กังวานเกี่ยวข้อง > การประเมินภาพรวม เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมืองไทย หลังวิกฤติเศรษฐกิจ
 

1. ภาพรวมทางเศรษฐกิจ


1.ควรถือว่า ปี 2003 ไทยพ้นวิกฤติแล้ว เพื่อให้คนไทยพ้นจากโรคจิตผวาเรื้อรัง เนื่องจากอาการหลังวิกฤติ (post-trauma) ด้วยเหตุผลว่า แม้เศรษฐกิจสหรัฐตกต่ำมา 2 ปี แต่เศรษฐกิจไทยกลับ 'แยกตัว' ได้ เพราะค่าเงินบาทและตลาดหุ้นรักษาเสถียรภาพไว้ได้ กำลังผลิตภาคต่างๆ กระเตื้องขึ้น การเติบโตทางเศรษฐกิจจึงน่าจะอยู่ราว 3% ตามการคาดการณ์ของหน่วยงานแนวอนุรักษ์ อย่าง ธปท. ธ.กรุงเทพ

2.ปี 2003 เศรษฐกิจอเมริกาคงตกต่ำต่อเนื่อง สงครามสหรัฐ-อิรักคงเกิด ด้วยเหตุผลแบบหมาป่ากับลูกแกะ คือ ถ้าเอ็งไม่ได้ทำ พ่อเอ็งก็ทำ ความเสี่ยงของการก่อการร้ายยังสูง แต่ผลรวมจะทำให้เงินไหลมาจีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน จีนจะยังไม่ใช่หัวรถจักรฉุดเศรษฐกิจโลกเหมือนสหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น แต่จะสามารถเป็นหัวรถจักรดันก้นขบวนเศรษฐกิจโลกได้ และไทยยังได้อานิสงส์จากการณ์นี้ด้วย

3.ทิศทางเศรษฐกิจและการต่างประเทศของไทย ควรมุ่งเน้นจีน เอเชีย รัสเซีย อินเดีย มากขึ้น เพราะเป็นภูมิภาคของการเติบโตและเป็นผลประโยชน์ถาวรของไทย ควรเน้นการท่องเที่ยว ศิลปวัฒนธรรม ธรรมชาติ การใช้ฝีมือและบริการทุกด้าน เช่น อาหาร อัญมณี แฟชั่น หัตถกรรม ผลิตภัณฑ์สุขภาพและธรรมชาติ ที่เพิ่มคุณค่าการออกแบบและสร้างสรรค์สูง อุตสาหกรรมและการส่งออกอื่นๆ ที่ดีอยู่แล้วก็ควรส่งเสริมต่อไป

4.การพ้นวิกฤติเกิดจากการปรับตัว พัฒนา และสร้างสรรค์มากขึ้นของเอกชนภาคส่งออกและภาคเกษตรบางส่วน รวมทั้งวัฒนธรรมการทำงานที่ดีขึ้นของคนไทย รัฐบาลทักษิณมีส่วนช่วยกระตุ้นอย่างสำคัญ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลควรระมัดระวังนโยบายเศรษฐกิจใน 1-2 ปีข้างหน้าอย่างมาก


2.ภาพรวมด้านวัฒนธรรมและค่านิยม


1.วิกฤติเศรษฐกิจทำให้วัฒนธรรมการทำงานและค่านิยมการบริโภคของคนไทยดีขึ้น ลดความคลั่งสินค้าตะวันตกลง คนจนมีความคิดสร้างสรรค์สูงในการทำมาหากิน เช่น การเฟื่องฟูของตลาดนัดคนจนจำนวนกว่า 50,000 แห่งทั่วประเทศ การประดิษฐ์ส่งเสริมอาหาร ขนมพื้นถิ่น ให้หลากหลายแปลกใหม เช่น ก๋วยเตี๋ยว ยำที่หลากหลาย ซีฟู้ดคนจน เทมปุระคนจน การรับช่วงแฟรนไชส์ หรือ จับของเก่า ของจากโรงงาน ผลผลิตพื้นถิ่น เช่น น้ำพริก ขนม สาโทแปลง น้ำลูกยอ ฯลฯ คนชั้นกลางถูกกระทบจากวิกฤติมากที่สุด แต่ก็ปรับตัว ประหยัด เลือกงานน้อยลง สร้างอาชีพใหม เช่น เปิดท้ายรถขายของ คนรวยและกลุ่มธุรกิจระดับนำส่วนหนึ่งปฏิรูปการทำงาน ระมัดระวังขึ้น แต่ยังปรับตัวไม่มากนัก เพราะนโยบายทั้งรัฐบาลชวลิต ชวน ทักษิณ ทำให้พวกนี้ส่วนใหญ่ยังสามารถเอาเปรียบจากสังคม ทั้งในยามเศรษฐกิจเฟื่องฟู หรือตกต่ำได้ ธรรมรัฐภาคธุรกิจจึงมีโอกาสเกิดขึ้นยาก

