กังวานเกี่ยวข้อง > ทิศทางประเทศไทย (๑) : เมื่อโลกหยุดค้อมหัวให้ตะวันตก
 

ทิศทางประเทศไทย : เมื่อโลกหยุดค้อมหัวให้ตะวันตก



สงครามรุกรานอิรัก : ปิดฉากโลกแบบตะวันตกนิยม



สหรัฐตัดสินใจทำสงครามรุกรานอิรักมานานก่อนจะลงมือจริงเมื่อ 20 มีนาคม 2546

เพราะสหรัฐมั่นใจในขีดความสามารถทางเทคโนโลยี จากการปฏิวัติเทคโนโลยีทางทหาร RMA (Revolutionary

Military Affair เช่น smart bomb ฯลฯ) มั่นใจในฐานะความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ การเมืองเดียวในโลก

มั่นใจในอำนาจที่จะข่มขู่โน้มน้าวประเทศอื่นให้คล้อยตามการตัดสินใจของตนด้วยการให้เงินช่วยเหลือ

ผลประโยชน์ หรือด้วยอำนาจทางความรู้วัฒนธรรมของตนซึ่งเคยใช้ได้ผลมาตลอด



ความมั่นใจของสหรัฐผิดพลาดทั้งหมด เพราะ สงคราม "ปลดปล่อย" ได้กลายเป็นสงครามรุกราน

ปฏิบัติการเพื่อมนุษยธรรมกลายเป็นการย่ำยีมนุษยธรรมครั้งใหญ่สุด อิรักเปลี่ยนภาพจากรัฐอันธพาล (rogue

state) เป็นชาติที่ถูกรังแกโดยมีสหรัฐเป็นรัฐอันธพาลแทนทั้งหมด มีปรากฏบนจอโทรทัศน์ไปทั่วโลก



สหรัฐทำสงครามนี้บนพื้นฐานของการไม่ยอมรับความจริงของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกที่เกิดขึ้นอย่างช้า

ๆ แต่หนักแน่น ประมาณ 3 ศตวรรษมาแล้วที่ตะวันตกมีอำนาจครอบงำส่วนอื่นๆ ของโลก

แต่อิทธิพลของตะวันตกลดลงอย่างรวดเร็วในศตวรรษที่ 20 ที่ผ่านมา โลกเริ่มศตวรรษใหม่ด้วยการระเบิดตึก

world trade เมื่อ 11 กันยายน 2544 ซึ่งสะท้อนความขัดแย้งรุนแรงสูงสุดระหว่างตะวันตกและโลกมุสลิม

ส่วนการรุกรานอิรักของสหรัฐในวันที่ 20 มีนาคม 2546 ก็เป็นการทำสงครามที่โดดเดี่ยว ประชากรประมาณ 60-80

เปอร์เซ็นต์ทั่วโลกต่อต้าน ยกเว้นชาวอิสราเอลประเทศเดียวเท่านั้นที่สนับสนุน (Fareed Sakaria Times 24

Mar 03)



สหรัฐทำสงครามครั้งนี้โดยไม่ตระหนักว่า โลกตะวันตกและตัวเองกำลังเสื่อมอิทธิพลลงอย่างทั่วด้าน ดังนี้คือ



(1) ในรอบศตวรรษที่ผ่านมา อำนาจการเมืองในโลกกระจายตัว

จากการที่ประเทศอาณานิคมปลดปล่อยตัวเองได้จากโลกที่มีประเทศเอกราชไม่กี่สิบประเทศ ปัจจุบันได้

มีประเทศเอกราช 193 ประเทศ มีการรวมกลุ่มเพื่อร่วมมือและถ่วงดุลกันหลายแนว ทั้งในแนวการเมือง เศรษฐกิจ

เชื้อชาติ วัฒนธรรม ภูมิศาสตร์ เช่น กลุ่มไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด คองเกรสของประชาชาติแอฟริกา (ANC) ASEAN

สันนิบาตอาหรับ EU สามเหลี่ยมเศรษฐกิจ เกาหลี-จีน-ญี่ปุ่น ฯลฯ แม้กลุ่มสหภาพโซเวียตจะสลายตัว

แต่ก็ได้เกิดโลกที่มีหลากหลายดุลอำนาจขึ้นแทน (multi polar world)

จึงเท่ากับว่าสหรัฐทำสงครามเพราะหลงคิดว่าตัวเองเป็นอำนาจเดียวในโลก

ซี่งสวนทางอย่างสิ้นเชิงกับความจริงของความหลากหลายอำนาจในโลก



(2) ช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 มีปรากฏการณ์สำคัญเกิดขึ้น

คือการขยายตัวและร่วมมือเป็นเครือข่ายโลกของภาคประชาสังคม (civil society) เช่น

การขยายตัวของสื่อสารมวลชน สื่อวัฒนธรรมต่างๆ บทบาทขององค์กรทางการระดับโลก หรือองค์การระหว่างประเทศ

