เพื่อนไทย:
ต่อเนื่องจากงานเบอร์ลินสัมพันธ์ที่ผ่านมา ท่านทูตได้พูดเกี่ยวกับนักเรียนไทยในเยอรมันควรจะ
เรียนในเยอรมันอย่างไร ซึ่งดิฉันเห็นว่าเป็นประโยชน์ และนักเรียนคนอื่น
ๆ ควรจะได้รับฟังโอกาสนี้จึงขอสัมภาษณ์ท่านทูต
ท่านทูต : วันนั้นผมก็เพียงให้ข้อคิดเห็น
อย่างคำถามที่ว่าจะเรียนอย่างไร ผมคิดว่า ตัวนักเรียนเองเป็นผู้ที่ให้คำตอบ
กับตัวเองได้ดีที่สุดว่าจะเรียนอะไร ผมไม่สามารถให้คำตอบได้ แต่ให้ข้อคิดเห็นได้
นักเรียนที่มาเรียนที่นี่ บ้างก็เป็นนักเรียนทุนส่วนตัว บ้างก็เป็นนักเรียนทุนรัฐบาล
บ้างก็ทุนเยอรมัน คนที่มาเรียนที่นี่ก็มีเหตุผลต่างกันไป แม้แต่นักเรียนทุนรัฐบาลเอง
ผมก็คิดว่าที่ตัวเองเรียนอยู่ขณะนี้อาจจะไม่ใช่อย่างที่ตัวเองชอบแต่ก็เรียนเพื่อลดรายจ่ายทางบ้าน
ผมเข้าใจว่าทุกคน ทั้งที่เรียนในเมืองไทย และในต่างประเทศ บางทีเขายังอยู่ในขั้นแสวงหา
ยังไม่รู้ว่า ตัวเองชอบจริง ๆ หรือเปล่า แต่ขอเรียนก่อนเพื่อ
หนึ่ง
ไม่เป็นปัญหาให้กับสังคม
สอง
เมื่อเรียนจบจะได้มีกระดาษแสดงต่อสังคมเพื่อจะได้ประกอบอาชีพต่อไป
ไม่เป็นมารสังคม ทุกคนก็ไม่มีใครอยากเป็นปัญหาของสังคม อันนั้นมันก็สำคัญอีกอย่างหนึ่ง
เราต้องมีอาชีพ จะสาขาใดก็ได้ ทุกคนมีการศึกษา อันนั้นก็เป็นสามัญสำนึกที่ทุกคนคิดได้
ไม่ต้องมีการศึกษาสูงส่งอะไร ที่สำคัญคือว่าเราเรียนจบแล้ว เราทำตัวให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเราเอง
และแก่สังคมได้อย่างไร ผมเห็นว่าตรงนี้จะเป็นประเด็นที่จะมาตัดสิน
เราในฐานะส่วนหนึ่งของสังคมทำตัวให้เป็นประโยชน์ให้กับสังคมได้อย่างไร
หลายคนยังเข้าใจกันผิด
และทางสังคมก็ปลูกฝังว่าคนที่มีการศึกษาคือคนที่มีใบปริญญา ผมเห็นว่า
ใบปริญญาไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกถึง ความเป็นปัญญาชนของคุณ แต่ความเป็นปัญญาชนสำหรับผมหมายถึง
จิตสำนึก ความรับผิดชอบของเรา สามารถนำความรู้ที่เรียนมา ตอบแทนสังคมได้อย่างไร
นอกจากนำความรู้นั้นมาช่วยตนเอง
หรือจะนำมาสนองกิเลสตัวเอง ตรงนี้เราจะทำได้ก็ต่อเมื่อเราแยกความจริงกับความเท็จ
หรือความดีกับความชั่วได้ แยกแยะภาพลวงตากับความจริง
บางทีมันก็เป็นเรื่องยากที่จะแยกแยะ
เพราะเราอยู่ในสังคม มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารด้วย Technology
IT จนบางทีข้อมูลมีมากจนเราถูกท่วมไปด้วยข้อมูล ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นเป็นข้อมูลดิบ
กล่าวคือ มีทั้งข้อมูลที่เป็นจริงและเป็นเท็จปนอยู่ ด้วยกัน มีข้อมูลมาก
ๆ ก็ดี แต่มันอยู่ที่ว่า เราจะสามารถแยกแยะและซึมซับข้อมูลข่าวสารได้มากแค่ไหน
อันนี้เป็นตัว
ตัดสินวิเคราะห์ ไม่ใช่จำนวนข้อมูล ถ้าเปรียบข้อมูลเหมือนกับอาหาร
ถ้าเราตะกละ กินหมดทุกอย่างที่อยู่บนจาน ผลที่ตามมาอาหารที่ไม่ดีก็ทำให้ปวดท้อง
ข้อมูลเท็จก็เช่นกัน ถ้าเรารับมาก็มาก่อปัญหาให้ภายหลัง สิ่งที่น่าวิตกของทุกวันนี้คือ
ช่องว่างระหว่างข้อมูลที่มีอยู่อย่างท่วมท้น กับความรู้ของคนเราที่จะสามารถรับรู้วิเคราะห์
ข้อมูลเหล่านี้ซึ่งมีอยู่มากในขณะนี้
เพื่อนไทย
: ท่านอาจจะเห็นเป็นเหตุผลหนึ่งใช่ไหมคะว่า เมืองไทยมีนักเรียนนอกใช่ว่าไม่น้อย
ท่านทูต
: ไม่เกี่ยวกับเมืองไทย เป็นปรากฏการณ์ทั่วไป ประเทศที่ด้อยพัฒนาหน่อยก็มีปัญหามากหน่อย
เพราะถูกประเทศที่พัฒนาแล้วป้อนข้อมูลที่ถูกแต่ง เพื่อผลประโยชน์ของประเทศที่พัฒนาแล้วเป็นสำคัญ
ตรงนี้ก็เป็นเครื่องมือของเค้านะ เค้าก็ส่งมาให้ทั้งหมด แล้วมันก็เหมือนกับอาหาร
เค้าเอามาให้เต็มบนโต๊ะ อาหารเต็มไปหมดเลยแต่ถ้าคุณไม่รู้จักแยกแยะ
ก็กินหมด บางทีคนเรามันก็เอาอะไรง่าย ๆ โลกานุวัฒน์นี่ ผมเข้าใจนะ
