กังวานเกี่ยวข้อง > มีบางเวลาน้ำตาริน รศ. ศรีศักร วัลลิโภดม
 

ผมไม่คิดว่าผมเป็นสำนักคิด ผมไม่มีอิสซึ่ม ผมเป็นตามธรรมชาติของผม คือ ทำงานด้วยความสนุก ผมไม่สามารถจะไปรับผิดชอบใครให้มาเป็นลูกศิษย์ผมได้ วิธีการสอนของผมคือ สอนลูกจระเข้ให้ว่ายน้ำ สอนให้ลูกนกปีกกล้าขาแข็ง มากกว่าจะบอกให้พวกเขามาทำตามผม เขาจะเป็นตัวของเขาเอง อย่างนั้นสบายใจกว่า

***********************

มนุษย์เรามีอารมณ์ที่อ้างว้างว้าเหว่ บางครั้งไม่อยากจะไปสัมพันธ์กับมนุษย์อื่น อารมณ์นั้นมันประหลาด บางทีเราไปในสถานที่บางแห่งแล้วอยู่ๆ ก็รู้สึกไม่มีใคร พอว้าเหว่แล้วก็ต้องหาสิ่งมาชโลมใจ ผมชอบเสพศิลปะ มันทำให้หัวใจชุ่มชื่น ตรงนั้นล่ะเป็นช่วงที่ดี เปลี่ยนอารมณ์อ้างว้างเป็นสุนทรีย์

***********************

"นี่บ้านเอ๋ นั่นบ้านโอ๋"

น้ำเสียงนุ่มนวลของ รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม ยามพูดถึงบุตรสาวสุดที่รัก 2 คน ชวนให้อาคันตุกะละสายตาจากแมกไม้ร่มรื่นภายในบริเวณบ้านมาที่ผู้พูด

นี่คืออาณาจักรน้อยๆ ของปราชญ์อาวุโสวัย 65 ปี ผู้มีเรือนกายสูงใหญ่กับผิวคล้ำกร้านแดดเยี่ยงคนผ่านการเดินทางมาตลอดชีวิต ในวัยเกษียณอายุราชการจากงานสอนที่คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ไม่ได้ทำให้ต่อมการเรียนรู้หยุดการทำงานไปด้วย อาจารย์ศรีศักรมีความสุขกับการเดินทางสู่ชนบทเสมอ... เหมือนครั้งที่ยังเป็นเด็กชายตัวน้อยคอยติดตามคุณพ่อไปทุกหนแห่ง

แม้สังคมภายนอกจะรู้จักอาจารย์ในภาพของนักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี นักมานุษยวิทยา หรือแม้แต่นักวิพากษ์สังคมฝีปากจัดจ้าน แต่เมื่อกลับสู่โลกส่วนตัว อาจารย์ศรีศักรก็กลายเป็น 'พ่อหมีใจดี' สำหรับลูกๆ

พ่อหมีผู้ละเอียดอ่อนต่อชีวิต และมีหัวใจเอื้ออาทรต่อเพื่อนมนุษย์เสมอกัน

+อาจารย์เรียนจบปริญญาตรีทางสาขาไหนกันแน่คะ

ผมเรียนอังกฤษ ฝรั่งเศสที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ไม่เรียนประวัติศาสตร์เพราะเบื่อ มันต้องท่อง ที่จริงผมชอบประวัติศาสตร์เพราะผมโตมากับครอบครัว คือคุณพ่อทำงานเกี่ยวกับประวัติศาสตร์มาโดยตลอด แต่พอไปเรียนแล้วมันไม่เหมือนกับที่เราคิดไว้ เลยคิดว่าไปเอาดีทางภาษาดีกว่า เรียนเรื่องทางวรรณคดีหลายๆ สมัย วรรณคดีนี่มันสะท้อนสังคมมากเลยนะ ทำให้เราเห็นความเป็นมนุษย์ แล้วยังช่วยเกื้อหนุนการมองหลักฐานทางประวัติศาสตร์ โบราณคดีได้ชัดขึ้นด้วย

ผมจบจากจุฬาฯ ก็มาเป็นอาจารย์ที่คณะโบราณคดี ศิลปากร สอนภาษาอังกฤษกับประวัติศาสตร์

+ระยะหลังอาจารย์เปรยๆ ว่าเสียดายที่สมัยหนุ่มตอนออกภาคสนามเน้นถ่ายแต่รูปโบราณสถาน ไม่ได้ถ่ายรูปชีวิตผู้คนเท่าไหร่

ต้องบอกก่อนว่าฐานของผมคือออกไปค้นคว้า ผจญภัย แล้วก็ถ่ายรูปมา ทีนี้เราก็ละเลยสิ่งที่เป็นชุมชนและธรรมชาติ อันนี้เป็นจุดอ่อนที่รู้สึกว่าเสียใจ เพราะโบราณสถานหรือวัดวาอะไรนี่เราไปถ่ายมันก็ยังอยู่อย่างนั้น แต่สภาพสังคมมนุษย์มันเปลี่ยนไป ผมเพิ่งมารู้ตัวเมื่อประมาณ 6-7 ปี นี่เอง ถึงได้บอกว่าเป็นความผิดพลาดไง ถ้าผมถ่ายรูปเก็บไว้นะฟิล์มนั้นมันจะบอกสภาพแวดล้อมที่มันเคยมีเคยเป็น เคยสวยงามแค่ไหนในอดีต ก็มาคิดว่า เอ๊ ทำไมเราโง่อยู่ตั้งนาน (ยิ้มบางๆ)

+อาจารย์ไปเรียนต่อทางมานุษยวิทยา?