เช่น WHO ILO การประชุมเพื่อภาวะแวดล้อมโลก บทบาทขององค์กรพัฒนาเอกชนระดับโลก INGO และองค์กรพัฒนาเอกชน

NGO องค์กรเพื่อสิทธิต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย เป็นพลังสำคัญในการต่อต้านอำนาจครอบงำ (hegemony)

ของสหรัฐและตะวันตก

สงครามรุกรานอิรักครั้งนี้เป็นที่ชัดเจนว่าพลังประชาสังคมโลกมีบทบาทถ่วงดุลสำคัญที่สุดต่อสหรัฐ

(ดูรูปการขยายตัวของรัฐ องค์กรพัฒนาเอกชนระหว่างชาติ องค์กรรัฐข้ามชาติในช่วง 2 ศตวรรษที่ผ่านมา)



(3) การเชื่อมโยงของโลกข้อมูลข่าวสาร วัฒนธรรม ทำให้บทบาทของสื่อมวลชนและประชาสังคมของโลกเพิ่มสูงขึ้น

โลกาภิวัตน์ทำให้พรมแดนความเป็นชาติลดลง เพราะต้องมีการเชื่อมโยงพึ่งพากันในด้านต่างๆ มากขึ้น

บางครั้งเครือข่ายข่าวสารโลกมีอิทธิพลมากกว่าอิทธิพลของรัฐๆ หนึ่ง

ซึ่งยังทำให้ชาติตะวันตกยังได้เปรียบเพราะมีเครือข่ายของตนจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม

สงครามครั้งนี้สะท้อนว่า โลกมีเครือข่ายข่าวสารที่ถ่วงดุลกันมากขึ้น แข่งขันในการให้ข่าวทุกๆ

ฝ่ายมากขึ้น แม้จะยังแฝงอคติความลำเอียงอย่างชัดเจนก็ตาม



(4) หากมองจากประวัติศาสตร์ระยะยาว (longue duree) จะพบว่า

อำนาจและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของตะวันตกก็ลดลง จากที่เคยมีความมั่งคั่งเป็น 85.6

เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีโลกในปี 1900 ก็ลดลงมาเหลือเพียง 50 กว่าเปอร์เซ็นต์ในช่วงสิ้นศตวรรษ

คาดการณ์ได้ว่าในอีกราว 2 ทศวรรษข้างหน้า จีนและห้าเสือเอเชียจะเติบโตอย่างเร็วต่อไป เศรษฐกิจญี่ปุ่น

รัสเซีย อินเดียก็ควรขยายตัวพอสมควร

เช่นเดียวกับประเทศยุโรปตะวันออกและประเทศมุสลิมที่เคยอยู่ใต้อาณัติของรัสเซีย

สภาพเศรษฐกิจที่กระจายตัวเช่นนี้ย่อมทำให้อำนาจด้านอื่นๆ ของโลกกระจายตัวตามไปด้วย



อย่างไรก็ตาม ก็ต้องมองว่าทุนของชาติตะวันตกจะพัฒนาไปเป็นทุนการเงินโลก (global finance capital)

ที่จะยังมีบทบาทสูงในการพัฒนาทุนนิยมและระบบตลาดเสรีต่อไปอีก



(5) อำนาจทางศีลธรรม (moral power) ของโลกตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐลดลง ในช่วงสงครามโลกทั้งสองครั้ง

(ซึ่งที่จริงเป็นสงครามแย่งผลประโยชน์ของชาติตะวันตก รวมรัสเซียและญี่ปุ่น)

สหรัฐยังสามารถสร้างภาพการเป็นตัวแทนพลังประชาธิปไตยและเสรีภาพไว้ได้

ภาพการเป็นผู้นำโลกเสรียังดำเนินสืบเนื่องมาจนถึงสงครามเย็น แต่เมื่อสหภาพโซเวียตสลายตัวไปในปี 1989

ก็ปรากฏชัดต่อชาวโลก พฤติกรรมของสหรัฐ และประเทศตะวันตกส่วนใหญ่ ล้วนขัดแย้งกับคำประกาศของชาติตะวันตกเอง

เช่น การเคารพอธิปไตย การเคารพสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตยของมนุษย์ การเคารพสิทธิมนุษยชน

ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ชาติตะวันตกพูดอย่างทำอย่างมาแล้วทั้งสิ้น



