"ผู้ยิ่งใหญ่ไม่สนใจเกษตร
...อย่างนี้ตายแล้ว
!"
แม้วันนี้วัยของ
"ศ. ระพี สาคริก" จะผ่านเลย
๘ ทศวรรษมาหลายปี
แต่กลับเป็นผู้อาวุโสที่ไม่เคยอยู่นิ่งทั้งคิด
ทั้งเขียน
ทั้งไปบรรยายตามที่ต่างๆ
รวมทั้งออกต่างจังหวัดเพื่อให้ความรู้
และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้คน
ในวันที่
"ประชาชาติธุรกิจ"
นัดไปสัมภาษณ์แม้ตั้งใจไปตั้งคำถาม
และฟังความเห็นเรื่องเกี่ยวกับเกษตร
และผลกระทบของเอฟทีเอต่อประเทศไทย
แต่คำตอบที่ได้รับกลับมามากกว่านั้น
ศ.ระพีกะเทาะลึกถึงรากแห่งปัญหา
ทั้งเรื่องของปัญหาการเกษตร
เอฟทีเอ และการบูรณาการ
ถ้อยคำหนึ่งที่ผู้อาวุโสเปล่งออกมาฟังแล้วน่าตกใจอย่างยิ่งนั่นคือ
"ผู้ยิ่งใหญ่ไม่สนใจเกษตร...อย่างนี้ตายแล้ว"
ทำไม
"ศ. ระพี สาคริก" ถึงกล่าวเช่นนั้น
ต่อไปนี้คือมุมมองของผู้อาวุโสที่น่านำไปขบคิดอย่างยิ่ง
ทำไมการแก้ปัญหาของเกษตรกรใช้วิธีจ่ายเงินมาโดยตลอด
ผมเห็นมานานแล้ว
เคยเขียนบทความชื่อว่า
"เวลานี้สังคมไทยกำลังทำลายตัวเอง"
ตอนนี้โลกกำลังหมุนกลับ
มันกำลังทำลายตัวเอง
ผมพูดอยู่เสมอว่า
เวลานี้หลายคนอยู่อย่างเลื่อยเสาเรือนของตัวเองทิ้งโดยไม่รู้
เพราะไม่รู้ว่าเราเป็นใคร
เกิดมาจากไหน
ไม่รู้กระทั่งว่าบ้านเราตั้งอยู่บนอะไร
ผมเองก็ยังออกพื้นที่บ่อยๆ
เร็วๆ นี้ก็จะไปที่อุบลฯเพื่อประชุมวิชาการเรื่องเอฟทีเอ
เมื่อ ๒ ปีก่อนก็เกิดเรื่องกล้วยไม้
หลายคนคิดว่าเป็นเรื่องกล้วยไม้อย่างเดียว
ทั้งที่ไม่ใช่
เพราะถ้าเป็นเรื่องกล้วยไม้อย่างเดียวไม่มีคนอื่นเข้ามาช่วยเต็มไปหมด
เรื่องกล้วยไม้ยังเล็ก
แต่ว่ามันอยู่บนฐานเดียวกัน
เพราะเรื่องนั้นคนในรัฐบาล
มีตำแหน่งสูงเหมือนกันลงมาเล่นเอง
ผมจึงบอกว่าไม่ได้สู้กับต่างชาติ
แต่สู้กับคนไทยกันเองนี่แหละที่ชักศึกเข้าบ้าน
ผมเห็นว่าเกษตรไม่ใช่แค่อาชีพแต่เป็นวัฒนธรรม
ถ้ามองแค่อาชีพ
มองตื้นเกินไป
เกษตรถ้ามองที่จิตใจคนแล้ว
คนที่เป็นเกษตรกรจริงๆ
เขาอบรมบ่มนิสัยให้คนรักแผ่นดินถิ่นเกิดของตัวเอง
ไม่ทำให้เสียหาย
แต่การศึกษาไปเอาปุ๋ยเคมีเอาอะไรเข้ามาจนเกิดความเสียหาย
การศึกษาไม่ได้สร้างความรับผิดชอบให้กับคน
คนจะมีความรับผิดชอบต้องเป็นตัวของตัวเอง
!
ในฐานะที่ศึกษาเรื่องเกษตรกรมามาก
อยากให้คำแนะนำรัฐมนตรีอย่างไร
เพราะช่วงหลังนี่เกษตรกรของเรามีแต่แย่ลง
ขอโทษนะ
ผมขอชี้อีกทาง
ไหนว่าประชาธิปไตยจะสร้างข้างล่างขึ้นมาข้างบนไงล่ะ
แล้วทำไมไปให้คนข้างบนล่ะ
ทำอย่างไรที่จะให้เกษตรกรเขาฉลาดและไม่ซื้อได้ด้วยเงิน
นี่แหละตรงนี้ต่างหากล่ะ
และพวกที่เป็นนักวิชาการควรเขียนให้ชาวบ้านเขารู้เรื่องอย่างที่ในหลวงท่านว่า
เราไม่รู้จักตัวเองว่าเราเกิดมาจากไหน
เราเป็นใคร
เราไม่ภูมิใจในตนเอง
แต่เราไปภูมิใจในด้านตำแหน่ง
ด้านอำนาจ
คนที่ภูมิใจในตัวเองมีน้อยมาก
มีกายเป็นคนไทยแต่มีใจเป็นทาส
แล้วยิ่งผู้ยิ่งใหญ่เขาบอกว่าเขาไม่สนใจประวัติศาสตร์
เขาไม่สนใจเกษตร
อย่างนี้ตายแล้ว
!