ผมสอนอยู่หลายปีก็ได้ทุนไปเรียนต่อสาขามานุษยวิทยาที่ออสเตรเลีย แต่ก่อนหน้าที่จะไปเรียน ผมออกไปค้นคว้าในท้องถิ่น สืบต่องานเก่าพ่อ (อาจารย์มานิต วัลลิโภดม) พ่ออยู่กรมศิลปากร เขาให้ไปเป็นหัวหน้าแผนกสำรวจ ในสมัยก่อนกองโบราณคดีมีแค่ 2 แผนก คือแผนกพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กับแผนกสำรวจ พ่อผมเลยได้ออกต่างจังหวัดอยู่เรื่อย แล้วก็เป็นความชอบของพ่อด้วย ผมมีโอกาสตามพ่อไปตั้งแต่ 7 ขวบ ตอนหลังผมออกกับนักศึกษาเป็นกลุ่ม เกิดเป็นชุมนุมศึกษาวัฒนธรรมโบราณคดี ซึ่งผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา

ออกไปคราวนี้มีเทคนิคเพิ่มขึ้นเยอะ เราใช้ภาพถ่ายทางอากาศ ใช้แผนที่มากำหนดว่าจะไปที่ไหน ทำให้เห็นองค์รวมเบื้องต้นของสภาพแวดล้อม พูดง่ายๆ ว่ามันเปลี่ยนแนวทางศึกษาแหล่งโบราณสถานโบราณคดี มาเห็นสภาพแวดล้อมเห็นชุมชนด้วย เป็นการพานักศึกษาออกไปทำฟิลด์เวิร์คเก่าที่สุดในประเทศไทย (ยิ้มกว้าง) เพราะมหาวิทยาลัยอื่นไม่เคยทำ

+ศิษย์รุ่นนั้นมีใครบ้างคะ

ก็มี สุจิตต์ วงษ์เทศ ขรรค์ชัย บุนปาน อาจารย์พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ พวกเนี้ยฮะ แล้วเขาก็มีความเข้าใจ

+มีเสียงเล่าลือว่าตอนสอนที่คณะโบราณคดี อาจารย์ถูกแอนตี้?

อ้าว แน่นอน เพราะผมมีแนวทางที่ไม่ตรงกับเขาน่ะ (ยิ้ม) ไม่ใช่เฉพาะที่ศิลปากรหรอก จุฬาฯ ก็มี คือถ้าเราไปขัดของเก่าๆ ก็จะถูกขัดเคือง

+แล้วแนวคิดกระแสหลักตอนนั้นคืออะไรคะ

พวกประวัติศาสตร์ชาตินิยมอะไรอย่างนี้ สกุลดำรงราชานุภาพ คือไปค้านไม่ได้ ไม่ใช่เฉพาะคนศิลปากรอย่างเดียวที่ไม่ชอบผม ที่อื่นเขาก็ไม่ชอบผม (ยิ้มกว้าง) เพราะไปค้านบรมครูเขา แต่ผมไม่ได้ไปค้านนะ เพียงแต่บางอย่างผมไม่เห็นด้วย คนไทยสมัยนั้นถือว่าไปลบหลู่ คิดต่างเท่ากับลบหลู่ เนรคุณ เขามองไปแบบนั้น

ผมยกย่องท่านนะ เพราะท่านเป็นผู้เริ่มต้น การเริ่มต้นเป็นสิ่งที่ดี ถ้าไม่มีเขาเราก็ไม่มีโอกาสเติบโตขึ้นมา แต่ปัญหาคือว่าเราต้องคิดต่อไป ไม่ได้หยุดนิ่ง

+ภาพของอาจารย์เป็นหลายนักเหลือเกิน?

คือผมไม่มีกรอบ มาจุดหนึ่งแล้วเราจะไม่มีกรอบ ผมมีเพื่อนร่วมรุ่นที่เป็นญี่ปุ่น หรือเอเชียอะไรต่างๆ ที่คุยกัน บอกว่ามาถึงจุดหนึ่งแล้วเราไม่รู้ว่าเราเป็นอะไร (หัวเราะร่วน) เพราะเรารู้สึกว่าไปสัมผัสมาหมดแล้ว ฉะนั้นแล้วแต่ว่าใครจะคิดกับเรา มันหมดความอยากจะเป็นนักโน่นนักนี่แล้ว ไม่ใช่ว่าเราเป็นนักมานุษยวิทยาแล้วจะยิ่งใหญ่ เราก็เห็นหลายๆ นักเขามีประโยชน์ถ้ามองพื้นที่ร่วมกัน มองในแง่วิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ นักอะไรก็ได้เมื่อมองรวมกันในพื้นที่หนึ่งๆ แล้วเอาความรู้ที่ได้มาประมวลมาเชื่อมโยงมันก็ได้ความรู้เพิ่มเติม

ภาวะตรงนี้ทำให้เราหลุดกรอบ ถ้าเรายังมีกรอบเราก็ต้องบ้าแต่เรื่องแนวคิดทฤษฎีของเรา เอาไปสร้างอัตตาแล้วไปทะเลาะกับเขา

+กว่าจะคิดในจุดนี้ได้ขึ้นอยู่กับวัยไหมคะ

ประสบการณ์...ประสบการณ์ (ยิ้ม)

+แสดงว่าในวัยหนุ่มอาจารย์ก็ยังไม่ได้คิดแบบนี้?

ตอนนั้นคิดตามอารมณ์น่ะ เราจะไปทะเลาะกับเขาเพราะยึดมั่นในความคิดตัวเองว่าถูก อัตตาก็แรง แต่พอผ่านๆ ไปก็เห็น แล้วเราได้ปะทะสังสรรค์กับคนกลุ่มต่างๆ จากที่เคยดูถูกเขาก็คิดได้ใหม่ว่า เออ เขาก็มีส่วนดีส่วนถูกเหมือนกัน

แต่สิ่งที่ให้เราได้เรียนรู้เรื่องนี้กลับไม่ใช่คนที่เป็นนักวิชาการ แต่เป็นคนเฒ่าคนแก่ที่อยู่ในชนบทที่เราได้ไปสัมผัส ที่สังคมไทยรู้สึกว่าเขาต่ำกว่าเรา เมื่อได้ไปเรียนรู้จริงๆ ถึงเข้าใจ ได้เห็นความเป็นมนุษย์ของเขา ได้เรียนรู้ภูมิปัญญาของเขา ซึ่งสัมพันธ์กับพื้นที่มาเป็นเวลาช้านาน

+ตอนนี้อาจารย์ลดความแรงในการแสดงความเห็นลงแล้ว?