2.เกิดกระแสให้คุณค่าวัฒนธรรมความเป็นไทยและความพอเหมาะพอควร ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เนื่องจาก (ก) พระราโชบายเศรษฐกิจพอเพียง (ข) การหวนให้คุณค่าอดีต เช่น การรื้อฟื้นประเพณี ศิลปะ โบราณสถาน ภาพยนตร์ ละครประวัติศาสตร์ (ค) การให้คุณค่าท้องถิ่นและคนกลุ่มน้อย เช่น คนจีน มุสลิม ชาวเขา การอนุรักษ์เทศกาลประเพณี สถาปัตยกรรม หัตถกรรม นิเวศน์ท้องถิน ส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ ทำให้เกิดความเคารพคุณค่าความต่างทางศาสนา วัฒนธรรม วิถีชีวิตของแต่ละภูมิภาค/ชาติพันธุ์ เช่น มีรายการเกมส์โชว์ เพลง ละคร ที่ใช้ภาษาท้องถิ่นมากขึ้น ซึ่งแต่ก่อนจะใช้ไม่ได้ (ง) เกิดกระแสนิยมความเป็นชาวบ้าน/พื้นบ้าน ผ้าและเครื่องใช้ เครื่องจักสาน เครื่องไม้ เซรามิคส์ งานแกะสลัก ทอผ้า ย้อมผ้า อาหาร รวมทั้งกรณีคุณทองแดง การยกย่องเพลงศิลปะพื้นบ้าน ลูกทุ่งคู่ลูกกรุง ฯลฯ

3.วัยรุ่นและคนหนุ่มสาวมีความนิยมต่อวัฒนธรรมที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ถูกผูกขาดโดยวัฒนธรรมตะวันตก สนใจความบันเทิงศิลปวัฒนธรรมภายในประเทศมากขึ้น แต่ที่น่ากังวลคือ วัยรุ่นเติบโตในวิถีชีวิตฟองสบู่และสิทธิเสรีภาพเฟื่องฟู ค่านิยมบริโภคนิยม มีความสนุกทางเพศ ยาเสพติดสูงมาก ค่านิยมการเรียนรู้และการทำงานต่ำ ซึ่งจะเป็นปัญหาประชากรในรุ่นต่อไป

4.คนไทยมีแนวโน้มความสนใจด้าน วัฒนธรรม กีฬา บันเทิงมากกว่าการสร้างสรค์ด้านเทคโนโลยีหรือไฮเทค โดยรวมกล่าวได้ว่าเรามีประชาธิปไตยทางวัฒนธรรมและการเคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรม การดูถูกเหยียดหยามทางชนชั้นหรือวัฒนธรรมลดน้อยลง นับเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแรงสำหรับอนาคต


ภาพรวมทางด้านสังคม


1.ไทยก้าวสู่สังคมความเสี่ยง (risk society) โลกาภิวัตน์และการเปิดเสรีประเทศ ทำให้ไทยกลายเป็นสังคมความเสี่ยงเหมือนประเทศพัฒนาทุกประเทศ กล่าวคือภาวะอาชีพการงาน สภาพนิเวศ สุขภาพโรคภัย การก่อการร้าย เป็นปัจจัยความเสี่ยงระดับโลกที่พ้นความควบคุมจากภายในประเทศ คนไทยทุกกลุ่มจะต้องใช้ทรัพย์ส่วนหนึ่งมาสร้างความมั่นคงให้ชีวิต เป็นแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นกับทุกคน

2.การมองชนชั้นทางสังคมและยุทธศาสตร์ชีวิตของคนไทย หลังวิกฤติ คนรวยไทยมั่งคั่งน้อยลง แต่เมื่อเทียบกับชนชั้นอื่นก็ยังมีช่องว่างอยู่มากทั้งฐา??? † A:?A ????A?นนะและโอกาส จากตัวเลขทางการประชากร 20% ของประเทศถือครองทรัพย์สินราว 60% อันที่จริงถ้าใช้ตัวเลขอื่นประกอบอาจประมาณได้ว่า คนเพียง 100,000-200,000 ครอบครัว หรือ 5 แสน-1 ล้านคนถือครองทรัพย์สินกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศ ยุทธศาสตร์ชีวิตสำคัญของคนรวยคือเปิดวิสัยทัศน์ของตนเองและรุ่นลูกจ้างทั้งภายใน/นอกประเทศ