มันทำให้เกิดความเกียจคร้านทางปัญญาของคน ความรู้สึกขี้เกียจในการใช้ความคิด
เพราะทุกอย่างมันมาง่าย กดแป๊ะ ๆ ก็กดอย่างเดียวเท่านั้น
เพื่อนไทย
: ถ้าอย่างนั้นก็เหมือนว่า ปัญหาอย่างทุกวันนี้เรารับวัฒนธรรมตะวันตกมา
ท่านทูต
: คุณอย่าไปพูดเรื่องวัฒนธรรมตะวันตก อันนี้เป็นเรื่องที่นักการเมืองเอามาใช้เป็นการหาเสียง
เอามาใช้เพื่อบิดเบือนความจริง ไม่มีหรอกคุณ วัฒนธรรมตะวันตกที่เราพูดในภาพรวมมันมีนะ
อย่างเช่น
ในยุโรป
ใน EU มันมีเพราะในประเทศนี้ ต้นกำเนิดวัฒนธรรมของเขามาจากกรีก มาจากโรมัน
ภาษาละติน ภาษากรีก มันก็เป็นรากของภาษาของประเทศทั้งหลายในยุโรป
ในแง่ของ ปรัชญา วัฒนธรรมและอารยธรรม ตะวันตกมันมี แต่พอบอกว่าวัฒนธรรมเอเชียมันไม่มี
วัฒนธรรมเอเชียเป็นสิ่งที่หลอกลวง เป็นสิ่งที่พวกนักการเมืองเอเชียหลอกลวง
เพราะว่าเรื่องวัฒนธรรมในเอเชียมันมีแตกต่างกันมาก แตกต่างกันมากเลยแต่อาจจะแบ่งกว้าง
ๆ ได้ตามภาษาวิชาการว่า indianized culture วัฒนธรรมที่มาจากแหล่งอิทธิพลอินเดีย
กับ sinified culture วัฒนธรรมที่มาจากแหล่งอิทธิพลจีน เกาหลี ญี่ปุ่น
เวียดนาม อย่างนี้เรียกว่าได้
รับอิทธิพลมาจากจีน อย่างไทย ลาว เขมร พม่า อย่างนี้มัน indianized
culture ในภาพใหญ่ ๆอย่างนี้ได้ แต่บอกว่ามีวัฒนธรรมเอเชียอย่างที่ยุโรปเค้ามี
วัฒนธรรมยุโรป ไม่มี
เพื่อนไทย
: อันนี้น่าสนใจ
ท่านทูต
: เพราะฉะนั้น เวลามาพูดเรื่อง Globolization ที่ว่าประเทศในเอเชียประเทศในแอฟริกา
ในอะไร ต่าง ๆ คือ Globalization ในความเข้าใจของผม ก็คือ growth
การเจริญเติบโต growth มันก็ต้องการ Capital ทุนมันก็ต้องหาที่ ๆ
ผลประโยชน์มาก ความเสี่ยงน้อย (maximum profit minimum risk) ได้กำไรมากโดยเสี่ยงน้อยที่สุด
มันก็เสี่ยงเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ทุนต่าง ๆ ในโลกปัจจุบันนี้ กลุ่มประเทศไหนที่คุมทุนเหล่านี้และจะได้ทุนเหล่านี้มากที่สุด
ก็คือกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ทุกประเทศบนโลกนี้
จะได้ผลประโยชน์จาก globalization จากโลกานุวัฒน์ แต่การได้รับผลประโยชน์
มันไม่เท่าเทียมกัน และมันก็เป็นไปไม่ได้ที่ทุกประเทศจะได้รับผลประโยชน์เท่าเทียมกัน
มีขนมเค้กก้อนหนึ่งแต่มีร้อยกว่าประเทศที่จะต้องแบ่งกัน ซึ่งจะแบ่งให้ได้เท่ากันทุกประเทศ
มันเป็นไปไม่ได้
ผมไม่ต้องบอก
คุณก็คงจะรู้ว่ามันทำไมเป็นไปไม่ได้ แต่ growth ให้ความเจริญเติบโต
มากกว่ายุคที่ไม่ใช่ยุค globalization แต่ก็ขึ้นอยู่กับพัฒนาการในแต่ละประเทศที่ด้อยกว่าเค้า
ที่ตัวเองต้องพัฒนาสังคม เศรษฐกิจของตัวเอง เพื่อที่จะให้อยู่ในสถานะรับรู้รับทราบ
เรียนรู้ ปรับปรุงตัวเอง การปฏิรูปเศรษฐกิจ ปฏิรูปการเมือง มันเป็นเรื่องจำเป็น
เพราะไม่อย่างนั้น เราพัฒนาไม่ทันเค้า เพราะอันนี้เป็นเรื่องที่ว่า
ประเทศในเอเชียก็รู้ว่า globalization มีปัญหา สร้างปัญหาเศรษฐกิจ
ตั้งแต่ปี ค.ศ.1997 ฟองสบู่แตก มีปัญหาแยะและผู้ที่รับผลกระทบมากก็คือคนที่มีรายได้
fix income รายได้ประจำอย่างข้าราชการพวกนี้จะได้รับความเดือดร้อนมากที่สุด
เมื่อมีปัญหาเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้
ก็รู้ว่าปัญหาอยู่ที่ไหน ไม่ใช่ไม่รู้ แล้วทุกประเทศก็หาทางแก้ไข
แต่หลายประเทศก็แก้ แต่บางทีก็ไปมองเอา globalization มาเป็นประเด็นปัญหาการเมืองภายใน
ถ้าจะแก้ตามหลักทฤษฎี ตามหลักเศรษฐศาสตร์ บางทีก็รู้ว่ามันต้องใช้เวลานาน
ต้องเด็ดเดี่ยว ต้องแก้ไข ซึ่งจะต้องสร้างความเดือดร้อนอย่างมาก
ให้กับสังคมระยะหนึ่ง รัฐบาลในประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศ ไม่กล้าทำ
