู้ต้องใช้เวลาเรียนหนังสือถึงแปดปีในมหาวิทยาลัย ซึ่งในภาวะปกติเขาคงจะกลายเป็นคนในวงการหนังสือพิมพ์ธรรมดาคนหนึ่งเหมือนเช่นอีกหลาย ๆ คน กลายเป็น "ผู้นำนักศึกษาและฝูงชนเรือนแสน" ในสถานการณ์สู้รบคับขันวิกฤตและเป็น "นักรบในเวลาต่อมา รวมทั้งอีกหลายบทบาทที่ประวัติศาสตร์ยังไม่ได้ "เขียนบท" ให้แก่เขา

เมื่อยี่สิบปีก่อนนั้นเวลาผมมองดู "เสกสรรค์" ผมมองเขาเหมือนกับมองดู "ดอกไม้ไฟ" ดวงหนึ่งซึ่งงดงามยิ่ง ลานตายิ่ง และยิ่งเมื่อดอกไม้ไฟดวงนี้ถูกแต่งแต้มเคียงคู่ด้วยสาวงามผู้มีบทบาทเด่นดังไม่แพ้เขาในเหตุการณ์14 ตุลาคม อย่าง "จีระนันท์ พิตรปรีชา" ผมยิ่งรู้สึกว่า "เขา" และ "เธอ" คู่นี้ ช่างไม่ต่างไปจากพระเอก-นางเอกของละครแห่งชีวิตคู่หนึ่ง แบ็กกราวนด์ของละครเรื่องนี้คือกระแสเผด็จการ ส่วนฉากประกอบบนเวทีคือลานโพธิ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กับถนนราชดำเนิน ส่วนบทละครโครงเรื่องคือพัฒนาการของทุนนิยมไทยภายใต้ระบอบอำนาจนิยม ส่วนบทเจรจานั้นเป็นเรื่องความสามารถเฉพาะตัวที่ผู้เล่นแต่ละคนจะต้องใช้ไหวพริบกันเองทุกคนเพียง??? ??A ?ทราบแค่แบ๊กกราวนด์ ของเรื่อง กับบทบาทที่ตัวเองได้รับเท่านั้น โดยที่นักศึกษาประชาชนคือตัวประกอบที่สำคัญยิ่ง

แต่ภายหลังจากที่ผมได้ติดตามบทบาท ของคู่พระคู่นางสองคนนี้มาโดยตลอดร่วมยี่สิบปี ผมได้พบว่าจาก "มุมมอง ห้วงเวลา และตัวตน" ที่ผมใช้ในการชม "ความงามแห่งชีวิต" จากตัวละครที่เป็น "ฮีโร่" ที่ผมชื่นชอบคนนี้นั้นภาพลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไปจากเดิม จาก "ดอกไม้ไฟ" ดวงหนึ่งกลายเป็น "แท่งเทียน" ท่อนหนึ่ง

ผู้คนส่วนมากมักแลเห็นเพียงด้าน "สว่าง" ของแท่งเทียน โดยหาตระหนักรู้ไม่ว่า กว่าที่เทียนจะกลายมาเป็นแท่งเทียนที่เปล่งแสงสว่างให้แก่ผู้คนทั้งหลายได้นั้น แท่งเทียนจะต้องใช้เวลา ความมานะ วิริยะ อุตสาหะ พากเพียร อดทน ฝึกฝนตัวเองมามากมายขนาดไหน แท่งเทียนจะต้องกล้ำกลืนแบกรับความปวดช้ำ ขมขื่น เจ็บร้าว ทั้งปวงอย่างยิ่งยวดยาวนานเพียงใด
แม้จนถึงขั้นสุดท้ายที่เทียนได้ฝึกฝนเคี่ยวกรำตนเอง จนสามารถกลายเป็น "แท่งเทียน" ได้สมมาดปรารถนาแล้ว ภาระกิจหนึ่งเดียวเพียงประการเดียวที่มันพึงกระทำ คือ การจุดไฟเพื่อหลอมละลายตัวเอง เพื่อให้แสงสว่างให้ความอบอุ่น ให้แรงบันดาลใจแก่คนอื่น แม้จะเพียงชั่ววูบก็ตาม