มันก็เป็นไปตามอายุ แต่ผมก็จะหมั่นไส้มากกับพวกที่ชอบมีอัตตาแรงๆ ชอบดูถูกคนนั้นคนนี้ แล้วบางครั้งผมก็ต้องดูถูกกลับเพราะว่ามันทนไม่ได้ มันเป็นอารมณ์น่ะ แต่ก็พยายามข่มอยู่นะ (หัวเราะ)

+อาจารย์คิดว่าสังคมไทย มีนักวิชาการที่สามารถนำความรู้มาปรับใช้กับสังคมได้มากน้อยแค่ไหน

ผมคิดว่าน้อย เพราะว่าในช่วง 40 ปีที่ผ่านมาส่วนใหญ่ไปเรียนแต่แนวคิดทฤษฎีเป็นหลัก แล้วก็พยายามไปหาข้อมูลมายัดให้เข้ากับทฤษฎีที่มีอยู่แล้ว แต่ไม่ได้มองลึกลงไปว่าปรากฏการณ์นั้นมันคืออะไร แล้วถึงจะเอาแนวคิดทฤษฎีมาช่วยวิเคราะห์ พูดง่ายๆ ว่าไม่เน้นเนื้อหาและประสบการณ์

+หมายความว่าจำเป็นต้องลงพื้นที่?

อ๋อ แน่นอนๆ สังคมไทยยังขาดเนื้อหาความรู้ประสบการณ์ แนวคิดทฤษฎีมีมากจนเกร่อแล้ว มันถึงได้มีปัญหาทะเลาะกัน

+เคยได้ยินคนให้สมญาอาจารย์ว่า 'นักวิชาการไร้เชิงอรรถ' ในความหมายเชิงลบ อันนี้หมายถึงวิธีการเขียนหนังสือของอาจารย์เหรอคะ

ก็ปล่อยเขา ต้องเข้าใจก่อนนะว่าผมเคยทำแบบมีเชิงอรรถตั้งเยอะแยะ โอ๊ย น่าเบื่อ แล้วก็ดัดจริต ผมได้รับการอบรมมาจากมหาวิทยาลัยที่ออสเตรเลียอย่างหนึ่งคือผมเขียนเชิงอรรถไป แล้วอาจารย์ผมคนหนึ่งเขาพูดมาคำหนึ่งมีความหมายว่า เห่อความรู้ ผมก็มาได้คิด เรื่องบางอย่างไม่ต้องใส่เชิงอรรถ แต่ถ้าเราเอาแนวคิดของใครใหญ่ๆ มาใช้อ้างอิงก็ต้องบอกที่มา เรากล่าวถึงในตัวเนื้อหาเลยก็ได้ไม่ต้องมาทำเชิงอรรถให้มันเลอะๆ เทอะๆ

อีกประเด็นหนึ่งคือเราต้องรู้ว่าเราจะสื่อให้ใคร ผมอยากสื่อให้คนทั่วไปที่เขาไม่รู้ให้เขาได้เรียนรู้ ถึงได้ใช้ภาษาง่ายๆ ด้วยเหตุนี้เวลาผมทำวารสารเมืองโบราณ ถึงเน้นเรื่องกับการสื่อสารมาก

อีกประเด็นอันนี้สำคัญมากคือ ผมอยากจะทำอะไรที่ผมพอใจ ผมไม่แคร์ว่าใครจะมองยังไง ผมเขียนไปแล้วผมสนุก ผมก็จะเขียนต่อไป ไม่ใช่ว่าเขียนแล้วต้องถูก คนอื่นจะคิดแย้งกับผมก็ได้ ทะเลาะกันก็ได้ คือ ทะเลาะกันทางวิชาการ การทะเลาะมันทำให้เกิดการคิดใหม่ขึ้นมา มันสนุก แต่อย่าโกรธกันในแง่อาฆาตจองเวร

ถ้าเราไปเป็นเหยื่อของการวิพากษ์วิจารณ์จะทำให้เราท้อใจ ไม่มีประโยชน์ เราก็รุดหน้าทำงานของเราต่อไป มนุษย์ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ เราก็ทำเหมือนคนตัวเล็กๆ ธรรมดานี่ล่ะ บางทีเราพบกับคนที่เขาเก่งกว่าเรา ดีกว่าเรา ก็มีความสุข

+เป็นเรื่องของการทำตัวให้เล็กลง?

ผมว่านั่นคือ ดีที่สุด เพราะค่านิยมของสังคมไทยมันเป็นค่านิยมที่อยากจะเด่น มีความเหลื่อมล้ำในสังคมมาก ซึ่งไม่ใช่ความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง ความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องคือความเสมอภาค

+อาจารย์เป็นนักเดินทางตัวยงจนถึงตอนนี้ก็เป็นอยู่?