เพราะรู้ว่าอันนั้นจะทำให้ตัวเสียคะแนน เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เอาเรื่องวัฒนธรรมเข้ามา
แล้วปลุกความรู้สึกชาตินิยมว่าอันนี้ ที่เกิดขึ้นเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะรัฐบาลทำผิดพลาดอะไร
เพราะเป็นเรื่องของพวกตะวันตก พวกผมทอง ผมแดง ตาฟ้า พวกนี้เป็นตัวปัญหาใหญ่
สิ่งที่เกิดขึ้นกับบ้านเมืองนี้ อันนี้
ผมพูดในประเด็นทั่วไปของประเทศกำลังพัฒนา
ก็เพราะรู้ว่าอันนี้จะเป็นวิธีที่เจ็บปวดน้อยที่สุด และจะได้คะแนนนิยมด้วย
เพราะชาวบ้านเวลาที่เขาเดือดร้อน ข้อมูลมีเยอะแยะ หนึ่ง ตัวเองไม่มีฐานะที่จะเข้าถึง
และถึงจะอยู่ในฐานะที่เข้าถึง ข้อมูลมีเยอะ และข้อมูลมันก็มีทั้งข้อมูลที่เป็นอาหารปัญญา
และข้อมูลที่เป็นพิษแก่ปัญญา คุณจะไปคิดหรือว่า ชาวบ้าน ชาวนา เขาจะมีความสามารถ
พอที่จะวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ เขาไม่มีเวลาคิดหรอก ทุกวันต้องทำงานถึงบ้านก็เพลียจะตาย
เพราะอย่างนั้นทำยังไง เค้าก็ต้องการคนที่จะมาคิดให้เค้า ซึ่งมันก็เป็นจุดอ่อนของสังคมที่กำลังพัฒนา
ยิ่งโลกานุวัฒน์ก็ยิ่งเป็นจุดอ่อน เพราะเกิดความขี้เกียจ ปัญหายิ่งซับซ้อนเท่าไหร่
เวลาที่จะคิดก็ไม่มี สอง ข้อมูลมันซับซ้อน สามไม่อยากจะคิด ไม่อยากจะคิดก็ต้องหาคนคิดให้
เมื่อหาคนคิดให้ก็เป็นภัยต่อสังคมแล้ว
คนคิดให้ก็เอาปัญหาที่ซับซ้อน ก็หาคำตอบง่าย ๆ ให้กับปัญหาซับซ้อน
find simple solution ให้กับ complex problem ซึ่งชาวบ้านก็ต้องชอบ
เขาจะได้บอกเลยว่าทุกอย่างเป็นขาวดำหมดเลย อันนี้เกิดปัญหาได้เพราะปัจจัยภายนอก
เป็นอย่างนี้ๆ เราเดือดร้อนเพราะอย่างนี้ๆ เพราะข้างนอกเป็นอย่างนี้ๆ
อันนี้เพราะอะไร มีคำตอบให้หมด ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว 10 คำถามอาจจะมีคำตอบเพียง
1 คำตอบที่ถูกต้อง 9 คำตอบเป็นคำตอบที่แต่งขึ้นทั้งนั้น แต่ชาวบ้านก็ต้องการ
เพราะมันหมดหวัง ฉันต้องการอะไรก็ตามเหมือนกับเวลาไป ถ้าเทียบกับบ้านเรา
เวลาตกทุกข์ได้ยากก็ไปเข้าวัด หาหมอดู อะไรต่างๆ เหล่านี้ มันเป็นสิ่งที่มาชโลมใจให้แก่ตัวเองได้
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับทุกประเทศ โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา เพราะฉะนั้น
ผมจึงบอกว่าประเด็นใหญ่ของโลกานุวัฒน์ ไม่ใช่ว่ามีข้อมูลมากหรือข้อมูลน้อยอะไร
มีข้อมูลมากมหาศาล แต่ประเด็นใหญ่คือการรับทราบข้อมูล การซึมซับความสามารถในการแยกแยะ
หรือที่จะวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ มันยังมีช่องว่างอยู่มาก เพราะอย่างนั้น
คนเราความสำคัญมันไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณคิดอะไร แต่มันอยู่ที่คุณคิดอย่างไร
คุณคิดอะไร คุณคิดได้เหมือนกับผม อย่างเช่น คิดอยากเปลี่ยนแปลงโน่น
ปรับปรุงปฏิรูปนี่ นี่คือคิดอะไร แต่สิ่งที่คุณอยากเปลี่ยนแปลงแก้ไข
จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ มันจะเกิดขึ้นกับการที่คุณคิดอย่างไร
การที่คุณเป็นนักศึกษาอยู่ที่นี่
ที่เยอรมันนี ซึ่งมีความก้าวหน้าทางวิชาการ หลายสาขาทั้งทางวิทยาศาสตร์
สังคมศาสตร์ Technology ก็มีสูง ไม่เป็นรองใคร เป็นหนึ่งในระดับ
top ของโลกเลย อันนี้ระบบความคิดทุกอย่างมันมีปรัชญาของมัน การเมืองก็มีปรัชญาของมัน
การศึกษาก็มีปรัชญา ของมัน ปรัชญานี้ก็เป็นตัวกำหนดระบบความคิด โครงสร้างของความคิด
ของการศึกษา ของสังคม ของทุกอย่าง คุณอยู่ที่นี่ต้องพยายามทำความเข้าใจระบบความคิด
โครงสร้างของทุกอย่างของเยอรมันนี
