ต้องกล่าวว่า
ศ.ดร.ระวี ภาวิไล คือปราชญ์ผู้รู้ทั้งสองศาสตร์ ศาสตร์แรกคือวิทยาศาสตร์
ศาสตร์ที่สองคือพุทธศาสนา ทั้งสองศาสตร์นี้อาจารย์ระวีมองว่า - เป็นคนละเรื่องเดียวกัน
และแม้ว่า ณ บั้นปลายชีวิตของอาจารย์จะละทิ้งวิทยาศาสตร์ ถึงจะศึกษาบ้างก็แต่เพียงน้อยนิด
เนื่องจากในเวลาที่เหลือ - อาจารย์มีสิ่งที่ไม่รู้ต้องศึกษาอีกมากมาย...
"ผมยังไม่รู้อะไรอีกเยอะ... วิทยาศาสตร์ผมเลิกสอนมานานแล้ว แต่อันที่จริงผมก็ต้องตามเรียนรู้อยู่บ้างก็เพราะผมถูกถามอยู่เรื่อยเวลาเกิดโน้นเกิดนี่
เขาควรจะไปหาคนอื่นบ้าง เหตุที่ผมสนใจน้อยเพราะว่าผมมีเวลาเหลือน้อย
อายุผมจวนจะ 79 แล้ว พระพุทธเจ้าปรินิพาน 80 ผมไม่รู้ว่าผมจะอยู่ยาวกว่าพระพุทธเจ้าหรืออายุสั้นกว่าด้วยซ้ำไป
แต่-ผมยังอยากรู้ อยากเข้าใจ สิ่งที่ยังไม่รู้ ไม่เข้าใจ
การที่จะรู้ - เข้าใจ มาถึงตรงนี้ผมต้องพูดถึงวิทยาศาสตร์ก่อน
นั้นคือสมอง มักมีคนคิดว่า จิตไม่มีหรอก มีแต่สมอง รู้จักสมองแล้วจะรู้จักพฤติกรรม
แล้วก็ไม่ต้องอธิบายด้วยจิต แต่มีอีกพวกหนึ่งบอกว่าไม่ได้ มันไม่มีได้อย่างไร
จิตเป็นสิ่งที่รู้ได้ด้วยปรากฏการณ์ ปรากฏการณ์เฉพาะหน้า คุณคิดว่าคุณมีการรับรู้หรือเปล่า
ไม่ต้องไปอ้างถึงว่ามันรับรู้เพราะแสงมาเข้าตา หรือเสียงมาเข้าหู
ถึงรับรู้ แต่รับรู้หรือเปล่า แม้แต่นอนหลับไปก็ยังไปรับรู้อีกโลกหนึ่งที่เป็นโลกของความฝัน
ทั้งหมดเหล่านี้มันควรจะเป็นเรื่องเดียวกัน นี่คือสิ่งที่ผมกำลังพยายามทำความเข้าใจ
เข้าใจได้แค่ไหนก็แค่นั้นนะ เพราะเวลาผมเหลือน้อยแล้ว แล้วธุระอะไรผมถึงจะไปยุ่งกับเรื่องโน้นเรื่องนี้
ใครเชิญผมไปไหน ผมจึงมักจะไม่ไป แม้แต่คุณติดต่อมาผมก็ยังจะไม่ให้สัมภาษณ์เลย
ผมต้องการกาลเวลาทั้งหมดเป็นของผมเพื่อทำงานที่เป็นส่วนตัว "
นับจากเวลานี้เป็นต้นไปอาจารย์ระวี
ภาวิไล จะทุ่มเวลาทั้งหมดเพื่อศึกษาพุทธศาสนา
"ผมสนใจเรื่องการวิเคราะห์จิตใจ
คัมภีร์อภิธรรม เรียกว่าหลังจากเป็นอภิธรรมปิฎก อภิธรรมปิฎกเรียกว่าเป็นเนื้อแท้ของความรู้ในพุทธศาสนา
ผมไม่จำเป็นต้องนำเอาวิทยาศาสตร์มาจับในพุทธศาสนา มีคนที่พยายามที่จะอธิบายหลักกรรมโดยปฏิกิริยาแอ็คชั่น
รีแอ็คชัน หรืออธิบายสวรรค์ นรก โดยกล่าวถึงโลกอื่น ดาวดวงอื่น ผมไม่เอาด้วยหรอก
.มันเป็นคนละเรื่องเดียวกัน (หัวเราะ)
ด้านของชีวิตมันมีสองด้าน พระพุทธเจ้าท่านได้จำแนกไว้ในคำสอนแล้วคือ
รูปกับนาม รูปคือด้านวิทยาศาสตร์เข้าไปศึกษามาก นามคือด้านที่เป็นเรื่องของจิตใจ
วิทยาศาสตร์ไม่ได้ศึกษาเท่าไร คนตะวันตกเขาก็ศึกษาเหมือนกันแต่ศึกษาในนามจิตวิทยา
เรื่องของนาม จิตใจนั้นมีหมดแล้วในคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็มาปรากฏในพระอภิธรรมเป็นระบบเลยทั้งรูปทั้งนาม
...