ชนชั้นกลางถูกกระทบจากวิกฤติและสังคมความเสี่ยงมากที่สุด เพราะราคาสินค้าและบริการตามวิถีชีวิตของตนเองที่สูงขึ้น เช่น บ้าน รถยนต์ ค่าเดินทาง ค่ารักษา รวมทั้งค่าประกันความเสี่ยงด้านอาชีพ สุขภาพ เศรษฐกิจ ฯลฯ ยุทธศาสตร์ชีวิตของชนชั้นกลางคือ การสร้างทุนทางสังม (social capital) คือเครือข่ายข่าวสารและเกื้อกูลกัน เช่น จส.100 ร่วมด้วยช่วยกัน ชมรมผู้บริโภค กลุ่มสิทธิ วินัย เมาไม่ขับ การรณรงค์เพื่อสภาพแวดล้อมต่างๆ เว็บไซท์ในอินเตอร์เน็ต เกิดองค์กร NGO จำนวนมากเพื่อชดเชยทุนเศรษฐกิจที่ขาดไปและมีแนวโน้มที่ความสนใจทางการเมืองลดลง (depolitize) แต่การที่ชนชั้นกลางไทยมีส่วนร่วมทางการเมืองมาตลอด ทำให้เขายังคงเป็นกลุ่มที่มีความรับผิดชอบสูง

คนจนเมืองถูกกระทบแรงมากจากการตกงาน คนจนชนบทถูกกระทบโดยอ้อม แต่พวกเขาปรับตัวใช้ความคิดสร้างสรรค์ดำเนินชีวิต แนวโน้มที่เป็นบวก คือ สังคมสนใจวัฒนธรรมภูมิปัญญาชาวบ้าน มีการรณรงค์แนวชุมชนนิยมและกระจายอำนาจงบประมาณสู่ชนบทมากขึ้น ด้านลบคือเม็ดเงินที่เข้าไปจากนโยบายประชานิยม จะสร้างความอ่อนแอโดยรวมแก่คนจนในแง่การสร้างความเครียดจากหนี้สิน คือการสร้างหนี้ใหม่เพื่อต่อหนี้เก่า ความขัดแย้งและการเสียฐานะเครดิต เมื่อไม่สามารถจ่ายหนี้คืนได้ ยุทธศาสตร์การรวมกลุ่มหรือเพิ่มทุนทางสังคม/ชุมชน เพื่อสร้างอำนาจการต่อรองทางการเมืองของชาวบ้านเริ่มเกิดขึ้นบ้าง

3.ปัญหาสังคมร้ายแรงที่สุดคือคอรัปชั่นพัฒนามาจากคอรัปชั่นปกติเป็นแบบบูรณาการ ซึ่งเป็นที่มาของปัญหาสังคมอื่นๆ เช่น ยาเสพติด ธุรกิจนอกระบบ เช่น การพนัน โสเภณี ส่วยต่างๆ ด้วย การคอรัปชั่นแบบบูรณาการมีลกษณะเด่น 3 อย่าง คือ

ก.เป็นคอรัปชั่นครบวงจร คือกลุ่มธุกิจชงเรื่อง นักการเมืองตั้งนโยบาย เทคดนแครตกำหนดปรัชญาและหลักการ ข้าราชการกำหนดเงือนไขขั้นตอนการปฏิบัติ อนุญาโตตุลาการคอยสนับสนุน วงจรนี้จะลงไปถึงชาวบ้านด้วย เช่น กรณีจับบ่อน กลุ่มเกษตรกร กลุ่มสหกรณ์ในกรณีสต๊อกลมต่างๆ

ข.เป็นคอรัปชั่นเกิดในระดับนโยบายและสูงขึ้นจนไปถึงหลักแล??? † A:?A ????A?นะปรัชญาของหน่วยงานรัฐ เช่น อาจอ้างหลักประสิทธิภาพหรือเสรีนิยมเพื่อให้สัมปทาน หรือเปลี่ยจากโครงการัฐซึ่งควรจะได้กำไรมหาศาลเป็น turn key ที่ให้เอกชนรับทำเพื่อฟันกำไรทั้งหมด

ค.เป็นคอรัปชั่นที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนสูง อาจอยู่ในรูปการกำหนดสเป็ค ตัวบุคคลในคณะกรรมการ ค่าตอบแทน ค่าปรับ เช่น ค่าโง่ทางด่วน หรือในรูปหลักนโยบาย เช่น นโยบายต่างประเทศอาจหันมาเน้นเอเชียและเพื่อนบ้านมากขึ้น แต่เบื้องหลังเพื่อผลประโยชน์ธุรกิจสื่อสาร อุตสาหกรรมรถยนต์ น้ำมัน ฯลฯ เป็นต้น