เพราะมันมีที่มาที่ไปของมัน นอกจากเรียนในหนังสือ และอันนี้แหละที่ผมเห็นว่านักเรียนไทยจะได้ประโยชน์
ทฤษฎีต่าง
ๆ ของประเทศเยอรมันนีก็เป็นที่รู้จักทั่วโลกมาเป็นเวลานานแล้ว ทางด้านทฤษฎี
ผมอยากจะฝากนักเรียน บางทีนักเรียนก็บอกว่าได้ทุนมาก็เรียนไปรีบๆ
เรียนให้มันจบ ประเดี๋ยวเค้าถอนทุน หรือสอง ก็รีบๆ จบจะได้ประหยัดเงินทางบ้าน
ซึ่งก็ถูกต้องทั้งหมด แต่คุณจะพลาดโอกาสมากเลย ถ้าสิ่งที่คุณจะไปเรียนในตำราเค้าบอกให้ลองอย่างนี้ต้องท่องอันนี้
ถึงบอกว่า เรียนกับเลียน มันแตกต่างกัน เพราะอย่างนั้นนอกจากเราไปเรียนแล้ว
พยายามต้องสอบให้ได้ตามข้อบังคับของสถาบัน เป็นนักศึกษาที่ดี
แต่ทั้งหมดนี้ที่เราเรียนมา
มันจะไม่เกิดประโยชน์ และจะไม่ช่วยให้เราเป็นปัญญาชนได้อย่างที่ผมเคยบอกคุณไว้
ถ้าเราไม่เข้าใจปรัชญาของสิ่งที่เราเรียนมา โครงสร้างของสิ่งที่เราเรียนมา
อันนี้ผมจึงบอกว่า คิดอะไรไม่สำคัญเท่าคิดอย่างไร สิ่งนี้ ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่นักเรียนจะเรียนได้ประโยชน์มาก
ไม่ว่าคุณจะอยู่ประเทศไหน ในกรณีเยอรมันยิ่งเป็นโอกาสที่เราควรจะให้แก่ตัวเราเอง
และสิ่งที่เราได้จากที่นี่ เราสามารถนำกลับไปช่วยบ้าน ช่วยสังคมได้
เป็นสมาชิกที่ดีของสังคมได้ ก็อย่างที่ได้พูดไว้ว่าความเป็นปัญญาชนมันสำคัญ
ชาวนา คนไม่มีการศึกษา ก็เป็นปัญญาชน ถ้าเขาสามารถแยกแยะภาพมายา
จากภาพจริง เขารู้ความดีความชั่ว ความจริงความเท็จ
ถ้าเขากล้าที่จะเปิดโปงความชั่ว
แล้วก็เชิดชูความดี อันนี้คือความเป็นปัญญาชน ถ้าคุณเรียนมาจบเยอะแยะ
แต่ไม่สามารถเป็นคนคิดอย่างที่ผมได้บอกไว้ คุณก็เป็นมารสังคม เป็นขยะสังคม
เป็นเพียงเครื่องมือหุ่นยนต์แค่นั้น ก็เท่ากับคุณเอาวิชาไปรับใช้อวิชชา
ซึ่งเป็นปัญหาของสังคมมากที่คนมีความรู้เอาวิชาไปรับใช้อวิชชา เพราะอะไร
ก็แค่มองตนเองเป็นที่ตั้งเท่านั้น อีกประเด็นหนึ่งที่ผมอยากจะให้เป็นข้อคิด
ให้ถามตัวเองว่า นอกสถาบันการศึกษาแล้ว เราสามารถเรียนอะไรได้อีกไหม
ผมว่าการศึกษา
ไม่ว่าคุณอยู่ในมุ้ง นอนบนเตียง เข้าห้องน้ำ ในชีวิตส่วนตัว การศึกษามันไม่ใช่ว่าแค่ในชั้นเรียน
นั่นคือกระบวนการเรียนขั้นหนึ่งที่เกิด ณ จุดนั้น เวลานั้นเท่านั้นเอง
พอเลิกเรียน กระบวนการศึกษาก็จบลง ไม่ กระบวนการศึกษามันมีไปจนกระทั่งคุณไปหลับนอนแล้ว
ผมคิดว่ามันมีความสำคัญ การเรียนรู้นอกเวลา คุณออกนอกบริเวณ campus
บริเวณมหาวิทยาลัย คุณไปเดินข้างนอก กลางถนน ตามบริเวณที่คุณอยู่
คุณต้องเรียนรู้กับคนท้องถิ่น ทำความเข้าใจว่าประเทศนี้ กับนักเรียนเยอรมัน
อย่างน้อยเราต้องรู้ว่า ประวัติศาสตร์เยอรมันเป็นอย่างไร อาจไม่ต้องไปถึงสมัยโบร่ำโบราณอะไรหรอก
แต่อย่างน้อยตั้งแต่ปี ค.ศ.1871 (เยอรมันรวมประเทศ) ยุค Bismark
ลงมา แต่ก่อนหน้านั้น ก็ควรจะย้อนหลังไปได้ ในภาพรวมคุณต้องมีความเข้าใจ
เพราะไม่อย่างนั้นสิ่งที่คุณเรียนก็ไม่รู้อย่างที่ผมบอก ทุกอย่างมันมีที่มาที่ไป
ปัญญา การศึกษา โครงสร้างระบบความคิดของเยอรมัน ก็มีประวัติศาสตร์ของมัน
จากประวัติศาสตร์ของประเทศเยอรมนี
ดังนั้น คุณจึงมองข้ามประเด็นนี้ไปไม่ได้ จริงอยู่ คุณอาจจะจบไปได้
แต่กลับไปแล้ว เค้าถามว่าทำไม เยอรมันเป็นอย่างนี้ ทำไมคุณคิดอย่างนั้น
มันก็เป็นการซึมซับ จากระบบประวัติของประเทศนี้ แต่คุณไม่ไปคิดเอง
และบางทีคุณก็ตอบไม่ได้ว่าทำไมคุณคิดอย่างนั้น เพราะอะไร เพราะคุณเรียนแต่ในตำราที่เค้าให้คุณเรียนเท่านั้น
แต่ประวัติศาสตร์ ปรัชญาของประเทศนี้ คุณไม่เรียนคุณไม่ศึกษา ซึ่งคุณศึกษาได้
แค่คุยกับคน คุยกับเพื่อน เดินทางไปสังสรรค์กับเพื่อน ไปเมืองโน้นเมืองนี้
ทุกเมืองมีประวัติศาสตร์ของเค้าทั้งนั้น ที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม
ภาษา อาหารการกิน แหล่งท่องเที่ยว สถานที่ก็มีประวัติศาสตร์ของมันทั้งนั้น
ซึ่งสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมของชาติ อันนี้จะเป็นความรู้อย่างมาก ที่อยู่ภายนอกห้องเรียน
ในมหาวิทยาลัย เพราะอันนี้จะช่วยให้คุณเป็นคนช่างสังเกต รู้จักแยกแยะ
แล้วก็รู้จักเปรียบเทียบ ตั้งคำถามให้กับตัวเองแล้วก็ต้องรู้จักสังเกต
เปรียบเทียบ
การเปรียบเทียบเป็นตัวกระตุ้นระบบความคิดของเรา
ทำให้เรารู้จักตัวเราดีขึ้น ตัวอย่าง เยอรมันทำไมเค้าดีด้านนี้ ด้านนั้น
แล้วมาเปรียบเทียบกับบ้านเรา เปรียบเทียบกับภูมิภาคของเรา โดยเฉพาะกับสังคมของเรา
ประเทศของเราเอง บางคนบอกว่าเราจะไปเปรียบเทียบกับฝรั่งทำไม เราดีกว่ามัน
นี่คือคนที่แคบทางจิตใจและปัญญามาก เราควรจะเปรียบเทียบว่าบางอย่างเขาดีกว่าเราอย่างไร
บางอย่างเขาก้าวหน้ากว่าเรามากเลย เพราะอะไร แล้วมันก็จะเกิดความคิดได้ว่ามันเป็นเช่นนี้ได้เพราะอะไร
สิ่งที่เราได้เรียนรู้สามารถดัดแปลง ปรับปรุง แก้ไขได้อย่างไร มันต้องเป็นอย่างนี้ทุกวัน
24 ชม. ของมนุษย์เรา กระบวนการศึกษามันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และก็เกิดกระบวนการเปรียบเทียบ
ที่มันจะเกิดขึ้นได้เมื่อเราเป็นคนช่างสังเกต ซึ่งอันนี้ ผมคิดว่ามันเป็นของคู่กัน
นอกจากที่คุณเรียนวันหนึ่งกี่
course กี่เวลา กี่โมงถึงกี่โมง อันนั้นมันเป็นส่วนของตำราแต่นอกสถาบันแล้วก็เป็นกระบวน
การศึกษาที่มีคุณค่ามหาศาลที่เมื่อเปรียบเทียบ คุณดูประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงรวมทั้งประเทศไทย
คุณก็เรียนรู้ประวัติศาสตร์ไทย ประเทศต่าง ๆ ในโลกนี้ ก็เกิดจากอะไร
ก็เกิดจากนักศึกษาที่ไปเรียนต่างประเทศแล้วกลับมาเปลี่ยนทางสังคม
การเมือง ทางเศรษฐกิจ เพราะอะไร ตอนเค้าเรียนอยู่โน่นก็มีความคิดอยากเปลี่ยนแปลง
เพราะอะไร เพราะจากกระบวนการเปรียบเทียบใช่ไหม
ถ้าคุณไม่สังเกต
คุณก็เปรียบเทียบไม่ได้ ถ้าคุณเปรียบเทียบไม่ได้ ความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขมันก็ไม่เกิดขึ้น
นี่คือคิดอะไร แต่เปลี่ยนแปลงแล้วมันจะดีขึ้นหรือเลวลงมันขึ้นอยู่กับคุณคิดอย่างไร
คิดอย่างไรมันเกิดขึ้นจากอะไร ก็เกิดขึ้นได้จากตอนที่คุณไปเรียนมา
คุณเข้าใจระบบความคิด โครงสร้างการศึกษา ปรัชญาการศึกษาของมหาวิทยาลัยของประเทศที่คุณเรียน
คุณเข้าใจความเป็นมาของเรื่องนั้นดีแค่ไหน แค่นั้นแหละ ก็แค่นี้
ผมไม่มีอะไร ผมคิดว่านักเรียนทุกคน ต้องทราบดีอยู่แล้วว่าจะเรียนอย่างไรให้ประสบผลสำเร็จ
แต่ก็อย่างที่ผมบอก ประสบความสำเร็จได้ปริญญามันส่วนหนึ่ง แต่ประสบความสำเร็จในฐานะเป็นมนุษย์ที่มีคุณค่า
นั่นมันอีกประเด็นหนึ่ง อันนั้นก็เป็นประเด็นหนึ่งที่ผมได้พูดไว้
ความสำเร็จแน่นอน ผมคิดว่าทุกคนมีความรู้ สติปัญญา นักเรียนทุนหรือไม่ใช่นักเรียนทุนก็เรียนจบ
อุดมศึกษามามากมาย แล้วคุณก็เรียนได้ จบได้ ช้าไปเร็วไปแต่ก็จบ ก็เป็นความสำเร็จในแง่ที่สังคมกำหนดไว้ว่าคุณเป็นคนประสบความสำเร็จ
เพราะว่าคุณมีแผ่นกระดาษอันนี้ไว้แสดงสังคมได้ แต่ความสำเร็จอันแท้จริงมันไม่ได้อยู่ตรงนี้
เพื่อนไทย
: การพัฒนาแนวความคิดตามความคิดที่ท่านว่า ดิฉันคิดว่ามันต้องใช้เวลานะคะ
ท่านทูต
: แน่นอน
เพื่อนไทย
: เพราะสิ่งแวดล้อมก็เป็นปัจจัยสำคัญ อย่างถ้าพูดถึงประสบการณ์ของตัวเอง
ดิฉันได้จากตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยที่เมืองไทย คราวนั้นนักเรียนทุน
ก.พ. มาศึกษาต่อหลังจบการศึกษา ม.6 ซึ่งยังเด็ก เรื่องกระบวนการคิดยังค่อนข้างเด็กมากค่ะ