ใช่ เมืองไทยมีที่น่าไปเยอะแยะ แล้วผมไปมันหลายตลบ อย่างอยุธยานี่ผมเที่ยวมาปรุแล้ว ได้เห็นตั้งแต่สภาพที่มีน้ำท่วมตามฤดูกาลก่อนการสร้างเขื่อนภูมิพล แล้วสภาพเก่าๆ พวกนี้ติดตาฝังใจ มันเป็นความสุข พอเรียนหนังสือมีโอกาสก็ออกไป เข้ามาทำงานมาตั้งชุมนุมก็ยิ่งออกมากไปอีก

เรียกว่าออกต่างจังหวัดหลายตลบ แล้วมาตอนที่คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ท่านทำเมืองโบราณ ผมเป็นที่ปรึกษา ผมก็นำท่านไปทั่วราชอาณาจักร เพราะคุณเล็กต้องไปเก็บข้อมูลมาสร้างที่เมืองโบราณ ต้องไปกลับอยู่อย่างนี้ทุกเสาร์-อาทิตย์ เป็นเวลา 15 ปี ผมก็ไปเรื่อย ต่อมาหลังจากคุณเล็กหยุด เราก็สานต่อมาทำวารสารเมืองโบราณ ก็ออกไปกับอาจารย์ยูร (อาจารย์ประยูร อุลุชาฎะ-เสียชีวิตแล้ว) ช่วงนี้ออกต่างจังหวัดต่อเนื่องมา 30 ปี ช่วงหลังนี้ผมไปสัมมนาตามสถาบันที่เขาเชิญไป

+แต่ละรอบการเดินทางได้ความแปลกใหม่อะไรมั้ยคะ

โห มากเลย ที่สำคัญคือ มุมมองใหม่ๆ ได้ความเข้าใจใหม่ๆ เป็นการเรียนรู้ตลอดเวลานั่นแหละ ฉะนั้นผลการวิจัยของความเป็นมนุษย์มันไม่ได้อยู่ที่ว่าเท่านั้นเท่านี้แล้วจะต้องยุติ

สิ่งที่เราพบมันน่าศึกษาเพราะรัฐพัฒนาประเทศโดยไม่เห็นคนท้องถิ่น ท้องถิ่นถูกทำลาย ผมคิดว่าคนที่เคยมีประสบการณ์ท้องถิ่นแบบผม จะต้องรู้สึกอย่างนี้ทุกคน มันเจ็บปวด เพราะเราเคยเห็นสิ่งดีงามที่เป็นธรรมชาติมันถูกทำลาย

+อะไรคือตัวทำลายที่ว่านี้คะ

ผมคิดว่าที่ทำลายสภาพแวดล้อมนี่เป็นการชลประทานหลวง กับถนนหนทาง แล้วเป็นการทำลายโดยมองจากข้างบนลงมาข้างล่าง ไม่เห็นชีวิตผู้คน ผมแคร์คนในท้องถิ่นเหล่านี้ที่เขาโหยหาอดีต เลยทำให้ผมเกิดความคิดที่จะทำพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นขึ้นมา

+เห็นว่าอาจารย์เคลื่อนไหวเรื่องนี้มานานเป็นสิบกว่าปีแล้ว?

ไม่ได้ไปจัดให้เขานะ แค่ไปสานต่อจากสิ่งที่เขาต้องการอยู่แล้ว ทำให้เราแคร์กันและกัน ทำให้ผมมีความสุข ผมอาจเคยถามตัวเองว่าเราเป็นสัตว์ปัจเจกหรือสัตว์สังคม ถ้าเป็นปัจเจกเมื่อไหร่เราก็อัตตาแรง แต่ถ้าเป็นสัตว์สังคมเมื่อไหร่มันเกิดความชุ่มชื่นใจ ความเอื้ออาทรจะเกิดขึ้นได้จากการที่เราอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม

วัดม่วง จังหวัดราชบุรี นี่เป็นที่แรก ที่เริ่มทำพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น เราไม่ได้สร้างแบบเอาของไปจัด ทุกอย่างต้องค้นคว้าข้อมูลความรู้มาตีความเป็นเนื้อหาก่อน แล้วถึงจะเห็นว่าประเด็นอะไรบ้างที่ควรนำเสนอ ถึงค่อยมากำหนดรูปแบบอาคารให้สอดคล้อง วัดม่วงกลายเป็นจุดเริ่มต้นให้ที่อื่นๆ มาศึกษา เอาแนวคิดไปทำในท้องถิ่นตัวเอง คุณเล็กก็ให้ทุนสร้างมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ เพิ่มกิจกรรม แทนที่จะทำวารสารเมืองโบราณอย่างเดียว ก็มาช่วยชาวบ้านทำพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น

ตอนนี้มีหลายแห่งที่ทำไปแล้ว เวลานี้เราได้ประสบการณ์ว่าการไปทำอาคารมันช้าไป ขณะที่ความต้องการของชาวบ้านสูง เลยต้องเปลี่ยนแนวคิดว่ามันเป็นเรื่องขององค์ความรู้ที่เราจะถ่ายทอดให้เด็กๆ ในชุมชน อาจมีแค่สถานที่เล็กๆ ไว้เป็นศูนย์ข้อมูล แต่สนับสนุนให้เขาอนุรักษ์ จุดที่เป็นสถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมของเขา

+หลายปีก่อนอาจารย์ได้รับยกย่องเป็นเมธีวิจัยอาวุโส ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) แล้วก็เป็นที่ปรึกษาของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรด้วย ได้เคลื่อนไหวบทบาทในสถานะนี้ยังไงบ้าง

ผมขอทุนไปฝึกคนท้องถิ่นให้เป็นนักวิชาการเพราะเขาจะรู้เรื่องราวในอดีต เป็นการทำ Action Research แล้วข้อมูลเหล่านั้นคือหัวใจของการปฏิรูปการศึกษา ให้ครูจัดอบรมเด็กเป็นยุวมัคคุเทศน์ ซึ่งก็จะเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นด้วย มันจะนำไปสู่การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ใครมาก็เล่าให้ฟังได้ เกิดความภาคภูมิใจในท้องถิ่นของตัวเอง ไม่ใช่ได้ความรู้มาเก็บไว้

+อาจารย์เคยพูดถึงเรื่องการท่องเที่ยวกลุ่มเล็กที่ไม่ได้วางเป้าหมายที่กำไร?

ใช่ เป้าหมายอยู่ที่ความรู้ ความภูมิใจ และก็เงินที่จะได้จากนักท่องเที่ยวพอควรตามอัตภาพ แล้วแผ่กระจายไปทั่วถึงคนอื่นๆ

+ต้นปีที่ผ่านมา นักวิชาการญี่ปุ่นเปิดเวบไซต์เผยแพร่ผลงานค้นคว้าของอาจารย์ เริ่มที่ภาคอีสาน?