คอรัปชั่นแบบบูรณาการเกิดเพราะสังคมไทยไม่ได้พัฒนาสิทธิความรับผิดชอบของบุคคล ความเป็นสังคมที่เคารพเกื้อกูลตรวจสอบซึ่งกันและกัน แต่มุ่งพัฒนาสิทธิอำนาจของกลุ่ม และเกิดกลุ่มอำนาจต่างๆ กันตามขั้นตอนประวัติศาสตร์ เช่น กลุ่มทหารตำรวจหลัง 2475 กลุ่มนักวิชาชีพ ปัญญาชนช่วงหลัง 2500 นักการเมืองหลัง 2516 กลุ่มธุรกิจการเมืองหลังปฏิรูปการเมือง 2540 แต่ละกลุ่มประสบปัญหาหรือวิกฤติต่างๆ กัน และต้องหาทางออก เช่น ทหารหมดอำนาจหลังพฤษภาคมบางส่วนหันไปทำอาชีพมาเฟีย ตำรวจคุมบ่อนเก็บส่วย นักธุรกิจถูกรีดไถจนต้องหันมาทำธุรกิจการเมือง ทางออกของแต่ละกลุมมักมีการพัฒนาอำนาจมาเฟียขึ้นภายใน และแสวงหาประโยชน์นอกขอบเขตภาระหน้าที่เดิมของกลุ่มตน ซึ่งเกิดขึ้นแม้แต่ในวงการมหาวิทยาลัย แพทย์ นักกฎหมาย วงการการเมือง ทหาร รัฐวิสาหกิจต่างๆ จนมาเชื่อมโยงเข้าหากันจนกลายเป็นการคอรัปชั่นครบวงจรในที่สุด

4.เนื่องจากมีกลุ่มหลากหลายและวิกฤติหลายหน แต่ละหนก็ทำให้เกิดอุดมการณ์แบบต่างๆ เช่น หลัง 14 ตุลามีทั้งประชาธิปไตยเสรีนิยม และอนุรักษ์นิยม หลังวิกฤติเศรษฐกิจ มีชาตินิยม และยังมีกลุ่มต่อสู้เพือสิทธิและสิ่งแวดล้อมหลากหลาย ความขัดแย้งทางความคิดซึ่งจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ สังคมไทยต้องใช้ความพยายามขยายความรู้ความเข้าใจในแนวคิดอุดมการณ์ต่างๆ อย่างมากกว่าที่ทำอยู่อีกมาก จึงจะเป็นพื้นฐานให้เกิดกลไกที่สังคมส่วนรวมยอมรับในการตัดสินความขัดแย้ง
ภาพรวมการเมืองไทย


การเมืองไทย 30 ปี หลัง 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 , 5 ปีหลังการปฏิรูปการเมือง และ 2 ปีหลังการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญใหม มีภาพรวมดังนี้คือ

1.การเมืองยุคปฏิรูปย่อย การเมืองไทยพ้นยุควิกฤติใหญ่ เช่น การปฏิวัติ รัฐประหาร การลุกฮือหรือการเกิดขบวนปฏิรูปการเมืองในระดับทั่วประเทศ อนาคตจะเป็นยุคของการปฏิรูปย่อย เช่น การปฏิรูปสุขภาพ การศึกษา

2.การปฏิรูปเพื่อสร้างการเมืองตรวจสอบล้มเหลวมากกว่าสำเร็จ เนื่องจากคนไทยมีลักษณะสร้างกลุ่มอิทธิพลเพื่อประโยชน์ในวงแคบของตน กลไกตรวจสอบต่างๆ เช่น วุฒิสภา กกต. ปปช. กสช. จะถูกกลุ่มอำนาจทั้งทางธุรกิจ การเมือง ทหาร ข้าราชการ นักวิชาชีพ เข้าแทรกแซง ใช้วิธีเดียวกับคอรัปชั่นบูรณาการ คือ ความซับซ้อนในการตั้งกรรมการสรรหา การเสนอชื่อที่หลากหลาย ซ่อนเงื่อนจนสังคมตรวจสอบได้ยาก จากนั้นก็ใช้การฮั้วกันระหวางกลุ่มต่างๆ เพื่อแบ่งสรรอำนาจกัน