ผมได้แลเห็นด้าน "สว่าง" แห่งการเปล่งแสงดุจแท่งเทียนอย่างเรืองโรจน์ของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ในช่วงสั้นๆ ตอนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 แต่ที่ได้แลเห็นมากกว่านั้นยาวนานมากกว่านั้น โดยผ่านงานเขียนของตัวเองกลับเป็นด้าน "มืด" ของแท่งเทียนเพื่อการกล้ำกลืนความปวดร้าวเจ็บซ้ำและขมขื่นของเสกสรรค์
เป็นเวลานานเกือบสองทศวรรษทีเดียว กว่าที่ผมเพิ่งจะได้แลเห็น "แท่งเทียน" เล่มนี้ กำลังเตรียมที่จะเปล่งประกายอีกครั้งหนึ่ง ในบทบาทใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม อันเป็นการเปล่งประกายเพื่อหลอมละลายตั??? ?? ?????วเอง
ซึ่งอาจเป็นครั้งสุดท้าย

เหตุการณ์ 14 ตุลาคม ไม่เพียงลิขิตชะตาชีวิตหลังจากนั้นของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล และพรรคพวกของเขาเท่านั้น แต่ยังได้ส่งผลสะเทือนอย่างลึกซึ้งต่อชะตาชีวิตของเยาวชนคนอื่นๆ ที่ต่างก็หลงใหลในความงามของ "ดอกไม้ไฟ" ในวิถีแห่ง "นักรบ" เช่นนั้นด้วยไม่ช้าก็เร็ว ผมได้ตัดสินใจที่จะเลือกเดินบนหนทางชีวิตในวิถีแห่ง "นักรบ" เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2518 ภายหลังจากที่ผมได้เดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศญี่ปุ่นแล้วเกือบปีครึ่ง และภายหลังจากที่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม ได้ยุติไปแล้วเกือบสองปีเต็ม เมื่อ "เพื่อนรัก" ของผมคนนั้นได้ตัดสินใจเลือกบนวิถีของนักรบไปก่อนหน้าผม และได้แจ้งการตัดสินใจของเขาให้ผมทราบ

ในขณะนั้น นักศึกษาไทยในเกียวโตจำนวนหนึ่งได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มศึกษาเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง ติดตามความเป็นไปของบ้านเมือง เป็นสิ่งที่ยากจะปฏิเสธได้ว่า ความร้อนแรงในความเคลื่อนไหว ของขบวนการนักศึกษาในประเทศไทยได้ส่งผลกระตุ้นมาถึงนักศึกษาไทยในต่างแดนด้วยเช่นกัน วันหนึ่งเพื่อนรุ่นพี่ของผมคนหนึ่งได้หยิบยกข้อเขียนชิ้นหนึ่งของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ที่เขียนเกี่ยวกับทฤษฎีสสารนิยมประวัติศาสตร์
( HISTORICAL MATERIALISM) ออกมานั่งอ่านและถกเถียงร่วมกัน

ในตอนนั้น กลุ่มศึกษากลุ่มนี้ไม่มีใครสามารถเข้าใจ "เนื้อหาที่เข้มข้น" ของบทความชิ้นได้เลย พวกเรานั่งนิ่งอย่างรู้สึกจนปัญญาในความไม่รู้ ไม่แตกฉานทางทฤษฎีของตนเอง สักครู่เพื่อนรุ่นพี่ของผมคนนั้นก็ได้พูดเปรยออกมาเบาๆ ว่า
"ถ้าพวกเรามีความสามารถในการคิด การเขียน และการวิเคราะห์ในระดับเดียวกับเสกสรร์ได้ ก็คงทำอะไรได้อีกมากมายเลยทีเดียว"
"มือใหม่" อย่างผมได้ตั้งปณิธานไว้กับตนเองในใจตั้งแต่บัดนั้นว่า ??? ??A ? สักวันหนึ่งผมจะต้องฝึกฝนตนเองให้มีความสามารถเยี่ยงนั้นให้จงได้ แม้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกหลายปีเพียงใดก็ตาม

นับตั้งแต่สมัยมัธยมปลายที่ผมอยู่ที่โรงเรียนเตรียมอุดมแล้ว ที่คนรุ่นผมได้ถูกหล่อหลอมให้ "แข่งขันกันเอง" โดยวัดกันที่ "ความสามารถภายในตัว" มิใช่ "สมบัตินอกตัว" หรือความมั่งคั่ง อำนาจ วาสนาของตระกูลที่พวกเขาถือกำเนิดมาและเป็นของนอกกาย
การยอมรับในหมู่พวกเดียวกันเองในเรื่อง "ความสามารถภายในตัว " เช่นนี้มีความหมายยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ในโลกหล้า สำหรับเด็กหนุ่มในวัยที่กำลังเลือดพล่านไฟแรงอย่างพวกผม ดุจเด็กหนุ่มยุคโบราณที่หลงไหลในฝีมือกระบี่ หาใช่นารีรูปงาม หรือทรัพย์ศฤงคาร บ้านช่องที่โอ่อ่าไม่ นั่นเป็นความปรารถนา เป็นเรื่องของคนชรา หรือชายวัยกลางคนที่หมดไฟแล้ว หมดปณิธานความมุ่งมั่นในชีวิตไปแล้ว

สำหรับคนหนุ่ม ที่มีวิญญาณแห่งความเป็นนักรบอย่างเต็มเปี่ยมในหัวใจเช่นในยุคทศวรรษ 2513 นั้น การแสวงหาความมั่นคงในชีวิตเป็นเรื่องที่น่าละอายยิ่ง การแสวงหา การต่อสู้ การแสวงหา STORY ให้กับตนเองต่างหากจึงเป็นรสชาติ จึงเป็นคุณค่า จึงเป็นความหมายแห่งชีวิตที่แท้จริง

"สิ่งที่ผม (เสกสรรค์ ) นึกถึงในสมัยที่ใช้ชีวิตเป็นนักศึกษาคือ
ความกล้า ความใฝ่ฝัน การแสวงหา และอะไรก็ได้ที่เป็นการค้น
หาดินแดนของตัวเอง บนพื้นพิภพที่แออัดแห่งนี้ กล้าลอง กล้าลุย
กล้าล้ม และกล้าที่จะลุกขึ้นอีก.. ถ้าผมจะต้องนิยามวัยหนุ่มให้
ใครฟัง ก็คงนิยามไว้เช่นนั้น และถ้าใครมาถามผมว่า สิ่งสุดท้ายที่
คนหนุ่มควรแสวงหาคืออะไร ผมก็จะตอบว่าคือความมั่นคงใน
ชีวิต …ถ้าให้ผมมองย้อนหลังไปแล้ว หลายเรื่องที่ตัวเองหรือ
เพื่อนๆ ทำลงไป ก็นับเป็นเรื่องไร้สาระพอสมควรทีเดียว
บางอย่างก็บ้าบิ่น เจ็บเนื้อเจ็บตัวบางอย่างก็ผิดเอามาก??? ??A ?ๆ อย่าง
ไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่ผมไม่เคยสำนึกเสียใจเลย คือการได้ท้าทาย
โลกอย่างหนำใจ"
--เสกสรรค์ ประเสริฐกุล "คลื่นเสรีภาพ"
--สำนักพิมพ์สามัญชน ตุลาคม 2536

 

สุวินัย ภรณวลัย

วิถีมังกร สำนักพิมพ์เคล็ดไทย



หน้าแรก
| ปัญญาชนสยาม | หนุ่มสาวดัดจริต | กังวานเกี่ยวข้อง | ข้าวตอกดอกมะเขือ | กลับสู่ด้านบน

เว็บไซต์นี้จัดทำด้วยความกระตือรือล้นของใครหลายคนนั้น
ก้อนหิน และหรือดอกไม้ กรุณาหารือกับนักการ
พยายามปรับปรุงข้อมูลครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๔๖