กังวานเกี่ยวข้อง > ผ่า! post western - ปลดปล่อยประวัติศาสตร์ให้เป็นอิสระ
 

ถ้าจะถามว่าปรัชญา post western เป็นระบบคิดแบบใด คำตอบก็คือ ความคิดหลังตะวันตก post western ไม่ใช่การเสนอระบบคิดใหม่ แต่เป็นการปลดแอกความคิดคนไทยจากการครอบงำโดยตะวันตก ขณะเดียวกัน ก็เป็นการปลดเปลื้องอคติที่ต่อต้าน หรือชื่นชมตะวันตกอย่างฉาบฉวยด้วย

ธีรยุทธ บุญมี คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำเสนอบทความ
เรื่อง "ความคิดหลังตะวันตก (Post Western) กับสังคมไทย 2002-2020" ซึ่งทางหนังสือพิมพ์ เดอะเนชั่นจัดขึ้นเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2545 ที่ผ่านมา

"บทความเขียนมาหลายเดือนแล้ว ทัศนะที่ผมเสนอ คือ โลกยังถูกครอบงำโดยความรู้ หรือ การศึกษา ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก เขายัดเยียดให้เราเรียนอะไร เราก็เรียนไปโดยคิดว่านี่เป็น สิ่งที่ดีสำหรับชีวิต เหมือนไปหาหมอแล้วหมอให้ยากิน เราก็เชื่อ เป็นความเชื่อมั่นในระบบใหญ่ ถ้ามองเช่นนี้ มหาวิทยาลัยไทยก็เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการเผยแพร่วิธีคิดแบบ Western
มาโดยตลอด"

ธีรยุทธยกตัวอย่างก็คือ ร็อกกี้เฟลเลอร์ เคยมาให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลไทยสมัยรัชกาลที่ 6 บอกว่า แพทย์แผนไทยไม่อยู่ในกรอบของวิทยาศาสตร์ ในที่สุดการแพทย์แผนไทยก็ถูกปัดตกไปจากการเรียนการสอน และเพิ่งมารื้อฟื้นเมื่อไม่นานมานี้เอง

"ในการเรียนประวัติศาสตร์เกี่ยวกับวรรณกรรมของอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ฯลฯ เขาแบ่งประวัติศาสตร์เป็นยุคอย่างละเอียด แต่พอเป็นของอารยธรรมอื่น เช่น จีน อินเดีย ญี่ปุ่น หรือแม้แต่ของไทย กลับถูกแยกย่อยน้อยลงไป มันเกิดขึ้นโดยเราไม่รู้ตัว ตรงนี้เป็นจุดที่ทำให้ เรารู้จักประวัติศาสตร์คนอื่น มากกว่าประวัติศาสตร์ตัวเอง เป็นการครอบงำทางวัฒนธรรมโดย เราไม่รู้ตัว"

กรอบมุมมองใหม่แบบ post western ซึ่งธีรยุทธนำเสนอก็คือ ถึงเวลาที่เราต้องปลดปล่อย ประวัติศาสตร์กันเสียที ที่ผ่านมาเราก็สอนเด็กโดยที่เราไม่เคยตั้งคำถามกันเลย เพราะฉะนั้น ต้องปลดปล่อยในเรื่องจุดกำเนิดของมัน ให้คุณค่ากับระบบคิดทุกอารยธรรม รวมทั้งให้คุณค่า กับปัญญาชนทุกวัฒนธรรม ให้คุณค่านักคิดนักเขียนในโลกตะวันออกและโลกมุสลิม ฯลฯ

"ที่จริงตะวันตกขอยืมจากโลกมุสลิมไปเยอะ แต่ไม่อ้างอิง ทั้งในประวัติศาสตร์ สังคมวิทยา มันหายไป อันนี้เป็นเรื่องทางประวัติศาสตร์ที่จะต้องมองใหม่ มองแบบเชื่อมโยง เป็นเครือข่าย มากกว่าที่เป็นอยู่"