ทำอย่างไรให้เขากลับตัวกลับใจได้
แหม
! ต้องเจ็บหนัก
จริงๆ มันก็มีตัวอย่างแต่เราไม่มอง
มาร์คอสก็โดนมาแล้วใช่ไหม
อีกกี่คนที่โดนมาแล้วในการทำบ้านเมืองเสียหาย
แต่มันก็สอนประชาชนเหมือนกัน
ถ้าเขาเจ็บ
ประชาชนก็เจ็บด้วย
ใช่
เวลานี้พูดกันว่าบูรณาการ
พูดกันว่าเครือข่าย
ความจริงของเรามีมานานแล้ว
เมื่อก่อนผมตัวเล็กๆ
ใครแกงอะไรรู้กันหมด
เพราะมีน้ำใจเอามาแบ่งปันกัน
ไม่ใช่ไปโฆษณาว่าคนไทยมีน้ำใจ
แต่คิดดูสิเดี๋ยวนี้มีอะไร
เขาจับได้ว่าหาประโยชน์เท่านั้น
ผมได้ยินแล้วผมสะดุ้งทุกที
หลอกคนเรื่อยไป
เราปฏิเสธตัวเอง
เวลานี้ตีความหมายคำว่า
"บูรณาการ"
น่ากลัว
ตีความหมายว่าเป็นการรวบอำนาจ
มองด้านวัตถุเลย
ทั้งที่ความจริงบูรณาการนั้นเป็นด้านจิตใจ
!
เรื่องเอฟทีเอนี่เป็นเรื่องผลกระทบกับชาวบ้านโดยตรงเลย
ถ้าไม่พูดให้เขาเข้าใจ
เขาก็ไม่ลุกขึ้นมา
จะเจตนาหรือไม่เจตนาผมไม่รู้ล่ะ
หรือว่าพูดให้มันไม่รู้เรื่องเสียงั้นแหละจะได้รีบไปทำเสียก่อน
หรือว่าเพราะมีนิสัยชอบพูดอย่างนี้และทำให้ชาวบ้านไม่รู้เรื่องมันก็เป็นได้
ผมทำเต็มที่แล้วเท่าที่จะทำได้
ข้อสำคัญไม่ใช่ทำเพราะอยากทำ
แต่ทำแล้วมีความสุขก็ทำ
คนเราถ้ามีความสุขแล้วมายาภาพไม่มีหรอก
ถ้าฝืนใจทำแล้วเดี๋ยวอย่างอื่นก็โผล่
อย่างเวลาหาเสียงก็เข้าไปยกมือไหว้ชาวบ้าน
พ่อค้า แม่ขาย
ชิมโน่น ชิมนี่
ชิมนั่น พอธีรยุทธหรือนักวิชาการพูดอะไรออกมา
ยังกับแม่ค้าตลาด
ว่าดูถูกกันเกินไปแล้ว
ไหนวันนั้นคุณไปยกมือไหว้เขาทั่วไปหมด
อย่างนี้มันมองออกครับ
พอเกิดอารมณ์มันออกเลย
กลบไม่มิด
เสียงสะท้อนของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากเอฟทีเอมียัง
ผมตีความอย่างนี้นะ
มนุษย์เราถ้ามีความรักแผ่นดิน
มีความเป็นชาติ
มีความมั่นคง
ถ้าคนเราไม่รักแผ่นดิน
หลุดออกไปแล้วความเป็นชาติไม่มี
และอันตราย
ความเป็นชาติไม่มี
ถึงแม้ใจเราไม่ถือชาติไหนๆ
แต่เราก็มีรากเหง้า
เรารู้ตัวว่าเราเกิดที่ไหน
เช่น ผมบอกว่าไม่มีศาสนาเพราะจริงๆ
แล้วผมเข้ากับคนได้ทุกศาสนา
แต่ผมก็รู้ว่าผมเกิดมาจากไหน
ผมเกิดกลางใจเมืองกรุงเทพฯ
แต่ใจผมอยู่ทั่วไปหมด
ผมรู้สึกว่าการได้เรียนรู้สิ่งแปลกๆ
ใหม่ๆ ทำให้ใจเรากว้าง
ทำให้ใจเรามั่นคง
เรารู้คุณค่าของตัวเองถึงอยู่ได้อย่างสบายใจ
สัมภาษณ์
ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ ๒๓ สิงหาคม
๒๕๔๗
ปีที่ ๒๘
ฉบับที่ ๓๖๑๒
(๒๗๑๒)
|