ทหารสหรัฐสังหารผู้บริสุทธิ์หลายแสนคนในเวียดนาม โซมาเลีย และเกรเนดา



ตำรวจพิเศษฝรั่งเศสสังหารขบวนการชาตินิยมแอลจีเรียและพลเรือนหลายหมื่นคน



รัสเซียสังหารชาวมุสลิมในอัฟกานิสถานและเอเชียกลางนับแสนคน



อังกฤษสังหารชาวไอริชผู้รักอิสรภาพจำนวนมาก



มหาอำนาจแต่ละประเทศเหล่านี้ล้วนเคยสนับสนุนการปฏิวัติรัฐประหารล้มล้างประชาธิปไตย

เพื่อ/หรือสนับสนุนเผด็จการ เช่น ในอินโดนีเซีย ลาว เขมร พม่า ชิลี โคลัมเบีย ปากีสถาน อัฟกานิสถาน

อิหร่าน แม้แต่ ซัดดัม ฮุสเซน เองก็เป็นผลลัพธ์การสนับสนุนของอังกฤษและอเมริกา

ประเทศตะวันตกเหล่านี้สนับสนุนสงครามของชนกลุ่มน้อยหรือระหว่างเผ่าชน เช่น

สนับสนุนชาวเคิร์ดในตุรกีและอิรัก ฝ่ายรัสเซียก็สนับสนุนชนกลุ่มน้อยในอิหร่านและอัฟกานิสถาน เป็นต้น



(6) อำนาจการนำทางความรู้ความคิดและวัฒนธรรมของอเมริกาและโลกตะวันตกเสื่อมลง

นักวิชาการมาร์กซิสม์คนสำคัญของศตวรรษที่ 20 คือ Gramsci

เรียกอำนาจของรัฐที่ครอบงำประชาชนให้เชื่อในความคิดนโยบายของตนว่า อำนาจเพื่อสร้าง ความเป็นจ้าว

(hegemonic) Joseph Nye นักวิชาการการเมืองระหว่างประเทศ เรียก อำนาจในการกดครอบ (cooptive power)

ในช่วงสองศตวรรษที่ผ่านมา ดนตรี ศิลปะ วรรณกรรม วัฒนธรรม ความรู้

ค่านิยมตะวันตกเป็นที่ได้รับการเชิดชูยกย่อง ถูกลอกเลียนแบบของคนส่วนใหญ่ในโลก แต่หลังจากทศวรรษ 1960

สถานะทางด้านนี้ของตะวันตกโดยเฉพาะของสหรัฐอเมริกาเสื่อมลง จนปรากฏอาการชัดเจนในราวปลายศตวรรษด้วยปัจจัย

2 ประการ คือ



ก. เกิดการปฏิวัติวัฒนธรรมในประเทศตะวันตกเอง โดยเฉพาะการปฏิวัติวัฒนธรรมในหมู่คนหนุ่มสาว

ทำให้เส้นแบ่งระหว่างวัฒนธรรมชั้นสูง/วัฒนธรรมชาวบ้านลดลง เกิดความนิยมในวัฒนธรรมตลาด (pop culture)

และท้ายสุดเกิดความนิยมและเคารพในความหลากหลายทางวัฒนธรรมเพิ่มขึ้น



ข. เราอาจกล่าวว่า ปรัชญา post modern เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติวัฒนธรรมดังกล่าว

โดยปรัชญานี้วิพากษ์การกดขี่ บีบคั้น แบ่งชั้น กีดกัน การเสแสร้งอยู่กับเหตุผลหรืออ้างความจริง

โดยที่รากเหง้าเป็นเรื่องอำนาจและผลประโยชน์ ปรัชญาแบบนี้จึงเป็นการวิพากษ์ทฤษฎีความรู้ความคิดแบบ

modern ของตะวันตกอย่างรุนแรง ตั้งแต่ระบบศีลธรรม การเมือง ค่านิยม วัฒนธรรม การเมืองระหว่างประเทศ ฯลฯ



ปรัชญา post colonial หรือ post western

ก็เป็นการวิพากษ์ค่านิยมความรู้แบบตะวันตกนิยมที่เป็นซากเดนหรือเป็นการสืบเนื่องอาณานิยมเชิงลึกของตะวัน

ตก ส่งผลให้เกิดความเคารพตนเอง เคารพความหลากหลายเท่าเทียมของความรู้ ความคิด ทฤษฎี วัฒนธรรมมากขึ้น



ค. การเกิดเครือข่ายข้อมูลข่าวสาร ดาวเทียม มือถือ internet ทำให้การกระจายและหมุนเวียนข่าวสาร

วัฒนธรรมเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ช่วยเพิ่มทางเลือก เพิ่มความคุ้นเคย

เป็นการวิจารณ์การตีคุณค่าความหมายที่เป็นประชาธิปไตยระหว่างประชาชาติวัฒนธรรมต่างๆ มากขึ้น

ซึ่งช่วยส่งผลให้อิทธิพลตะวันตกลดลง และเสริมให้อิทธิพลวัฒนธรรมเอเชีย ละติน แอฟริกา มุสลิม สูงขึ้น