อันนี้เป็นผลพวงจากที่ผมไปร่วมวิจัยกับนักวิชาการญี่ปุ่นมาเป็น 20 กว่าปีแล้ว คือ ญี่ปุ่นเขามีนักวิชาการรุ่นแก่ๆ อย่างผมเนี่ย พวกนี้เขาทำงานอย่างบ้าคลั่งเหมือนผม (ยิ้ม) เวลาทำงานไม่มีกำหนดตายตัวว่าเริ่มกี่โมงเลิกกี่โมง ซำเหมาไปเรื่อยๆ เขาเชิญผมไปเป็นผู้ร่วมวิจัย ผมพาเขาไปทั่วเมืองไทย เขาพาผมไปญี่ปุ่นทั่วประเทศ เราก็ได้ประสบการณ์ร่วมกัน

แล้วก็คิดคอนเซ็ปท์ร่วมกันอย่างหนึ่งเรื่อง Dry Area ก็พากันไปศรีลังกา พม่า ลาว เขมร อินโดนีเซีย ไทย คือใช้พื้นที่แห้งแล้งเหมือนๆ กันในการศึกษา มีนักวิชาการหลายฝ่ายเข้ามาทำ มันก็เกิดความเข้าใจในลักษณะที่เป็นสหวิทยาการ พวกเราก็เกิดความสนุกขึ้นมา ทางญี่ปุ่นก็บอกว่าข้อมูลพวกนี้ควรบันทึกไว้ อย่างภาคตะวันออกเฉียงเหนือนี่มันมีมิติตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน แต่ไม่มีใครเก็บข้อมูลในลักษณะของ Time Series คือ ชุดของเวลา เขาเห็นงานผมที่ทำตั้งแต่รุ่นพ่อ เขาเลยเอาเข้าเวบไซต์ให้หมด

+ไม่ใช่ว่าเป็นการมาล้วงข้อมูลเมืองไทยเหรอคะ

เขาไม่ต้องล้วงหรอกครับ เขาสำรวจมาหมดแล้ว นักวิชาการญี่ปุ่นนี่ Basic Research เขาเยี่ยมมาก พวกเขาไม่โอ้อวด ไม่ด่วนสรุปเหมือนนักวิชาการฝรั่ง นักวิชาการฝรั่งรู้แค่ผิวเผินแล้วก็จับมาเสนอ แต่ญี่ปุ่นนี่ทำละเอียดมากแล้วมาวิเคราะห์ร่วมกัน เพราะฉะนั้นงานวิจัยของเขาสามารถนำไปใช้ได้ในหลายๆ สาขา ไม่ใช่เฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

+ลูกศิษย์อาจารย์บางคนเคยเขียนถึงอาจารย์ว่าเป็นคนที่มีพลังงานเหลือเฟือ ถ้าไม่ปล่อยออกมาเสียบ้างหรือไม่ได้ถกเถียงกับคนอื่นๆ จะอกแตกตาย คือเป็นการสัพยอกด้วยความเคารพ?

(ยิ้ม) การคุยกันกับคนที่สนใจมันมีรสชาติ เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ ก็เกิดความมันขึ้นมา ผมจะคุยเฉพาะกับคนที่เขาสนใจ

+เวลาเดินทางไปต่างจังหวัดหลายๆ ครั้ง อาจารย์ก็จะบรรยายได้ตั้งแต่เริ่มออกเดินทางจนถึงปลายทาง?

แหม มันสนุกน่ะ พอผ่านจุดไหนๆ ที่ผมเคยเห็นสภาพธรรมชาติแบบเดิมแล้วมันเปลี่ยนไปก็อยากจะเล่าให้คนอื่นฟัง

+ตอนนี้มีลูกศิษย์ที่เป็นตัวตายตัวแทนหรือยังคะ

มีบ้างแต่น้อย การจะสร้างไม่ใช่ง่ายๆ ต้องเริ่มทีละน้อย คนที่จะเข้าใจเรื่องนี้ไม่ใช่แค่วันสองวัน ยิ่งเวลานี้เราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบาย พอไปเจอลำบากหน่อยชักถอดใจแล้ว

+ถ้าอย่างนั้นอาจารย์กังวลว่าจะมีคนรับไม้ผลัดต่อมั้ยคะ

ผมไม่เครียดน่ะ ตอนนี้ไปตามอายุ ใครจะรับได้ไม่ได้ รับได้แค่ไหนก็เรื่องของเขา ขอให้มีใจรักก็พอ

+แง่สถานะทางวิชาการ ดูเหมือนอาจารย์จะเทียบเท่าสำนักคิดหนึ่งของไทย ถ้าเติมคำว่า ism ต่อท้ายชื่ออาจารย์เป็น ศรีศักริสซึ่ม ซะเลย จะดีหรือเสียยังไงมั้ยคะ

ไม่ใช่นะ ผมไม่ใช่ ผมเคยเกลียดคำว่าอิสซึ่ม คือ การเป็นลัทธิ เพราะการเป็นลัทธิจะเป็นภาพหยุดนิ่ง ทุกคนจะต้องทำตาม แล้วถ้าผิดจากฉันนี่เป็นผิดหมด ซึ่งผมไม่ใช่ ผมไม่คิดว่าผมเป็นสำนักคิด ผมไม่มีอิสซึ่ม ผมเป็นตามธรรมชาติของผม คือทำงานด้วยความสนุก ผมไม่สามารถจะไปรับผิดชอบใครให้มาเป็นลูกศิษย์ผมได้ วิธีการสอนของผมคือสอนลูกจระเข้ให้ว่ายน้ำ สอนให้ลูกนกปีกกล้าขาแข็ง มากกว่าจะบอกให้พวกเขามาทำตามผม เขาจะเป็นตัวของเขาเอง อย่างนั้นสบายใจกว่า