3.การปฏิรูปการเมืองเปิดฉากการเข้าสู่อำนาจโดยตรงของกลุมธุรกิจการเมือง การปฏิรูปการเมืองเกิดในช่วงหัวเลี้ยวประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่กำลังเปลี่ยนโครงสร้างความชอบธรรม เพราะ (ก) ไทยรักไทยได้เปรียบพรรคอื่นทุกพรรค เพราะไม่เป็นเพียงตัวแทนกลุ่มทุนสัมปทานสื่อสารและบริการ ซึ่งมีมูลค่าสูงและจะเติบใหญ่มากที่สุดในอนาคตและถูกกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจน้อยกว่ากลุ่มอื่น แต่ยังเป็นกลุ่มทุนที่ต้องการเข้ามากุมบังเหียนการเมืองเอง เพื่อลดความเสี่ยงจากการบริหารที่ไม่เป็นมืออาชีพของนักการเมืองเก่า (ข) กองทัพหมดความชอบธรรมเพราะเหตุการณ์พฤษภาคม (ค) เทคโนแครต ผู้เชี่ยวชาญ เครดิตเสื่อมเพราะวิกฤติเศรษฐกิจ (ง) นักการเมืองเดิมเสื่อมลงอย่างหนัก เพราะความไร้ประสิทธิภาพและฉ้อฉล (จ) ระบบอุปถัมภ์คลายตัวลงเปิดโอกาสให้กลุมทุนใหญ่อย่างไทยรักไทยเข้ามาแทรกตัวได้ เนื่องจากทุนและอิทธิพลท้องถิ่นมีลักษณะหลากหลายมากขึ้น ชาวบ้านมีโอกาสเลือกผู้อุปถัมภ์ได้เป็นรายๆ และเป็นเรื่องๆ ไม่ต้องผูกพันกับคนเดียวไปตลอดชีวิตเหมือนยุคก่อนๆ

4.แนวโน้มการเกิดการเมืองระบบ 2 พรรคหรือพรรคใหญ่พรรคเดียีว รัฐธรรมนูญใหม่กดดันให้เกิดระบบ 2 พรรคหรือพรรคใหญ่พรรคเดียวแบบญี่ปุ่นหรือสิงคโปร์ เพราะข้อบังคับว่าพรรคที่จะได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ต้องได้คะแนนรวมไม่น้อยกว่า 5% ทำให้พรรคที่จะดำรงอยู่ได้ต้องมีส.ส.เขตเป็นจำนวน 2 เท่าของ 5% ซึ่งก็คือจำนวน 2x20 = 40 คน ซึ่งเท่ากับพรรคชาติไทยและชาติพัฒนาพอดี สองพรรคนี้จึงดำรงอยู่ได้ยาก คงต้องยุบตัวเองในที่สุด พรรคอื่น เช่น เสรีธรรม ความหวังใหม่ ก็ได้สลายตัวเรียบร้อยแล้ว

รัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปการเมืองจึงมีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนโครงสร้างสังคมการเมืองไทยมากกว่าที่เคยคาดคิดกัน เป็นการให้สัมปทานอำนาจ สร้างประชาธิปไตยสัมปทาน หรือกระบวนการทักษิณนุวัต (Thaksinization) ซึ่งมีสองส่วนคือ การเมืองระบบทักษิณ และแนวเศรษฐกิจแบบทักษิณหรือเสรีประชานิยมขึ้น

5.การเมืองระบบทักษิณ (Thaksinocracy) มี 3 ลักษณะคือ

5.1 แนวโน้มมีการรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ เนื่องจากพื้นฐานมาจากกลุ่มธุรกิจสัมปทานซึ่งเป็นการผูกขาดแบบหนึ่ง เพราะขายของได้อยู่แล้ว ทักษิณและไทยรักไทย จึงนิยมขายตรงไม่ผ่านคนกลางเป็นการต่อสายตรงสู่ชาวบ้านดังนี้คือ

(ก) ตัดคนกลางคือกลุ่มนักการเมืองเดิม อาศัยนโยบายประชานิยม ขายผลประโยชน์ตรงให้ชาวบ้านโดยไม่ต้องผ่านระบบอุปถัมภ์เพื่อสลายฐานอำนาจของนักการเมืองเดิม ส.ส.ในอนาคตจึงจะเปลียนโฉมหน้าไปมาก

(ข) ตัดเทคโนแครต ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะที่เคยเป็นเครดิตหรือหลักของการบริหารประเทศ เพราะสามารถอาศัยมืออาชีพจากภาคธุรกิจได้