ผมพูดในที่หลาย ๆ แห่ง พระพุทธเจ้าท่านทรงกล่าวถึงเรื่อง
- โลกและชีวิต โลกคืออะไร ชีวิตคืออะไร เราจะเข้าใจโลกและชีวิตได้อย่างไร
...
เราจะเข้าใจได้ในกายยาววาหนาคืบที่มีใจครอง
วาหนึ่งนั้นมันเท่ากับความสูงของร่างกายเราพอดีนะ เพราะฉะนั้นกายยาววาหนาคืบหนึ่งคือรูปกายนี่แหละ
และที่บอกว่ามีใจครอง ก็คือใจประกอบอยู่ด้วยนะ ใจที่ประกอบรูปนามนี้
ไม่ได้ไปประกอบรูปนามนั้น (หัวเราะ) ของใครก็ของใคร แต่รูปนามนั้นจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกันนั้นมันอีกระดับหนึ่ง
เพราะฉะนั้นการที่เราจะเข้าใจโลกและชีวิตได้
เราต้องเข้าใจตัวเองก่อน คือกายยาววาหนาคืบที่มีใจครองให้ถ่องแท้แล้วก็จะเข้าใจโลกและชีวิตทั้งหมด
ไม่ต้องไปหาที่อื่น "
"สิ่งที่ผมพูดมันอาจดูง่ายนิดเดียว
เขาเรียกว่าเส้นผมบังภูเขา (หัวเราะ) มันง่ายแบบเส้นผมบังภูเขา ถ้าหากว่าในตาคุณนั้นถูกอะไรบังสักนิดเดียวคุณก็ไม่เห็นภูเขา
ถ้าเส้นผมมาแหย่กลางตาของคุณ ประสาทตาคุณก็เสีย คนที่จะศึกษาเรื่องนี้ต้องเป็นคนที่มองกว้าง..."
อาจารย์ระวี ภาวิไล ได้เขียนสรุปทิ้งท้ายไว้ในบทความ
"เรียนรู้โลกและชีวิต" ไว้ว่า...
การจำแนกสรรพสิ่ง เป็นการสนองตอบความปรารถนาของจิตที่ปรุงแต่งความคิด
เพื่อยืนยันสมมติบัญญัติความเป็นตัวตนให้คงอยู่ ในกระบวนการแยกออกจากหนึ่งเป็นสอง
สิบเป็นร้อย เป็นพันเป็นแสน ถึงอสงไขยไม่สิ้นสุดในความหลากหลาย กระบวนการย้อมรวมจากอสงขัยกลับถึงหนึ่งแล้วก็สูญสิ้นความเป็นตัวตน
พันกาลอวกาศ จิตอันเป็นผลสะสมของอดีตก็ไม่เหลือ ความคิดปรุงแต่งใด
ๆ ก็สิ้นสุดลง...
ดังนั้นหากเราเข้าใจกายยาววาหนาคืบที่มีใจมาครอง
เราก็จะเข้าใจโลกและชีวิตของเราได้อย่างถ่องแท้...
อรอิน
จาก
คุยนอกรอบ
เว็บไซต์ประพันธ์สาส์น ชุมชนคนรักหนังสือ
|