และพอเขามาที่นี่แล้วมาโตที่นี่ ซึมซับวัฒนธรรมเยอรมัน ความคิดแบบคนเยอรมัน
แต่เมื่อจบกลับไปประเทศไทย อาจจะใช้ความคิดตรงนี้กับสังคมไทยไม่ได้
ท่านมองปัญหานี้อย่างไรคะ
ท่านทูต
: ก็ไม่เป็นไร ผมถึงบอกไงว่า ถ้าเราสังเกต ถ้าเรารู้จักเปรียบเทียบ
รู้จักสังเกต นักเรียนที่คุณว่าไม่ได้กลับบ้านเป็น 10 ปี ก็เป็นเรื่องธรรมดา
เค้าก็รับความคิด ค่านิยม มันก็ธรรมดาก็เหมือนกับคนต่างชาติที่ไปอยู่เมืองไทยเป็นสิบ
ๆ ปี แต่ถ้ารู้จักคิดรู้จักสังเกต ยิ่งรู้จักสังเกตก็ยิ่งรู้จักเปรียบเทียบมากขึ้น
ก็จะเป็นกระบวนการให้เรารู้จักตัวเราเองมากขึ้น เมื่อเราเองเป็นคนไทยเปรียบเทียบที่เมืองไทยเป็นอย่างไร
และทางด้านสาขาการศึกษาอื่น ๆ เป็นอย่างไร ข้อดีข้อด้อย แต่ถ้าเค้าได้มีโอกาสสัมผัสได้กลับไปประเทศไทย
ได้เปรียบเทียบกับที่ได้มาอยู่เยอรมัน 8-9 ปี พอปีที่ 10 ได้กลับไป
เค้าก็จะได้เห็นความแตกต่างกับเยอรมันมากมายขนาดนี้ ตอนนี้ข้อมูลมันก็เริ่มจะเข้ามา
เค้าก็จะเจอญาติพี่น้องเป็นคนไทย หน้าตาก็เป็นคนไทย กลับมาสงสารพ่อแม่
บ้านเมืองน่าจะดีขึ้นตลอดเวลา 10 ปี มันก็จะเกิดกระบวนการนี้ การศึกษา
การสังเกต การเปรียบเทียบ ก็เกิดการคิด คิดอะไรขึ้นมาแล้ว เรียนมาก็รู้โครงสร้างความเป็นมา
ที่มาที่ไปก็เกิดเป็นคิดอย่างไรได้ อันนี้ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ทุกอย่างมีคำตอบให้
มันไม่มีคำตอบมันเป็นสิ่งที่มันไม่มี ready made answer ทุกอย่างในชีวิตคน
คำตอบนี้เป็นเรื่องของกระบวนการแสวงหา
หลายคนอาจต้องเดินเส้นทางคดเคี้ยวกว่าจะได้คำตอบ บางคนก็มาถูกจุดก็ไปเส้นตรงเลยถูกไหม
แต่บางคนไปคิดซับซ้อนมาก แต่หลายสิ่งหลายอย่างถ้าเรารู้ปัญหา การที่คนเรารู้ปัญหาเท่ากับเราแก้ปัญหาไปแล้ว
50% คือเรายอมรับ อีก 50% คือคิดอะไร นี่คือการหาทางแก้ปัญหา และความเป็นปัญญาชนคืออะไรล่ะ
ก็คือยอมรับว่าเมื่อมีปัญหาแล้วมันมีอยู่สองทางแค่นั้นว่าสำหรับความเป็นปัญญาชน
ความเป็นมนุษย์มีความรับผิดชอบ เวลามีปัญหาแล้ว มีอยู่สองทางแค่นั้น
คุณเลือกที่จะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการแก้ปัญหา หรือคุณจะแบบนั่งตีขิม
รอขอคิด รอดูไปเรื่อย
ถ้าอย่างนั้นคุณก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาเช่นกัน
ถึงจุดหนึ่งแล้วเราต้องเลือก มันไม่มีเส้นทางกลาง มันไม่มีสายกลาง
คือยอมรับมีปัญหา จะเข้าไปแก้ปัญหาอย่างไร แต่กระบวนการนี้มันไม่ใช่พอมีปัญหาแล้ว
ก็จะมีสูตรสำเร็จรูปเพื่อแก้ปัญหาขึ้นมา ซึ่งเป็นไปไม่ได้ มันไม่ใช่
เว้นแต่คุณเป็นนักการเมือง อย่างนั้นคุณก็มีคำตอบให้ชาวบ้านอยู่ตลอดเวลา
เพราะมันเป็นการหาเสียงก็เป็นเรื่องธรรมดาผมก็ไม่ได้หมายถึง นักการเมืองเป็นคนเลวอะไรนะ
แต่คุณต้องเข้าใจ มันเป็นอย่างนี้ แต่คุณในฐานะเป็นนักศึกษา มีความคิดก็อยากให้ทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม
อย่างที่เป็นปัญญาชนถูกต้องในความหมายที่ผมคิดว่าควรจะเป็นอย่างนี้
มันไม่มีคำตอบทันทีหรอกคุณ
เพื่อนไทย
: พูดถึงการแก้ปัญหาโดยการเปรียบเทียบ ในบ้านเรามีผู้เชี่ยวชาญก็เยอะ
มาจากหลาย ๆ ประเทศที่ถูกส่งไปเรียน แล้วกลับมาแก้ปัญหาร่วมกัน แล้วคราวนี้บางทีร่วมกันแก้ปัญหามันก็ไม่ได้ช่วยอะไร
มันเกิดจากอะไรหรือครับ นักเรียนเยอรมัน นักเรียนอังกฤษ นักเรียนอเมริกา
ไปทำงานร่วมกันแล้ว แก้ปัญหาร่วมกัน แล้วไม่ได้ผลที่น่าพอใจ
ท่านทูต
: มันไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นแค่ในประเทศไทย มันก็เกิดขึ้นกับทุกประเทศ
เอาอย่างนี้ดีกว่า ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับระบบการศึกษา อย่างในเยอรมัน