(ค) ตัดปัญญาชน นักวิชาการอิสระ ที่เคยเป็นตัวกลางของความรู้ และวิพากษ์นโยบายระหว่างรัฐกับประชาชนเพราะความรู้ดังกล่าวหาซื้อได้ นายกทักษิณจึงเชื่อว่าตัวเองรู้มากรู้จริง นักวิชาการไม่รู้จริง แต่ความรู้แบบ CEO ส่วนใหญ่มักเป็นความรู้หรือวิชาการแบบสะดวกซื้อ หวังผลระยะสั้น (convenient store intellectual) มากกว่าที่จะเป็นการขบคิดลึกซึ้งเพื่อแก้ปัญหาระยะยาว

(ง) ตัด NGO กลุ่มเครือข่ายสังคม สมัชชาคนจนซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการขายตรงนโยบายไทยรักไทยต่อชาวบ้าน คนเหล่านี้จึงจะถูกกดดัน กีดกันออก หรือถูกลดทอนเครดิตมากขึ้นเรื่อยๆ

5.2 ผลจากลักษณะผูกขาด-ขายตรงจะทำให้ภาคการเมืองใหญ่ขึ้น ภาคสังคม ภาคชุมชน กลุ่มองค์กร ภาคราชการเล็กลง

5.3 ผลที่ตามมาก็คือ การตรวจสอบของสังคมลดลง ทั้งจากการลดบทบาทภาควิชาการ ปัญญาชนเพิ่มบทบาทมืออาชีพในสังคมภาคธุรกิจ การแทรกแซงสื่อและองค์กรอิสระต่างๆ จากรัฐบาลและฝ่ายการเมือง

6.แนวเศรษฐกิจแบบทักษิณ เป็นส่วนหนึ่งของปรัชญาการเมืองของไทยรักไทยคือ เสรีประชานิยม (liberal populist-policy) คือการเอาประชานิยมมาสนับสนุนนโยบายเสรีนิยม ซึ่งก็คือการเปลี่ยนทรัพยากรทุกอย่างของประเทศรวมทั้งคนจนให้เป็นทุนและเป็นผู้บริโภค อันเป็นแนวคิดทุนนิยมช่วงปลาย ขณะที่ทุนนิยมช่วงต้นต้องการเพียงเปลี่ยนคนให้เป็นแรงงาน นโยบายกองทุนหมู่บ้าน การพักหนี้เกษตรกร การเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์เป็นทุนก็คือการเปลี่ยนชาวบ้านให้เป็นผู้บริโภ และมีฐานะเป็นทุนที่ติดลบคือเป็นหนี้สินเมื่อมีผู้เป็นทุนติดลบ ก็ย่อมมีธุรกิจที่มีอานิสงส์ได้ทุนเป็นบวก นโยบายเช่นนี้เป็นความรุนแรงอย่างเงียบที่ระบบทุนนิยมเสรีกระทำต่อชาวบ้าน เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ยังอยู่ในวิธีคิดเศรษฐกิจแบบพอเพียง ไม่พร้อมจะเป็นผู้ประกอบการในระบบเครดิต ผลก็คือชาวบ้านจะมีนักบริโภคนิยมและกลายเป็นทุนติดลบมากขึ้น ต้องสร้างหนี้มาต่อหนี้ไปเรื่อยๆ ต้องขึ้นต่อและฝากความหวังให้พรรคการเมืองหยิบยื่นเครดิตเพิ่มแก่ตน จึงเป็นนโยบายที่มักจะเกิดผลเสียและล้มเหลวระยะยาว

7.ข้อวิจารณ์อนาคตไทยรักไทย ชาติไทย ชาติพัฒนา และประชาธิปัตย์ เนื่องจากโครงสร้างการเมืองและสถานการณ์ประเทศเปลี่ยนไปจนทำให้ไทยรักไทยได้เปรียบอย่างมาก ถ้าจะเทียบไทยรักไทยเป็นบรรษัทก็เป็นบรรษัทขนาดใหญ่ มีเครือข่ายทุนและเครดิตสูงทำให้หุ้นมีราคาดีที่สุดในประเทศ ทุกๆ ฝ่ายต้องการเข้ามาซื้อหุนหรือลงทุนร่วม ชาติไทยและชาติพัฒนาเป็นเพียงบรรษัทเล็กๆ ระดับภูมิภาค มีทุนหมุนเวียนจำกัด อาจจะยังประคองตัวรอดได้แต่ก็เลือดตาแทบกระเด็น ทางออกอนาคตก็มีน้อย ส่วนประชาธิปัตย์เคยเป็นบรรษัทใหญ่ที่สุดในประเทศ แต่เพลินกับฟองสบู่อำนาจจึงเกิด NPL จำนวนมากคือ ชวน สุเทพ สนน ฯลฯ ทางออกคือต้องขายหนี้เสียให้บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท) คือยกให้ท่านดังกล่าวเป็นที่ปรึกษาอาวุโส แล้วเปิดทางให้คนหนุ่มนักวิชาการ นักวิชาชีพต่างๆ เช่น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรค ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เป็นเลขาฯพรรค เป็นต้น