+อาจารย์ทำงานแขนงนี้ ไม่ทราบว่าในทางส่วนตัวแล้ว อาจารย์เชื่อหรือมีสัมผัสพิเศษกับสิ่งนอกเหนือธรรมชาติบ้างมั้ยคะ

(นิ่งไปพักหนึ่ง) ในฐานะที่เป็นนักวิชาการ ต้องมีหัวโขน ต้องอยู่ในวิธีคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ แต่อีกแง่หนึ่งในฐานะที่เป็นปุถุชน สองอย่างนี้มันขัดแย้งกันเหลือเกิน ผมเป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน ผมก็กลัวในเรื่องมิติทางจิตวิญญาณ ผมเชื่อเรื่องพวกนี้ มันเป็นความเชื่อซึ่งมีอยู่ในมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม แต่มากน้อยแตกต่างกัน

ฉะนั้นบางสถานการณ์เราก็กลัว บางสถานการณ์เราก็ไม่กลัว ซึ่งมันจะมีเข้ามาหา จะบอกว่าผมไม่เชื่อไม่ได้ แต่เวลาที่เกิดขึ้นมาปั๊บ จะพูดหรืออธิบายนี่ยาก จะพูดในฐานะที่เป็นนักวิชาการเขาก็หาว่างมงาย หรือจะอธิบายเป็นวิชาการก็ไม่ได้อีก พูดง่ายๆ ว่าผมไม่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ 100 เปอร์เซ็นต์ ผมคิดว่ามีความเชื่อที่เป็นประเพณีของคนในภูมิภาคตะวันออก ซึ่งมีวิธีคิดเกี่ยวกับจิตวิญญาณ ผมก็เชื่ออย่างนั้น

+ทราบว่าอาจารย์เล่นพระเครื่องด้วย?

ไม่ใช่เล่นหรือสะสมนะครับ ผมเพียงแต่มีพระเครื่องที่ทำให้เกิดความมั่นใจ ไม่ได้คิดจะทำให้เกิดโชคลาภใดๆ ก็มีที่ห้อยคออยู่ เป็นของเก่าของพ่อ แต่ไม่ได้สะสมแบบนักเล่นของเก่า เพราะทางบ้านเราถือ ในฐานะที่เป็นนักโบราณคดีแล้วเคยสัมผัสกับสิ่งที่ทำให้เกิดความกลัว พ่อจะห้ามไม่ให้เอาของเก่าหรือของพวกนี้เข้ามาในบ้าน มันเป็นอัปมงคล ผมก็ไม่ยุ่ง ถ้าไปเล่นเข้าสิอันตราย (ทำเสียงเข้ม)

+อาจารย์เคยไปทำวิปัสสนาใช่มั้ยคะ

เคยครับ เราเรียนแต่หนังสือหนังหาไม่พอหรอก ชีวิตการเป็นนักวิชาการมันเต็มไปด้วยการปรุงแต่ง ยืนเฉยๆ ก็คิดแล้ว ทำให้เกิดความเครียดโดยไม่ระวังตัว พูดง่ายๆ ว่ามันมีแต่อดีตกับอนาคตที่มองออกไป แต่ปัจจุบันไม่รู้ว่าตรงนั้นตัวทำอะไร เวลามีเรื่องอะไรปั๊บมันตัดไม่ได้ เพราะสติไม่มี

การไปทำวิปัสสนาที่สำคัญคือ ทำให้รู้ว่าปัจจุบันคืออะไร แล้วถึงมานั่งคิดในทางธรรมว่าชีวิตของเรามันเต็มไปด้วยวัตถุ ตายไปแล้วก็หมดสิ้นไป ฉะนั้นผมก็จะลดความบ้าคลั่งทางวิชาการ หรือความบ้าคลั่งอยากจะทำโน่นทำนี่ เพราะอายุต้องเปลี่ยนไป เราต้องยอมรับว่าวัยขนาดนี้ต่อไปเราก็คงไม่อยู่แล้ว ความเจ็บป่วยก็ต้องมา

+อาจารย์มีวัดประจำสำหรับการฝึกวิปัสสนามั้ยคะ

ผมไปหลายแห่งที่เขามีจัดวิปัสสนาทั้งที่ชนบทแล้วก็ในกรุงเทพฯ ไปกับครอบครัว ภรรยากับลูกๆ ผมเขาไปบ่อย แต่ผมยังติดนิสัยคนชั้นกลางอยู่น่ะ ต้องการความสบาย (ยิ้ม) อายุมากแล้วตื่นเช้ามาต้องคำนึงเรื่องห้องน้ำห้องท่า เพราะตอนนี้ก็เป็นเหยื่อของโรคภัยไข้เจ็บ ต้องระมัดระวัง ดูที่มันสมควรแก่อัตภาพ ไม่ใช่ตึงเกินไป ต้องยึดทางสายกลาง

พอกลับมาบ้านก็ปฏิบัติต่อ กลางคืนผมจะสวดมนต์ฉบับย่อๆ เพราะง่วงนอนเร็ว บางทีหลับคาสวดมนต์ (ยิ้ม) ตื่นเช้ามาบริหารร่างกายเสร็จแล้วก็สวดมนต์ ถ้ามีเวลาก็นั่งวิปัสสนาประมาณ 15-40 นาที เป็นการกำหนดลมหายใจ แล้วก็ออกมาหน้าระเบียงห้องนอน มาดูต้นไม้ใบหญ้าในบริเวณบ้าน เช้าๆ จะมีนกส่งเสียงเจี๊ยวเลย (ยิ้มกว้าง)

ผมว่าคนแก่รุ่นๆ ผมจะมีอะไรคล้ายกัน อย่างผมกับอาจารย์นิธิ (เอียวศรีวงศ์) จะมีอะไรคล้ายๆ กัน นิธินี่บ้านเขาจะปลูกไม้หอม แล้วเราก็จะคุยเรื่องไม้หอมกัน คือ หันไปสู่ธรรมชาติ แค่นี้ก็มีความสุขเพราะเราไม่ได้ต้องการอะไรใหญ่โต