ดังจะเห็นได้จากความหลากหลายวัฒนธรรมในเพลง ดนตรี ภาพยนตร์ ละคร ศิลปะ สถาปัตยกรรม

ภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดของอเมริกา ซึ่งเคยครอบงำโลก ก็ลดฐานะเป็นเพียงเครื่องมือบันเทิง

ไม่ได้มีฐานะเป็นเกณฑ์ความงาม เป็นตัวสร้างคุณค่าชีวิตอีกต่อไป



ในขณะที่วรรณกรรม ภาพยนตร์จากจีน เกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย เริ่มมีอิทธิพลมากขึ้นเป็นต้น







วาทกรรมว่าด้วยอนาคตโลก



ในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มีมโนทัศน์เกี่ยวกับโลกปัจจุบันและโลกอนาคตหลายสำนักด้วยกัน

แต่ละสำนักก็แยกแตกแขนงย่อยไปอีก เราจะกล่าวถึงเฉพาะสำนักที่สำคัญๆ ดังนี้



1. สำนัก Realism หรือ สำนักอำนาจ-ประโยชน์นิยม สำนักนี้กล่าวว่า

แต่ละรัฐหรือแต่ละชาติจะมองกันในแง่ร้าย ถือประโยชน์ตัวเองเป็นใหญ่

จึงมักนำไปสู่ความรุนแรงหรือสงครามมากครั้งในโลก ซึ่งจำเป็นต้องมีนโยบายสร้างสมดุลอำนาจ

สร้างยุทธศาสตร์ทำลายล้างร่วมกัน (MAD : Mutually Assured Destruction) นักคิดสำคัญของสำนักนี้ก็มี E.H

Carr, H. J Morgenthau, K.Waltz



S. P. Huntington เสนอแนวคิด Neo realism ในหนังสือ "การปะทะขัดแย้งระหว่างอารยธรรม"

โดยถือว่าความขัดแย้งในโลก จะพัฒนาจากความขัดแย้งระหว่างรัฐหรือชาติม าเป็นความขัดแย้งระหว่างอารยธรรม

โดยเขาได้แบ่งอารยธรรมในโลกเป็นกลุ่มๆ ที่มีแนวโน้มขัดแย้ง และการสร้างพันธมิตรกันในรูปแบบต่างๆ คือ

กลุ่มอารยธรรมตะวันตก อารยธรรมอิสลาม อารยธรรมจีนขงจื๊อ อารยธรรมฮินดู

อารยธรรมคริสเตียนออร์โทดอกซ์ของชาวสลาฟ (รัสเซีย) เป็นต้น

โดยมีความขัดแย้งตะวันตกกับอิสลาม-จีนเป็นหลัก และตะวันตกจะเป็นอารยธรรมที่ได้รับชัยชนะในที่สุด



2. สำนักเสรีนิยม/ชุมชนนิยม กลุ่มความคิดนี้เชื่อว่าโลกดำรงอยู่ได้ด้วยบุคคล กลุ่มบุคคล ชุมชน

รัฐหรือชาติที่มีเหตุมีผล จึงเห็นประโยชน์ในการร่วมมือ/พึ่งพากัน

ในกลุ่มเสรีนิยมเชื่อว่าความร่วมมือพึ่งพากันจะทำให้เกิดโลกที่มีการเมืองและเศรษฐกิจที่เสรี

เกิดประโยชน์กันทุกๆ ฝ่าย และโลกต้องพึ่งพากันอย่างสลับซับซ้อน (complex interdependence)

สำนักคิดนี้จึงเน้นการพัฒนาองค์กรความร่วมมือระดับโลกหรือระดับนานาชาติในทุกๆ ด้าน เช่น UN, UNICEF,

World Bank, IMF, WTO, OAU, NAFTA, Amnesty International, ILO ฯลฯ นักคิดสำคัญของสำนักนี้มี Keohane,

Nye เป็นต้น



ส่วนนักคิดแนวชุมชนนิยมเช่น M. Waltz เน้นความก้าวหน้า สันติภาพ วัฒนธรรมของกลุ่มย่อย

องค์กรพัฒนาเอกชนต่างๆ มากกว่ากลุ่มของรัฐ



3. สำนักระบบโลก ผู้เขียนใช้คำระบบโลกในความหมายกว้างกว่าที่ใช้กันปกติคือใช้ครอบคลุมหลายสำนักคิด ทั้ง

สำนักเสรีนิยม ที่มองว่าท้ายสุดโลกจะพัฒนาเชื่อมโยงอยู่ภายใต้ระบบเศรษฐกิจเดียว

และอุดมการณ์เดียวคือเสรีนิยมด้วย เช่น ความคิด นาย F. Fukuyama

หรือโลกจะพัฒนามาอยู่ใต้สหพันธ์ของรัฐบาลชาติต่างๆ ที่จะพัฒนาเป็นรัฐบาลโลกในท้ายที่สุด (Tinbergen,