ธีรยุทธเสนอต่อมาว่า การศึกษาประวัติศาสตร์ต้องเปลี่ยนจากแนวตั้งไปสู่แนวนอนมากขึ้น ความจริง ความเป็นกรีก ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อความเป็นชาตินิยมของกรีก แล้วตะวันตกไปจับ เพราะกำลังสร้างประวัติศาสตร์ของตนอยู่ ทั้งๆ ที่กรีกกับตะวันตกก็มีความเชื่อมโยงน้อย มุสลิม เปอร์เซียซึ่งมาก่อนกรีกก็ถูกกดไว้ มุสลิมก็ถูกลดคุณูปการ จีนกับอินเดียก็ถูกลดคุณูปการใน เชิงเทคโนโลยี

"การตั้งต้นที่การศึกษาของที่มาจากตะวันตก ทำให้ศิลปวัฒนธรรมก็มีความโน้มเอียงที่จะให้ คุณค่าศิลปะตะวันตกในการตีราคาด้วย อย่างเช่น ในปัจจุบันเริ่มบอกกันว่าคุณค่าอยู่ที่การตีค่าของตลาด แล้วเราก็ให้คุณค่าของที่มาจากตะวันตกสูงทุกอย่าง ตั้งแต่สินค้า และความงาม ส่วน คุณค่าของที่อื่น ของโลกตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นโลกมุสลิม แอฟริกา ให้คุณค่าต่ำหมด ทั้งๆ ที่ ความจริงการให้คุณค่าของสิ่งต่างๆ ขึ้นอยู่กับยุคสมัย และของคนโดยส่วนรวมทั้งหมดในแต่ละช่วงต่างหาก"

เพราะฉะนั้น แต่ละฉากของประวัติศาสตร์ถูกกำกับโดยค่านิยมเป็นชุดๆ มา ธีรยุทธเสนอว่า ถ้าเราเปลี่ยนจากความคิดตะวันตกให้เป็น post western ให้ได้ การตีค่าทางสินค้าจะดีขึ้น

"ผมเป็นวิศวกร มาเรียนทางสังคมศาสตร์ ผมยังให้คำตอบไม่ได้ว่า ทำไมคอมพิวเตอร์รุ่น แพนเทียมโฟร์จึงมีราคาแพงกว่าข้าวหอมมะลิ หรือแพงกว่างานศิลปะของอาฟริกา ถ้าตอบว่าลงทุนมากกว่า ทำวิจัยมากกว่าก็น่าตั้งคำถามว่า ทำไมค่าแรงคุณจึงแพงกว่า แล้วทำไมค่าแรง คนอื่นจึงถูก คุณเก่งกว่าคนอื่นหรือไม่ ถ้าถามไปเรื่อยๆ ผมว่าเขาให้คำตอบไม่ได้"

มันอยู่ที่ว่าอารยธรรมมนุษย์จะให้ค่ากับอะไรมากกว่า ถ้าเรายังเป็น western อยู่ ค่าก็จะเอียง ไปทางตะวันตก ถ้าเราเป็นอย่างอื่น ค่าก็จะโน้มเอียงมาทางอื่นและมีความชอบธรรม มีความ ยุติธรรมมากขึ้น (จริงหรือ)

"ถ้าพูดในฐานะคนวาดรูป เราจะเห็นว่าภาพเขียนของจีนจะไม่ด้อยไปกว่าภาพเขียนของ
ตะวันตก มองจากหลายๆ แง่มุม มันมีความงามลึกซึ้งมาก ถ้าไม่ลำเอียง ปฏิเสธไม่ได้ว่ามี ความงามไม่น้อยไปกว่าตะวันตก"

ทำไมศิลปะที่เราถูกสอนกันมาว่าวัฒนธรรมที่ดี ราคาสูง ต้องไปอยู่กับตะวันตก ?