+อาจารย์เตรียมวางความพร้อมในชีวิตให้ครอบครัวยังไงคะ โดยเฉพาะลูกสาว 2 คน

ผมให้อิสระเขาที่จะทำอะไรหรือมีกิจกรรมอะไร ผมแค่ให้ไกด์ไลน์ว่าอะไรที่ปลอดภัย ไม่ต้องไปร่ำรวยขนาดไหน เพราะเขามีที่อยู่ที่อาศัยมีบ้านของตัวเองคนละหลัง ผมสร้างไว้ให้ติดๆ กัน พ่อแม่ก็อาศัยเขาอยู่ (หัวเราะ) แค่ให้เขาใช้ชีวิตอย่างมีศีลธรรม เรียบง่าย เข้าใจธรรมชาติ รักษาชีวิตไว้จนสิ้นอายุขัยก็พอ (หัวเราะร่วน)

+ลูกสาวบอกว่า 'พ่อหมี' ชอบซื้อของฝากกระจุ๋มกระจิ๋มให้บ่อย?

(ยิ้ม) แหม ไอ้ชอปปิงนี่มันเป็นนิสัยของเราน่ะ ถ้าไม่ซื้อของกินก็ซื้อของฝากให้ลูก แต่ไม่ซื้อแพงนะ พวกทองหยองเพชรพลอยผมไม่เอาด้วยหรอก อย่างพวกกำไลหิน ลูกปัดนี่ ถ้าเห็นก็จะซื้อมา

+พูดถึงเรื่องกินนี่ อาจารย์เคยเป็นนักกินตัวยง หมายความว่าไปถึงถิ่นไหนต้องลองกินอาหารในท้องถิ่นนั้น?

เรื่องกินนี่มันบอกได้หลายเรื่องนะ อาหารแต่ละอย่างมันเกิดจากสภาพแวดล้อม เป็นผลิตผลจากธรรมชาติ คนท้องถิ่นเขาได้เรียนรู้ว่าตัวไหนเป็นยา ตัวไหนเป็นพิษ อาหารเป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตแบบหนึ่งของแต่ละท้องถิ่น ถ้าเราไปเรียนรู้ตรงนั้นเราจะเข้าใจว่าทำไมถึงเกิดรูปแบบอย่างนั้นได้ ความหลากหลายทางชีวภาพจะสัมพันธ์กับความหลากหลายทางวัฒนธรรม

เวลานักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวบ้านเรา ไม่ใช่ว่าเขาอยากเที่ยวดูสถานที่หรอก แต่อยู่ที่การกิน ต้องมาตามฤดูกาลถึงจะได้กินอย่างนั้นอย่างนี้

+อาจารย์ปลูกบ้านไว้ที่จันทบุรีด้วย?

ครับ ซื้อที่ไว้นานแล้วประมาณ 25 ไร่ อยู่แถวๆ อำเภอสอยดาว ที่นั่นอากาศดี ตั้งใจปลูกเป็นป่า แล้วปลูกบ้านพักแบบบังกะโลไว้ เช้าๆ ก็ฟังเสียงนกเสียงแมลงร้อง ถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่ ผมก็จะขับรถไปนอนพัก ผมชอบขับรถไปต่างจังหวัดเองก็เลยต้องใช้รถประเภทออฟโรดที่ลุยๆ หน่อย

+แล้วสุขภาพอาจารย์เป็นไงบ้างคะ

เคยเป็นเกาต์อยู่พักหนึ่ง แล้วก็มีอาการหายใจขัด เมื่อปีกว่าๆ มานี่ผมมารู้ตัวว่าเป็นมะเร็งลำไส้ หมอบอกเป็นระยะที่ 2 ตัดไส้ออกไปฟุตหนึ่ง ยังดีที่มันไม่แพร่กระจาย ผมก็ไม่ได้ดื่มเหล้าไม่สูบบุหรี่ เวลานี้เลิกกินเนื้อสัตว์ใหญ่ นมไม่กิน กินแต่ผัก ปลา

นี่ก็เป็นมรณานุสติที่ดี ถือเป็นจุดหักเห เพราะมันใกล้ความตาย ทำให้ใช้ชีวิตระมัดระวังมากขึ้น ปล่อยวางมากขึ้น เรารู้ว่าถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่เราต้องจัดการ พอจัดการได้ถึงจุดหนึ่งก็มาคิดได้ว่าจริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอะไร

+อาจารย์ออกกำลังกายแบบไหนคะ

เช้าๆ ลุกมาแกว่งแขนง่ายๆ พอตอนเย็นจะไปเล่นเทนนิส ผมมีก๊วนประจำที่สโมสรราชนาวี ตรงท่าช้าง ผมตีเทนนิสที่นี่มา 30-40 ปี แล้ว มีคนหนึ่งเป็นผู้หญิงอายุ 76 โอ้โห ตีเก่งมากเลย

โลกส่วนใหญ่ของเรามันสมมติทั้งนั้น อย่างผมสมมติว่าเป็นนักวิชาการ เพื่อนร่วมก๊วนก็มีหน้าที่การงานต่างๆ กัน แต่พอเล่นเทนนิส ทุกคนถอดหัวโขน ไม่ได้เป็นนายพล ไม่ได้เป็นผู้พิพากษา ไม่ได้เป็นนายธนาคาร เราเป็นสมาชิกเล่นเทนนิสเย้าแหย่กันไป ลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในชีวิตประจำวัน เล่นเสร็จกลับมาถึงบ้านอาบน้ำนอนสบาย (หัวเราะ)

+อาจารย์มีกิจกรรมโปรดอีกอย่างที่บ้านคือดูมวยตู้?