Dolman และ Van Etinger) หรือเป็น ระบบโลกแบบโลกาภิวัตน์ ซึ่งเชื่อมโยงโดยเครือข่ายการเงิน ข่าวสาร

วัฒนธรรม การค้า โดยบทบาทรัฐค่อยลดลงไปเรื่อยๆ หรือเป็นระบบโลกของเครือข่ายชุมชน บรรษัท

กลุ่มองค์กรต่างๆ ที่ไม่ใช่รัฐแต่มีหลายระดับตั้งแต่ ชุมชน ระดับชาติ ภูมิภาค จนถึงระดับโลก (Etzioni,

Tehranian, Deutsch) หรือ แนวคิดมาร์กซิสม์ใหม่ ของ Wallerstein

ที่มองโลกแบบระบบของทุนนิยมที่มีความขัดแย้งระหว่างแกนกลางกับชายขอบ (core-periphery)

รอเวลาที่จะล่มสลายเพื่อเกิดระบบโลกใหม่ขึ้นมา (ดูตารางเปรียบเทียบสำนักคิดต่างๆ)



สงครามรุกรานอิรักครั้งนี้ ทำให้แนวคิดระบบโลกไม่ว่าจะเป็นจากสำนักมาร์กซิสม์ ชุมชนนิยม

หรือโลกาภิวัตน์ขาดพลังการอธิบายลงไป เช่นเดียวกัน

แนวคิดความร่วมมือกันของกลุ่มประชาคมองค์การระหว่างประเทศของสำนักเสรีนิยม/ชุมชนนิยมก็จะขาดน้ำหนักไป

ความสัมพันธ์ในโลกจะถูกมองแบบ realist หรือ neo realist เป็นหลัก



คือเป็นโลกของผลประโยชน์ความเห็นแก่ตัว และความขัดแย้งระหว่างรัฐ หรือความขัดแย้งระหว่างอารยธรรมเป็นหลัก

การปรับกระบวนทัศน์ในโลกเช่นนี้นับเป็นปัญหาใหญ่สุดที่เกิดจากสงครามครั้งนี้







ผลจากสงครามอิรัก



โลกหลังตะวันตกนิยม



1. การสูญเสียความน่าเชื่อถือของแนวคิดเชิงเหตุผลของกลุ่มเสรีนิยม/ชุมชนนิยม ความเสื่อมของสหประชาชาติ

และความเสื่อมของแนวคิดการแทรกแซง (intervention) เพื่อความเป็นอารยะสากล (universal civilization) เช่น

สิทธิมนุษยชน เสรีภาพ ประชาธิปไตย



หลังสงครามครั้งนี้ประชาคมโลกจะไม่เชื่อถือข้ออ้างที่ใช้ในการแทรกแซงประเทศอธิปไตย

ไม่ว่าจะเป็นข้ออ้างใด เพราะพวกเขาได้เห็นว่า ในขณะที่อ้างจะเข้าไปปลดปล่อยประชาชาติอิรัก

แต่ก็เริ่มมีการถกเถียงเรื่องใครจะได้ผลประโยชน์จากน้ำมัน และการฟื้นฟูบูรณะประเทศจากสงคราม

หรือบางบทวิเคราะห์ก็อ้างว่าได้มีการแบ่งปันผลโยชน์กันเรียบร้อยแล้ว ระหว่างสหรัฐ อังกฤษ และรัสเซีย



เช่นเดียวกันข้ออ้างการแทรกแซง "เพื่อเสรีภาพ"

ก็ทำให้เราเห็นภาพของชาวบ้านอิรักถูกถีบประตู ค้นบ้าน เอาปืนจ่อหัวบังคับให้คุกเข่าลงกับพื้น

ถูกตรวจค้นเสื้อผ้าทั้งชายและหญิง



เช่นเดียวกันข้ออ้างเพื่อมนุษยธรรม

ก็ทำให้เราได้พบว่าสหรัฐ-อังกฤษได้กระทำสิ่งไร้มนุษยธรรมด้วยการทำลายแหล่งผลิตไฟฟ้า น้ำประปา

แหล่งเก็บอาหาร ปิดล้อมเมือง ปิดกั้นไม่ให้องค์กรนานาชาติเข้าไปช่วยเหลือชาวบ้านอิรักได้



ประชาชนในโลกจะได้ข้อสรุปว่า การแทรกแซงดังกล่าวทำลายมากกว่าสร้างสรรค์ โกหกมากกว่าสร้างความจริง



ตัวอย่างเช่น ถ้าจะทำให้เกิดมนุษยธรรม สหรัฐนำงบฯ สงครามโดยรวมซึ่งประมาณ 100,000 ล้านเหรียญมาช่วยอิรัก

ก็จะเป็นการช่วยเหลือมนุษยธรรมครั้งใหญ่ที่สุดที่ช่วยแก้ปัญหาให้ประชาชนอิรักได้อย่างมาก