 

ทางออกในเชิงนโยบาย

เนื่องจากเป็นที่ชัดเจนว่า ไทยรักไทยจะใช้นโยบายเสรีประชานิยมเพื่อก้าวเป็นรัฐบาลตัวแทนทุนใหญ แบบเดียวกับญี่ปุ่น สิงคโปร์ หรือมาเลเซีย ประชาธิปัตย์น่าจะเป็นแนวทางตรงกันข้าม คือ แนวนโยบายสังคมประชาธิปัตย (social democrat) เพื่อสร้างระบบสวัสดิการความยุติธรรม เพิ่มทุนทางสังคมแก่คนจน คนชั้นกลาง เป็นหลัก
ประเมินและวิจารณ์ผลงาน รัฐบาลทักษิณ


1.ความสำเร็จระยะเฉพาะหน้า ของ นายกทักษิณคือการกระตุ้นเศรษฐกิจ การบริหารพรรคไทยรักไทยและพรรคร่วมรัฐบาลได้ดีกว่าที่คาด รวมทั้งการกล้าเผชิญหน้ากับทุกปัญหา อันเป็นบุคลิกผู้นำที่คนไทยชอบ คะแนนนิยมของทักษิณจึงอยู่ในระดับดี

2.ความสำเร็จลักษณะระยะยาว อาจพิจารณาได้ 2 ส่วนคือ '30 บาทรักษาทุกโรค' ซึ่งถือเป็นแนวสวัสดิการนิยม ซึ่งช่วยให้เกิดความยุติธรรมทางสังคม ไม่ใช่นโยบายประชานิยม แต่ควรปรับปรุงนโยบายนี้ให้อยู่ได้ และมีประสิทธิภาพ

อีกส่วนคือการสร้างการเมืองให้มีเสถียรภาพ 2 พรรคใหญ่ ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งผลดีและผลเสีย ขึ้นอยู่กับสภาพการณ์ในอนาคต

3.การบริหารแบบ CEO เป็นบวกในช่วงต้น แต่จะเป็นลบในระยะยาว ทักษิณและไทยรักไทย นิยมการบริหารแบบ CEO ซึ่งมีเป้าหมายชัดเจน คิดเร็ว ทำเร็ว ม??? † A:?A ????A?นองกว้าง และลักษณะที่ดีอีกด้านคือ การกล้าศึกษา และเผชิญกับทุกปัญหา จึงได้คะแนนนิยมมากเพราะให้ภาพตรงข้ามกับอดีตนายกชวน

แต่ CEO ก็ยังมีอีกมิติหนึ่ง ดังสะท้อนจากกรณี Enron World Com คือการเอาเปรียบผู้ถือหุ้นและประชาชนทั่วไป ด้วยวัฒนธรรมเก็งกำไร สร้างภาพ ปั่นราคา ปั่นความคิด โครงการใหม่ๆ กระทั่งฉ้อโกง ตกแต่งบัญชี รัฐบาลทักษิณก็มี CEO ประเภทนี้รวมทั้งนักการเมืองเก่าๆ อยู่มาก คาดการณ์ว่า 2 ปีหลังจากรัฐบาลทักษิณ ฟองสบู่ภาพพจน์และฟองสบู่โครงการ เช่น การทำสงครามกับคอรัปชั่น การจัดระเบียบสังคม จะแตกเพราะไม่ปรากฏผลจริงจัง คนที่ล้อมรอบทักษิณภาพพจน์จะเสื่อมลง แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะเสื่อมตามไปด้วย

4.ข้อเสียสำคัญที่สุดของ ทรท.คือความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (conflic of interest) เนื่องจากไทยรักไทยคุมทั้งธุรกิจขนาดใหญ่จำนวนมาก และคุมอำนาจทางการเมืองอย่างเบ็ดเสร็จ ความยัดแย้งทางผลประโยชน์จึงไม่ใช่เป็นแค่ลักษณะบุคคล แต่เป็นเชิงระบบหรือโครงสร้าง ซึ่งเกิดขึ้นน้อยแห่งในโลก คนจะระแวงสงสัยทุกนโยบายของรัฐบาล การปราบคอรัปชั่นก็อาจถูกมองว่าเป็นแบบมาตรฐานเชิงซ้อน (double standard) คือปราบคอรัปชั่นในหมู่นักการเมืองเดิม ข้าราชการบางส่วน ฯลฯ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ไทยรักไทยต้องการจะสลายฐานอำนาจอยู่แล้ว แต่จะละเลยการปราบคอรัปชั่นแบบบูรณาการหรือเชิงนโยบาย หรือการขาดธรรมรัฐภาคธุรกิจของกลุ่มตนเอง ยิ่งสังคมเติบใหญ่ มีวุฒิภาวะมากเท่าไร ศรัทธาต่อระบอบทักษิณก็จะยิ่งเสื่อมลง