ผมชอบดู แต่เดี๋ยวนี้ชักเบื่อ อายุมากแล้วตื่นเต้นเกินไปมันเหนื่อย ดูพวกนี้แล้วเกิดอคติ คือ ต้องลุ้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง (ยิ้ม) เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยดูแล้ว อย่างหนังจากอเมริกา ผมว่าเราไม่ควรดูมันเท่าไหร่ มีแต่ความรุนแรง ผมชอบดูหนังที่ไม่ต้องใช้เหตุผลมาก อย่างเรื่องจอว์สเนี่ยชอบ (ยิ้มกว้าง) ผมชอบฟังดนตรีไทยเดิมมากนะ เวลาขับรถก็เปิดฟัง สบายใจ

+ลูกสาวบอกว่าปกติชุดอยู่บ้านของอาจารย์คือผ้าขาวม้าผืนเดียว เสื้อไม่ใส่ เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่คุณปู่แล้ว?

(ยิ้ม) ก็เมืองเรามันเมืองร้อนนี่ แล้วเราอยู่บ้านส่วนตัวเราเอง จะเข้าห้องน้ำห้องท่าสะดวกดี ก็เป็นแบบเดิมๆ น่ะ

+เวลาที่อาจารย์ท้อแท้หรือหมดกำลังใจมีวิธีจัดการความรู้สึกยังไงคะ

ผมคิดว่ามนุษย์เรามีอารมณ์ที่อ้างว้างว้าเหว่ บางครั้งไม่อยากจะไปสัมพันธ์กับมนุษย์อื่น อารมณ์นั้นมันประหลาด บางทีเราไปในสถานที่บางแห่งแล้วอยู่ๆ ก็รู้สึกไม่มีใคร หรือเวลาที่เกิดทุกข์หนักก็จะเกิดอารมณ์นั้นขึ้นมา พอว้าเหว่แล้วก็ต้องหาสิ่งมาชโลมใจ

อย่างผมก็มีที่ยึดโดยการมองศิลปะในฐานะคนเสพ อ่านวรรณกรรม อ่านบทกวี หรืออ่านปรัชญา ผมจะจำพวกโคลงกลอนที่มันเพราะๆ อย่างลิลิตตะเลงพ่ายนี่ผมชอบ พอเสพศิลปะแล้วมันจะทำให้หัวใจชุ่มชื่นขึ้น ตรงนั้นล่ะเป็นช่วงที่ดี เปลี่ยนอารมณ์อ้างว้างเป็นสุนทรีย์

+ในชีวิตมีเรื่องอะไรที่ทำให้อาจารย์เสียน้ำตาบ้าง

อืม ความเจ็บป่วยของคนในครอบครัว การจากไปของพ่อแม่ปู่ย่าตายาย รวมทั้งคนที่เราเคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด คนที่ดีงาม แม้กระทั่งสถานที่บางแห่งที่ถูกเปลี่ยนไป บางทีไปเห็นแล้วน้ำตาร่วง เพราะเราเคยเห็นครั้งที่ยังสวยงามสมบูรณ์อยู่ หลายแห่งที่เคยเห็นอย่างเช่น พระธาตุพนมล้มนี่ผมเห็นแล้วสะเทือนใจมาก สภาพที่ให้ความร่มรื่นแก่จิตใจมันพังไป อันนี้ก็เสียน้ำตา

+ถ้าอาจารย์ย้อนกลับไปดูชีวิตที่ผ่านมา อาจารย์จะประเมินมันว่ายังไง

ผมว่าชีวิตผมค่อนข้างโชคดีคือ ได้ทำงานที่ผมรัก สิ่งที่ผมรักเป็นทั้งอาชีพ และเป็นวิถีชีวิต ผมพอใจ ผมไม่คิดว่าต้องการอะไรมากไปกว่านี้ แต่บางทีก็มีความล้มเหลว ความเจ็บป่วย ความขัดแย้งแทรกเข้ามาเป็นธรรมดา ผมคิดว่าใช้ชีวิตคุ้มยังจำคำพูดของคุณเล็กได้ แกเคยบอกว่าชีวิตในเมืองนี่เหมือนมดปลวก ไต่กันยั้วเยี้ย แต่ถ้าออกไปข้างนอกจะมีพื้นที่กว้างสำหรับคุณ

ผมเห็นด้วย แล้วมันตรงกับนิสัย ผมถึงได้ชอบออกไปต่างจังหวัด ที่นั่นผมมีตัวของผม ผมไม่ใช่มดปลวกอยู่ในเมือง

..............................

สายหยุดส่งกลิ่นหอมเย็นใจขณะเลื้อยกิ่งพันรั้วระเบียง ต้นจันทน์สูงใหญ่อวดโฉมข้างๆ เกลอร่วมรุ่นอย่างจันทน์กะพ้อที่ป่านนี้แล้วยังไม่ยอมอวดดอก ยังจำปีกับสารภีที่ให้กิ่งก้านพักพิงแก่นกกางเขนเพื่อขับกล่อมดนตรีรับอรุณแด่เจ้าบ้าน

ความสุขง่ายๆ เท่านี้เพียงพอแล้วสำหรับปูชนียบุคคลผู้ไม่นิยมหาบทสรุปใดๆ ให้ตัวเอง...เพราะมนุษย์มีความซับซ้อนมากมายให้ค้นหา

 

 

ยุวดี มณีกุล

จุดประกาย เสาร์สวัสดี

ฉบับที่ 232 วันเสาร์ที่ 1 พ.ย. 2546



หน้าแรก
| ปัญญาชนสยาม | หนุ่มสาวดัดจริต | กังวานเกี่ยวข้อง | ข้าวตอกดอกมะเขือ | กลับสู่ด้านบน

เว็บไซต์นี้จัดทำด้วยความกระตือรือล้นของใครหลายคนนั้น
ก้อนหิน และหรือดอกไม้ กรุณาหารือกับนักการ
พยายามปรับปรุงข้อมูลครั้งล่าสุด เมื่อวันที่
๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๗