ดร. สุวรรณา สถาอานันท์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ช่วยสรุปว่าเหตุที่ตะวันตกมีพลังนั้นเป็นเพราะเขาสามารถหาภาษากลาง และสร้างตัวเลขออกมา ออกมาใช้ เขาจึงสามารถตีคุณค่าของโลกด้วยตัวเลข ดังนั้น เงิน ความรู้ และเหตุผลนั่นเองที่ ทำให้มนุษย์พูดกันรู้เรื่องผ่านตัวเลข ทุกอย่างตีค่าเป็นราคาได้ ความรู้ และตัวเลขเป็นสิ่งสากล ที่ทำให้โลกตะวันตกมีอำนาจ อนุญาตให้ตะวันตกเป็นผู้ตั้งค่าและสามารถกำหนดค่านั้นเป็น มาตรฐานกลาง จึงสามารถควบคุมโลกได้ ธีรยุทธย้อนกลับมาที่ปรัชญาความคิดแบบ post western ต่ออีกว่า โดยส่วนตัวผมชอบการมี เสรีภาพที่พ้นไปจากการพัฒนา เสรีภาพในการตั้งเป้าหมายให้กับสังคม ให้กับชีวิต เสรีภาพ ในแนวกว้างในการบรรลุเป้าหมาย เสรีภาพในการหลุดจากกรอบดั้งเดิม อันนี้นำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า alternative modernity หรือ alternative post modernity ก็แล้วแต่ แต่เป็นทางเลือกหรือ เป็นทางเปิดมากขึ้นของโลกยุคหลังการพัฒนา

"ผมคิดว่าสังคมตะวันตกเองกำลังถอดรื้อตัวเอง เขาหันกลับมาอยู่กับไลฟ์สไตล์มากขึ้น ใน โลกตะวันออก ความจำเป็นทางเศรษฐกิจ จีน เอเชียจะมีบทบาทมากขึ้น อินเดียก็จะเติบใหญ่ ขึ้นมา ในทางเศรษฐกิจจะบังคับให้เอเชียก้าวออกมา ...ภาวะเศรษฐกิจทำให้ชาวโลกหันมา ทาง post western มากขึ้น

"ผมไมได้เสนอว่าหลังตะวันตกต้องเป็นใคร ไม่จำเป็นต้องเป็นเอเชีย หรือเป็นที่ไหนสักแห่ง แต่เป็นเครือข่าย มองวัฒนธรรมอย่างหลากหลายและเชื่อมโยง"

ในบทที่ 3 ของบทความดังกล่าว ธีรยุทธเสนอเรื่อง โลกศตวรรษที่21 จะเป็นอย่างไร จุด สำคัญคนไทยต้องคิดแบบหลังตะวันตก (post western) ข้อหนึ่งระบุว่า สำหรับประเทศไทย และ "ประเทศโลกที่สาม" ทั้งหลาย ปรัชญา post western จะมีความสำคัญที่สุด ลักษณะ สำคัญของความคิดแบบ post western ก็คือการทำให้พ้นจากการยึดเอากรอบตะวันตกเป็น สรณะ แต่ไม่จำเป็นต้องคัดค้าน หรือมองตะวันตกเป็นสิ่งเสื่อมทรามเสมอ
คำถามก็คือว่า ถ้าเราจะไปให้พ้นจากกรอบตะวันตกแล้วทำไมคนไทยต้องคิดแบบหลังตะวันตกด้วย?

"ผมคิดว่าความรู้สัมพันธ์กับอำนาจ เงินเป็นตัววัดแรงงาน แต่ไม่ได้วัดคุณค่าของมนุษย์ ถามว่ามนุษย์ทั่วไปตาบอดกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีหรือ ผมว่าไม่ใช่ มนุษย์อยู่บนผลผลิตร่วม ของโลก ผมคิดว่าที่ผิดก็คือ เพราะคิดว่าเป็นผลผลิตของตะวันตกต่างหาก ตะวันตกใช้เทคโน โลยีในการผูกขาดทางการทหาร ทั้งๆ ที่ทุกอย่างคือการยำใหญ่กันของมนุษย์บนโลก ญี่ปุ่นเขา ผลิตเทคโนโลยีออกมาใช้อย่างสนุกสนาน เพียง 250 ปี เปลี่ยนมือมาตะวันออกค่อนข้างมาก"


การใช้คำว่า "หลังตะวันตก" ก็เพื่อมุ่งปลดปล่อยความคิดแบบตะวันตก ?