5.ภาวะหัวเลี้ยวหัวต่อของทักษิณ 2 ปีหลังการเลือกตั้ง หากพิจารณาจากคะแนนนิยม ทักษิณและทรท.ยังได้มากกว่าครึ่ง แต่มองเชิงโครงสร้างและวิชาการ สถานะของนายกทักษิณอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวพอดี กล่าวคือทางแพร่งไปสู่ผู้นำปฏิรูปประเทศกับผู้ทำให้ประเทศล้มละลาย (ช่วงหัวเลี้ยว เพราะ (1) หนี้สาธารณะสูง 57% เกือบติดเพดาน 60% ของ GDP (2) เป็นช่วงตัดสินใจขยายนโยบายเสรีนิยม แปลงทรัพย์สินเป็นทุน ต้องใช้เงินสูงสุดเกือบ 1 ล้านล้านบาท (3) ควบคุมอำนาจเกือบสมบูรณ์ ทั้งการเมือง กองทัพตำรวจ (4)องค์กรตรวจสอบ นักวิชาการ เกือบเป็นอัมพาต) ข้อแนะนำต่อ พ.ต.ท.ทักษิณควรทำให้ได้คือ การมีอำนาจอย่างมากแต่ไม่หลงติดกับอำนาจ และใช้อำนาจเพื่อแก้ปัญหา

การสร้างระบอบการเมืองใหญ่พรรคเดียว แม้จะไม่เป็นผลดีต่อดุลอำนาจฝ่ายประชาชน แต่ก็อาจพอทนได้ ถ้าระบอบพรรคการเมืองมุ่งส่งเสริมคนที่มีคุณภาพ ทักษิณไม่ควรเน้นความเก่งกาจสามารถส่วนตัว แต่ควรเน้นสร้างความเข้มแข็ง การมีส่วนร่วมของภาคสังคม ภาคเอกชน ชุมชนให้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่เชื่อว่าจะเกิดเผด็จการโดยรัฐสภาได้ โดยประชาชนไทยไม่ลุกฮือขึ้นคัดค้าน

การมีอุดมการณ์เสรีประชานิยมของไทยรักไทยก็เป็นสิทธิตามระบอบประชาธิปไตย แต่ที่สำคัญคือต้องไมให้เกิดความอยุติธรรมทางสังคมอย่างสุดโต่ง และต้องไม่ประชานิยมสุดขั้วจนนำไปสู่ภาวะหนี้สินอันล้นพ้นประเทศ นำไปสู่การการล้มละลายของระบอบการเงินการคลังของประเทศ การไม่มีคุณธรรมทางสังคม จนเกิดวิกฤติซ้ำแล้วซ้ำเล่า

มองจากประวัติศาสตร์ การสร้างการเมืองระบบทักษิณ (thaksinization) หรือทักษิณนุวัตร ในสไตล์ว่องไวของทักษิณ หรือ ทรท. มีโอกาสสำเร็จแต่ไม่มากนัก ถ้าสำเร็จย่อมเป็นผลงานสำคัญที่สุดในชีวิตของนายกที่ชื่อทักษิณ แต่ถ้าหากนำพาประเทศผิดพลาดด้วยการใช้อำนาจอย่างอหังการ เชื่อมั่นในความรู้ความสามารถ จนหลงตัวเอง ในช่วงไม่นานข้างหน้าสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ ระบบทุษิณ หรือรัฐบาลทุษิณ (thusinization) ซึ่งอาจไม่เป็นเพียงหายนะของนักการเมืองคนหนึ่ง แต่จะเป็นของทั้งประเทศด้วย

ธีรยุทธ บุญมี



หน้าแรก
| ปัญญาชนสยาม | หนุ่มสาวดัดจริต | กังวานเกี่ยวข้อง | ข้าวตอกดอกมะเขือ | กลับสู่ด้านบน

เว็บไซต์นี้จัดทำด้วยความกระตือรือล้นของใครหลายคนนั้น
ก้อนหิน และหรือดอกไม้ กรุณาหารือกับนักการ
พยายามปรับปรุงข้อมูลครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๔๖