หรือการควบคุมข่าวสารทำให้ทั่วโลกคิดว่าสหรัฐมีความเป็นอารยะเพราะใช้แต่ smart bomb

ซึ่งแม่นยำเสียชีวิตพลเรือนน้อย แต่ในความเป็นจริงในสงครามอ่าวครั้งที่แล้ว smart bomb มีอัตราส่วนเพียง

7% ที่เหลือเป็นระเบิดทำลายล้างไม่เลือกเป้าอย่างปกติ หรือสหรัฐก็ยังคงใช้ cluster bomb

ซึ่งสังหารคนหมู่มากได้และทำหน้าที่เป็นทุ่นระเบิดรอเวลาสังหารได้ เป็นต้น



โลกกลายเป็นสิ่งที่น่าผิดหวังสอดคล้องกับสมมติฐานพื้นฐานของสำนักอำนาจ-ประโยชน์นิยม ใน

สงครามโลกครั้งที่ 1 ชาติตะวันตกที่อ้างว่ามนุษยนิยมเป็นหนึ่งในเสาหลักอารยธรรมของตน ใช้แก๊ส สารเคมี

เข่นฆ่ากันอย่างกว้างขวาง ใน สงครามโลกครั้งที่ 2 ปัญญาชน นักคิด ศิลปิน กวี

ผู้ได้รับการศึกษาสูงของเยอรมันยอมรับสนับสนุนลัทธินาซี

และการเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวได้อย่างไม่อาทรร้อนใจ



ใน สงครามรุกรานอิรักปัจจุบัน ก็เช่นกัน นักวิชาการ ผู้สื่อข่าว นักหนังสือพิมพ์

นักการเมืองจากประเทศประชาธิปไตยเก่าแก่สนับสนุนความต้องการเป็นศูนย์กลางโลกของสหรัฐ

ซึ่งละเมิดมนุษยธรรมอย่างชัดเจนโจ่งแจ้ง แนวคิดเรื่องเหตุผลความมีอารยธรรม การเคารพสิทธิ

เคารพหลักการสากลต่างๆ จึงถูกตั้งคำถามอย่างรุนแรงจากประชาคมโลก

เพราะถึงแม้สงครามครั้งนี้จะมีขนาดเล็กกว่าสงครามโลกครั้งที่ 2

แต่เนื่องจากขอบเขตของสื่อในยุคโลกาภิวัตน์จึงทำให้ผลสะเทือนกว้างขวางมาก



สงครามครั้งนี้ทำให้ฐานะของสหประชาชาติเสื่อมลงและต้องตกอยู่ในปมที่ไม่มีทางออก เช่น

ถ้าสหประชาชาติรับช่วงงานด้านมนุษยธรรมหรือฟื้นฟูบูรณะอิรักหลังสงครามต่อจากสหรัฐ-อังกฤษ

ก็จะถูกมองเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับการรุกรานโดยไม่มีศักดิ์ศรีหลงเหลืออยู่



เช่นเดียวกันถ้าองค์กรระหว่างประเทศยินยอมให้ทหารสหรัฐ-อังกฤษ เป็นผู้แจกจ่ายความช่วยเหลือของนานาชาติก็จ

ะถูกมองเป็นเครื่องมือในการทำสงครามเช่นกัน



2. โลกภายใต้กรอบคิดแบบอำนาจ-ประโยชน์นิยม รัฐบาล นักการทหาร ปัญญาชนจำนวนในโลกจะได้ข้อสรุปแบบพวก

realist ว่าพัฒนาการทางความคิด หลักการ กฎเกณฑ์สากลต่างๆ ไม่ว่าจะ เป็นอำนาจอธิปไตย สิทธิประชาธิปไตย

สิทธิมนุษยชน ไม่มีความหมายที่ตายตัวแต่ประการใด

ระบอบประชาธิปไตยก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะไม่เกิดคนอย่างฮิตเลอร์ บุช

ซึ่งดำเนินนโยบายเพื่อ/แสวงประโยชน์ของชาติตนอย่างโจ่งแจ้งแบบอันธพาลซึ่งเลวร้ายไม่น้อยกว่ารัฐบาลของซัด

ดัมเลย



กรณีสงครามครั้งนี้จะผลักดันให้โลกคิดไปตามแนว realism หรือแนว neo realism

ซึ่งเน้นความขัดแย้งระหว่างอารยธรรมมากขึ้น

และเนื่องจากมีความหวาดระแวง ก็จะกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างทุกฝ่าย ไม่จำกัดระหว่างสหรัฐกับปฏิปักษ์เท่านั้น ซึ่งจะเป็นหลังปัญหาสงครามที่สลับซับซ้อนน่าเป็นห่วงมากขึ้น ดังนี้