"ผมไม่ชอบคำว่า "พัฒนา" เพราะคำนี้ทำให้เกิดความบิดเบี้ยวของการใช้ทรัพยากร ทั้งทาง เศรษฐกิจ ความคิดไปในกลุ่มนักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจกันเท่านั้น เท่าที่ทราบ ประเทศ ที่ยังมีแผนพัฒนาอาจจมีอยู่ไม่มากนัก ถ้ามีคำว่า "พัฒนา" จะมีผลกระทบเกิดขึ้น ถ้าไม่พัฒนา คนในประเทศจะมีความสุขมากกว่า"

ธีรยุทธอธิบายอย่างเป็นรูปธรรมว่า อย่างเช่น การสร้างทาวเฮาส์ โดยภูมิศาสตร์ของเราต้อง เจอกับน้ำท่วม ถ้าเราศึกษาดีๆ เราจะไม่สร้างบ้านสองชั้น แต่จะสร้างบ้านไม่มีชั้นหนึ่ง แต่มีชั้น สองเลยแล้วให้ข้างล่างเปิดโล่ง ถ้าบ้านเราอยู่กับน้ำท่วมแล้วไปฝืนน้ำท่วมเป็นไปไม่ได้


"วิศวะอย่างพวกผม เรียนจบกันมาสามปีรู้เรื่องโลกหมดเลย สามารถตัดภูเขาตัดอะไรได้หมด แต่ไม่รู้เลยว่าชีวิตไมโครเล็กๆ เป็นอย่างไร นั่นอาจจะเป็นข้อผิดพลาดขนาดใหญ่ที่เราต้องกลับ มาทบทวนมากกว่าการพัฒนาไปข้างหน้าอย่างเดียว"


โยงกลับที่การศึกษาอีกครั้งหนึ่ง ธีรยุทธแนะว่า การเรียนการสอนประวัติศาสตร์ทุกระดับ ต้อง ถอดรื้อ อย่างเช่นเคยบอกว่านักคิดตะวันออกไม่มี นักคิดไทยไม่มี นักคิดอินเดียไม่มี ผมว่า สร้างได้ เพราะจริงๆ แล้วเรามีอยู่มากมายแต่ไม่เคยถูกอ้างอิง


"ผมคิดว่าการก้าวไปข้างหน้าของของโลกาภิวัตน์ หยุดไม่ได้ก็จริง แต่เราหยุดตัวเราเองได้ เสรีภาพจากการไม่พัฒนาอาจจะยิ่งใหญ่กว่า มันไม่ได้อยู่กับที่ แต่มันทำให้เราเห็นว่าปัญหา เราคืออะไร แล้วเราจะเลือกเดินไปทางใด เสรีภาพตัวนี้น่าจะเป็นสิ่งสำคัญที่มีความหมายมาก"

อาจารย์สุวรรณาบอกว่า สิ่งที่เราลืมไปในวิชาปรัชญาคือ เราจะดำรงชีวิตอย่างมีความสุข
อย่างไร รู้สึกว่าความสุขมันหายไปในสิ่งที่เราพูด ความสุขคืออีกข้างหนึ่งของเศรษฐศาสตร์ ? ความสุขเกี่ยวกับความต้องการ ความทุกข์ก็เกี่ยวกับความต้องการ แต่เศรษฐศาสตร์ ไม่สนใจ ข้างที่เกี่ยวกับความต้องการ แต่คิดเพียงว่า ทำอย่างไรจึงจะตอบสนองความต้องการให้ได้