คนเยอรมันก็จะเข้าใจดี แต่ในหลายประเทศอื่นๆ ที่มีปรัชญาวัฒนธรรมคนละอย่าง
อาจจะดูแบบไม่ make sense บอกว่าคุณเป็นคนรุนแรงอะไรอย่างนั้น คุณยอมรับไหมว่าความเปลี่ยนแปลงที่มันเกิดในโลกนี้
ไม่ใช่แค่ในทางประวัติศาสตร์ ทางสังคมการเมือง ทั้งทางวิทยาศาสตร์
Technology ทางอะไรต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เอาย้อนหลังไปเลย
6000 ปี เกิดขึ้นจากอะไร เกิดขึ้นจากว่าสิ่งที่คนเราเกลียดมากที่สุด
ที่ฝรั่งเขาเรียกว่า conflict คือความขัดแย้ง ความ
ขัดแย้งนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลง เรายอมรับตรงนี้ไหมล่ะ ความขัดแย้งนี้
คือความขัดแย้งระหว่างความคิด ความขัดแย้งระหว่างการใช้กำลังเข้ามาใช้ในการแก้ปัญหาใช่ไหม
แต่ความเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่หลวงในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
ของแต่ละประเทศ คือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการประหัตประหารระหว่างมนุษย์ด้วยกัน
ที่มีการฆ่ากัน ไม่ว่าจะเป็นสงคราม 30 ปี สงคราม 300 ปี สงครามโลกครั้งที่
1 ครั้งท?????rี่ 2 มันเป็นเหตุการณ์อันเลวร้ายที่มีการฆ่ากัน การใช้กำลังเกิดขึ้นจากคำ
ๆ เดียวว่า conflict conflict มันทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง แต่ในบางสังคม
พอคุณพูดถึงคำว่า conflict คำว่าขัดแย้งนี่เกลียดมากเลย มันอยู่ที่ว่าเรามีความตรรกะไหม
เรายอมใช้เหตุใช้ผลไหม
แล้วที่คุณพูดว่า นักเรียนไม่รู้กี่สถาบันการศึกษา ก็มันเป็น conflict
ของสถาบัน school of thought หรือความคิดต่างสำนัก หลายแห่งหลายที่มันก็มาปะทะกัน
คือว่าความขัดแย้งทางความคิด ไม่ใช่ในทางกำลัง แต่การปะทะกันทางความคิด
ก็คือการปะทะกันของพลังความคิด มันก็เป็น conflict อย่างหนึ่ง เป็นความขัดแย้ง
ซึ่งในที่สุดแล้ว มันก็ต้องได้ข้อสรุป เพราะอย่างนั้นความคิดเยอะแยะ
นักเรียนเก่งๆ มากมาย คนมีปริญญาจากหลายสาขา หลายประเทศมา เพราะฉะนั้น
ก็
ต้องแก้ปัญหาได้ มันไม่ใช่ มันเป็นแค่กระบวนการของความคิด การเปรียบเทียบ
และการปะทะ ความขัดแย้งของกระบวนการ ซึ่งยังไม่เกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็จะมี
process ของมัน มีกระบวนการของมัน
แต่ที่สำคัญที่สุดต้องอยู่ในกรอบ
คือหมายความว่าเวลาเรามีการเดินขบวน มีการประท้วง มีการฆ่ากัน มีการใส่ร้ายป้ายสีกัน
มีการพูดความเท็จระหว่างกันทั้งหมด ดูแล้วมันเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ
น่าเกลียด มันไม่น่าจะเกิดขึ้น สังคมน่าจะมี harmony ความสมานฉันท์
มีความรักมีความกลมเกลียว สิ่งนี้มนุษย์มีความปรารถนา แต่สังคมที่มันเกิดขึ้นมาโดยมีสิ่งเหล่านี้
มันไม่ใช่สังคมในโลก ในโลกของความเป็นจริง เพราะอย่างนั้น เรื่องความขัดแย้ง
ความรุนแรง ความอะไรต่างๆ ถ้ามันมีกรอบ ทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์ อยู่ในกรอบ
มันก็โอเค
ใช่ไหม เพราะอย่างนั้นก็ไม่เกี่ยวกับว่าความขัดแย้ง มันเป็นสิ่งเลว
ไม่จริง เวลาเราพูดถึงระบอบของประชาธิปไตย คุณจะพูดกี่ยี่ห้อประชาธิปไตย
มันมีหลายยี่ห้อ แต่อย่างน้อยที่สุดมันหมายถึงอะไร หมายถึงเล่นกันในเกมส์
มันมีกรอบใช่ไหม
ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในกรอบ
การปะทะกัน ความขัดแย้ง ในด้าน
ต่าง ๆ มันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะอย่างนั้นคนที่บอกว่าเราต้องการให้เกิดความรักใคร่
เอื้ออาทรต่อกัน ความกลมเกลียวสมานฉันท์อะไรต่างๆ นั้น แน่นอน ทุกคนก็ต้องการให้เป็นอย่างนั้น