2.1 ในระดับรัฐหรือประเทศ



ก. ประเทศตะวันตกอื่นๆ จะเริ่มพัฒนาสมรรถนะอาวุธของตนให้ทัดเทียมอเมริกามากขึ้น ตัวอย่างเช่น

ในสงครามครั้งนี้ อังกฤษก็เริ่มทดลองใช้จรวดนำวิถี Cruise Missile ของตนมาลองใช้

รัฐมนตรีกลาโหมเยอรมันกล่าวว่า องค์กรกลางของโลกคือ UN ควรต้องมีฐานอำนาจที่เป็นจริงของตน กลุ่มประเทศ

EU เริ่มพูดถึงนโยบายป้องกันตนเองที่เป็นอิสระจาก NATO เป็นต้น ซึ่งส่อเค้าการเริ่มพัฒนาอาวุธอีกหน



ข. มหาอำนาจทางการทหารอื่นๆ เช่น รัสเซีย จีน อินเดีย

จะเร่งพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และอาวุธระยะไกลที่แม่นยำมากขึ้น รวมทั้งวางแผนพัฒนาอาวุธเคมีชีวภาพ

ซึ่งคาดว่าทุกฝ่ายต่างก็แอบทำอยู่ภายใต้ข้ออ้างต่างๆ อยู่แล้ว



ค. ประเทศที่มีศักยะที่เป็นเป้าหมายหรืออาจเป็นปฎิปักษ์ของสหรัฐ หรือของมหาอำนาจอื่น เช่น ซีเรีย

อิหร่าน ปากีสถาน เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ หรือแม้แต่ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย จะต้องหาทางพัฒนา

สะสมอาวุธของตน ซึ่งอาจรวมทั้งนิวเคลียร์ ชีวเคมี ด้วย



ง. เนื่องจากกระบวนทัศน์แบบ realism เน้นการเมืองของอำนาจ (power politics)

หรือการเมืองของภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitics) ซึ่งหวาดระแวงเพื่อนบ้านที่มีอำนาจมากกว่า

กระบวนการดังกล่าวจะสร้างผลสะเทือนเป็นลูกโซ่ต่อประเทศอื่นๆ เช่น ส่งผลต่อไทย เวียดนาม ลาว พม่า

บังกลาเทศ อดีตประเทศในสหภาพโซเวียต ฯลฯ ให้ในระยะยาวต้องสะสมอาวุธด้วยเช่นกัน



2.2 ประชาสังคมกับโลกหลังตะวันตกนิยม



?•??O??????????zฯ กลุ่มประชาสังคมโลกอันได้แก่ ปัญญาชน นักวิชาการ สื่อมวลชน องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรสิทธิ

องค์กรสิ่งแวดล้อม ทั้งระดับประเทศและระหว่างประเทศ องค์การเคลื่อนไหวทางสังคมหรือการเมืองภาคประชาชน

แม้จะมีแนวคิด อุดมการณ์ที่ต่างๆ กัน แต่จะมีจุดร่วมที่เหมือนกัน คือ การคัดค้านตะวันตก

หรือทำให้พ้นจากตะวันตกนิยม (post westernism)



กลุ่มประชาสังคม เพื่อสิทธิหรือการอนุรักษ์จะพยายามให้องค์กรโลกบาล (global governance) เช่น UN UNICEF

องค์กรเพื่อสิ่งแวดล้อมโลก World Bank คณะกรรมการเพื่อสิทธิมนุษยชนมีบทบาทต่อไป

แต่ควรให้เป็นประชาธิปไตย ความหลากหลาย พ้นจากการครอบงำโดยสหรัฐและตะวันตก

เพื่อมีบทบาทในการปกป้องศักดิ์ศรี สิทธิ เสรีภาพพื้นฐานของมนุษย์ เผ่าพันธุ์ต่างๆ ไว้ให้ได้มากที่สุด

และบางส่วนก็เพื่อให้องค์กรโลกบาลดังกล่าวมีบทบาทในการกำกับควบคุมทุนการเงินของโลกมากขึ้น

มีบทบาทในการปกป้องสภาพนิเวศน์ แก้ปัญหามลภาวะและโรคระบาดร้ายแรงมากขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง

พวกเขาพยายามมองก้าวพ้นค่านิยมแบบปัจเจกชนนิยม ตลาดเสรี และบริโภคนิยมสุดขั้ว

อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของอเมริกา



2.3 ในระดับวัฒนธรรม

การวิพากษ์เชิงปรัชญาและวัฒนธรรมกันเองทำให้ตะวันตกต้องยอมรับความหลากหลายเท่าเทียมทางวัฒนธรรมมากขึ้น

เช่นเดียวกับทุกๆ ประเทศในโลกก็มีปัญหาการกดเหยียด หรือถูกกดเหยียดทางวัฒนธรรมซึ่งต้องแก้ไขเช่นกัน