"ในประเด็นนี้ศาสนาพูดมาตลอดว่าเราจะจัดการอย่างไรกับความต้องการของเรา แต่ว่า ถ้าเรา ไม่สามารถจัดการกับความต้องการของเราได้ หรือว่าเราอ่อนแอ เราจะ post capitalist หรือ ไปให้พ้นจากทุนนิยมคงลำบาก เพราะทุนนิยมเป็นระบบที่ตอบสนองความต้องการได้อย่างมี ประสิทธิภาพระบบหนึ่ง"


สุวรรณาช่วยปลดปล่อยความคิดหลังตะวันตก โดยพาผู้เข้าร่วมเสวนาทั้งหมดเดินทางผ่าน เรื่องราวของชาวลาวที่เพิ่งไปสัมผัสมาเมื่อสองเดือนก่อนว่า ที่หลวงพระบาง เห็นเด็กเป็นร้อยคนกระโดดไปในแม่น้ำว่ายน้ำเล่น เขาไม่ต้องอายที่จะล้าหลัง ไม่ต้องอายที่จะไม่มี เทคโนโลยี ไม่ต้องอายกับการไม่พัฒนา

"กลับมาสงสัยว่า เราจะพัฒนาไปทำไม ถ้าพัฒนาไปแล้วไม่มีความสุข"

หรืออีกตัวอย่างหนึ่งที่สุวรรณายกขึ้นมาเปรียบเทียบ

"ข่าวในเมืองไทยที่เกิดขึ้น มีนักศึกษาขายบริการทางเพศมากขึ้น ส่วนใหญ่ที่ตัดสินใจทำ อย่างนี้เพราะอายที่ไม่มีมือถือ แต่ไม่อายที่ขายบริการทางเพศ คล้ายๆ ระบบทุนนิยมทำให้ความต้องการของเรามีทิศทางที่ชัดเจนบางอย่างว่า ถ้าเราไมได้อย่างนั้นเราจะอาย"


สุวรรณาย้อนกลับมาที่ปรัชญาความคิดแบบ post western ของอาจารย์ธีรยุทธว่า จริงๆ สิ่งที่ทุนนิยมกดขี่มากที่สุดคือ มันกำหนดขอบฟ้าความต้องการของเราด้วย เราไม่มีเสรีภาพ ที่จะมีความต้องการโดยไม่ถูกการกำหนดโดยระบบทุน พอกลไกของโลกเป็นแบบนี้ มันเลย เกิดปัญหาขึ้นว่า คนอีกจำนวนหนึ่งที่ยากจนแล้วไม่มีอะไรเลย เพราะสิ่งที่เขา need ถูกคน
ที่ want ไปหมดแล้ว


"ในที่สุดแล้วเราต้องคิดเหมือนกันว่า ความสุขมันเกี่ยวกับความพอใจด้วย แต่ไม่ใช่แค่การ ตอบสนองความต้องการแบบไร้ขอบเขต ซึ่งศาสนาให้คำตอบมานานแล้วว่า เสรีภาพที่แท้จริง กลับไม่ต้องการอะไรเลย"

อย่างที่ รศ.ดร.สุวิชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการพัฒนาสังคม จุฬาฯ กล่าวไว้ก็คือ แทนที่เราจะไปชมสวนคนอื่นก็มาชมสวนของตัวเองกันดีกว่า ก่อนที่จะไม่มีสวนให้ชม!

จากเนชันสุดสัปดาห์ ฉบับประจำวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๔



หน้าแรก
| ปัญญาชนสยาม | หนุ่มสาวดัดจริต | กังวานเกี่ยวข้อง | ข้าวตอกดอกมะเขือ | กลับสู่ด้านบน

เว็บไซต์นี้จัดทำด้วยความกระตือรือล้นของใครหลายคนนั้น
ก้อนหิน และหรือดอกไม้ กรุณาหารือกับนักการ
พยายามปรับปรุงข้อมูลครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๔๖