แต่ความสมานฉันท์มันจะเกิดขึ้นได้ ก็หลังจากเกิดความขัดแย้งนะ คำว่ารักมันก็ไม่มีความหมาย
ถ้าไม่มีคำว่าเกลียด คุณจะเข้าใจคำว่ารักไหม
ถ้าไม่มีคำว่าเกลียด
เหมือนกับคุณว่ามือขวาผมดี ดีได้อย่างไรถ้าไม่มีมือซ้ายให้เปรียบเทียบใช่ไหม
เหมือนลอจิกธรรมดา แต่คนเราไม่คิด เหมือนกับอะไรล่ะ เวลาเราอยากจะหาเสียง
ผมสมมุติว่า
ผมดีกว่านาย ก ผมดีกว่านาย ข แล้วถ้าคุณได้กำจัดนาย ข ออกไปแล้ว
คุณอุ้มนาย ข ออกไปแล้ว นาย ค ก็ไม่อยู่แล้ว นาย ง ถึง นาย ฮ ไม่มีแล้ว
แล้วผมบอกว่าผมดีกว่าคนอื่นหมด ดีที่ไหนล่ะ ไม่มีคนอื่นให้เปรียบเทียบแล้วใช่ไหม
เรื่องอย่างนี้บางทีเหมือนเส้นผมบังตา แต่นี่มันเกิดจากอะไร ก็เกิดจากปรัชญา
เกิดขึ้นจากประวัติศาสตร์ ความตรรกะก็เป็นส่วนหนึ่งของปรัชญา สิ่งเหล่านี้
ผมคิดว่าที่เค้า lecture ให้คุณ
ฟังอะไรต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้คุณต้องพยายามเรียนรู้ นอกโรงเรียนได้
บางคนเรียนปรัชญาโดยตรงอยู่แล้ว บางคนเรียนเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์
เรียนวิทยาศาสตร์ วิศวะ เรียนเป็นหมอ เป็นอะไรต่าง ๆ บางทีทางด้านนี้
เค้าไม่ค่อยจะเท่าไหร่ แต่สิ่งเหล่านี้มันเกี่ยวข้องกันอยู่แล้ว
ไม่ควรจะมองข้ามไป เหมือนกับคนที่เรียนทางสาขารัฐศาสตร์
เมื่อเวลาเราพูดถึง
globalization ทางเทคโนโลยี เราไม่ใช่วิศวกร ไม่ใช่เป็นคนคิด นักฟิสิกส์
นักเคมี แต่เราควรจะถามในฐานะเราเป็นคนเรียนด้านรัฐศาสตร์ ด้านกฎหมาย
เราควรจะตามความก้าวหน้าในด้านความคิด ด้านทฤษฎี เราก็สามารถตามความก้าวหน้าด้านนี้ได้
นี่ก็เป็นการใช้ IT อย่างหนึ่ง แต่ทั้งหมดที่บอกมานี้ อย่าลืมว่าทุกวันนี้
สิ่งที่อันตรายที่สุด ที่เกิดขึ้นคือช่องว่างระหว่างข้อมูลที่มีมหาศาล
กับความรู้ความสามารถของมนุษย์ที่จะซึมซับหรือ absorb รับรู้ แยกแยะ
วิเคราะห์ประเมินข้อมูลเหล่านี้ได้ และต่อไปนี้ประเทศที่พัฒนาแล้วหรือตามภาษาชาวบ้านว่า
ประเทศเจริญแล้ว ก็จะมีความรู้ความสามารถในด้านนี้มาก ตัวประเทศเหล่านี้ก็มีปัญหา
คนของเค้าก็มีปัญหาแยะในด้านนี้ แต่คิดดูว่าคนในประเทศกำลังพัฒนาก็ยิ่งมีปัญหามากขึ้นอีก
และต่อไปช่องว่างก็จะมากขึ้น และมากขึ้น ความจนความรวยมันก็มีมากขึ้น
ในทางสังคมใช่ไหม ประเทศที่ด้อยพัฒนา ก็ยิ่งด้อยพัฒนาไปอีกเพราะตามไม่ทัน
เพราะอย่างนั้นอย่ามาบอกว่า
โลกานุวัฒน์ เรามีคอมพิวเตอร์อยู่ที่บ้าน เด็กทุกวันนี้ก็เข้าเช็คอินเตอร์เน็ตกันได้
เล่นเกมส์กันได้นี่ คือความเจริญ ไม่ใช่ ไม่ใช่ความเจริญเลย ความเจริญหรือไม่อยู่ที่ตรงนี้ช่องว่างตรงนี้เราจะทำให้แคบลงได้ไหม
โลกานุวัฒน์มันให้ growth อยู่แล้ว ให้การเจริญเติบโตในทุก ๆ ด้าน
และมันให้โดยภาพรวม จากประเทศที่จนที่สุดถึงรวยที่สุด ความเป็นอยู่อยู่ดีกินดีของประเทศที่จนที่สุด
ในอดีต บัดนี้มันดีขึ้นไหม แต่ความเจริญมันกระจายไปไม่เท่าเทียมกัน
เป็นเรื่องธรรมดา เราจะสามารถได้รับมากขึ้น แล้วก็ให้ช่องว่างนี้แคบลงและรับเจริญในทางดี
ก็สามารถที่จะเผชิญกับผลในทางลบได้ และนี่ก็คือความรู้ ความสามารถที่จะซึมซับหรือ
absorb สิ่งเหล่านี้ แล้วเราจะไปแข่งขันได้ มันก็มาแล้วเรื่องปฏิรูปการเมือง
ปฏิรูปเศรษฐกิจ เรื่องปฏิรูปกฎหมายนี่จำเป็น เรื่องการมีประชาสังคม
(civil society) ที่เข้มแข็ง เรื่องธรรมาภิบาล เรื่องของความโปร่งใส
ประเทศไหนที่ไม่มีการ reform ไม่มีการปฏิรูป ในทางการเมือง ทางสังคมก็ไม่มีทางทันพลังโลกานุวัฒน์
จะถูกทอดทิ้งไปจนไม่เห็นฝุ่น ตกขอบประวัติศาสตร์ไปเลย
เพื่อนไทย: ขอขอบคุณท่านทูตมากค่ะ
สัมภาษณ์โดย
กิจธนา
กองหาโคตร สมาชิกสัมพันธ์ เมืองเบอร์ลีน
จิรวดี ขาวอ่อน อุปนายก สมาคมนักเรียนไทยในเยอรมัน
|