การกระจายอำนาจทางเศรษฐกิจ การทหาร

ก็จะทำให้ความหลากหลายเท่าเทียมทางวัฒนธรรมมีพื้นฐานที่เป็นจริงมากขึ้นเช่นเดียวกัน

เครือข่ายการติดต่อสื่อสาร ดาวเทียม มือถือ อินเทอร์เน็ตก็ช่วยให้การแลกเปลี่ยน

นิยมชมชื่นความต่างทางวัฒนธรรมเกิดมากขึ้น



ประชาสังคมโลกยังมีประเพณีการต่อต้าน บอยคอต (boycott)

สินค้าหรือวัฒนธรรมที่ไม่เคารพต่อคุณค่าความเป็นมนุษย์

คาดว่าการบอยคอตสินค้าวัฒนธรรมค่านิยมอเมริกันจะเริ่มปรากฏขึ้นเรื่อยๆ



2.4 เนื่องจากขนาดและอิทธิพลด้านต่างๆ ของสหรัฐยังมีสูงมากอยู่

แม้เศรษฐกิจจะกำลังตกต่ำรัฐบาลประเทศต่างๆ อาจจะต้องตีบทสองหน้า คือ หน้าหนึ่งสนับสนุนสหรัฐ

อีกด้านหนึ่งพยายามป้องกันปกป้องผลประโยชน์ตัวเอง อีกด้านหนึ่งกลุ่มธุรกิจต่างๆ จะสนใจในผลกำไร

ไม่สนใจในเรื่องความถูกต้องหรืออุดมการณ์มากนัก จะยังเป็นพลังที่ฝืนรั้ง โลกแบบตะวันตกนิยม

ให้คงอยู่ต่อไป



อย่างไรก็ตาม การที่สินค้าแบรนด์เนมใหญ่ๆ เช่น coke McDonald KFC Pizza ต่างๆ

ต้องปรับตัวสร้างความหลากหลายหรือ/และมีลักษณะท้องถิ่นมากขึ้น



ทำให้คาดการณ์ได้ว่าประมาณ 1-2 ทศวรรษข้างหน้า

โลกแบบตะวันตกนิยมจะต้องหลีกทางให้กับโลกหลังตะวันตกนิยมค่อนข้างชัดเจน







ปัญหาสำคัญของคนไทยคือการดำรงอยู่ในประชาคมโลกอย่างมีศักดิ์ศรี มีเสรีภาพทางนโยบาย ความคิดอย่างมีปัญญา

อย่างเคารพตนเอง เคารพผู้อื่น อย่างคำนึงผลประโยชน์ของเราเอง ร่วมกับผลประโยชน์ผู้อื่นอันจะเป็นการหามิตรและพันธมิตรของตนได้เต็มที่



หลังจากที่เราค้อมหัวให้ตะวันตกมาตลอด เราต้องเลิกบูชาตะวันตก

หันกลับมาชื่นชมคุณค่าของตัวเองอย่างเปิดกว้าง



ผู้เขียนไม่หวังจากภาครัฐซึ่งดำเนินนโยบายเอียงข้างอเมริกามาตลอด ตั้งแต่ยุคเผด็จการจนถึงยุคประชาธิปไตย

ผู้เขียนนึกถึงบทบาทของภาคสังคม/ประชาชน ที่ต้องเป็นฝ่ายนำในการผลักดันตัวเราเองให้ก้าวพ้นจากตะวันตกนิยม

การเป็นอาณานิคมแฝงในวัฒนธรรม คุณค่า และสติปัญญา

รวมทั้งต้องสนับสนุนผู้อ่อนแอที่ถูกรังแกคือชาวมุสลิมและประชาชนอิรักด้วย



โดยจุดเริ่มต้นต้องทำความเข้าใจว่ามโนทัศน์ที่ทฤษฎีตะวันตกให้กับโลกอาหรับเป็นพวกนิยมลัทธิสุดขั้ว

(Fundamentalism) "การก่อการร้าย" (Terrorism) แท้ที่จริงแล้ว

สหรัฐและประเทศตะวันตกจำนวนมากเองที่เป็นโรคลัทธิสุดขั้วในการบูชาวัตถุ ซึ่งเป็นต้นเหตุของสงครามต่างๆ



สหรัฐเป็นต้นตอของลัทธิการก่อการร้ายหรือการสร้างความสะพรึงกลัวรายใหญ่ที่สุดของโลก

ซึ่งเราจะได้พูดถึงในตอนต่อไป



หน้าแรก
| ปัญญาชนสยาม | หนุ่มสาวดัดจริต | กังวานเกี่ยวข้อง | ข้าวตอกดอกมะเขือ | กลับสู่ด้านบน

เว็บไซต์นี้จัดทำด้วยความกระตือรือล้นของใครหลายคนนั้น
ก้อนหิน และหรือดอกไม้ กรุณาหารือกับนักการ
พยายามปรับปรุงข้อมูลครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๖