สมบัติ
เบญจศิริมงคล
ปี
ค.ศ. 2000 หรือ ปี พ.ศ. 2543 เป็นปีที่คนไทยทั้งประเทศ มีความภาคภูมิ
ใจในความเป็นไทยมาก สาเหตุเพราะ เรามีคนไทยอยู่สองท่าน ที่ได้รับการ
ยกย่องประกาศเกียรติคุณจากองค์กรสากลที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือ องค์การ
UNESCO ของสหประชาชาติ ที่เรามี คนดีของโลก อยู่ในประเทศพร้อมกันถึง
สองท่าน คือ สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ หรือ แม่ฟ้าหลวงของคนไทย
อีกท่านหนึ่งคือ สามัญชนที่เรารู้จักกันในนาม ผู้อภิวัตน์ 2475,
หลวงประดิษฐ์มนูธรรม, รัฐบุรุษอาวุโส, รูธ แห่งเสรีไทย หรือ อาจารย์
ปรีดี พนมยงค์ คุณตา ที่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของพวกเรา นักเรียนไทยในประเทศฝรั่งเศส
และในเยอรมัน ขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่
ผมรู้จักกับครอบครัว
พนมยงค์ เมื่อประมาณกลางปี พ.ศ. 2517 หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม
2516 วันมหาวิปโยคของชาวไทย ประมาณหนึ่งปี เศษ
ในสมัยที่
ผมศึกษาอยู่ที่ประเทศเยอรมัน นักเรียนไทยที่ศึกษาอยู่ในช่วงนั้นส่วนใหญ่
จะเป็นนักเรียนที่ได้รับทุนจากมูลนิธิต่างๆ ของเยอรมัน เช่น ของ
Carl Duisberg Gesellschaft (CDG) ที่มาเรียนสายวิศวกรรมศาสตร์ อีกส่วนหนึ่งที่มาเรียนสายศิลป์
เช่น ภาษาเยอรมัน, กฎหมาย, ปรัชญา หรือ เศรษฐศาสตร์ ก็จะเป็นนักเรียนทุนของ
Humboldt Stiftung หรือ ของมหาวิทยาธรรมศาสตร์ ฯลฯ และอีกส่วนหนึ่งก็มาเรียนสายวิชาชีพ
เช่น ที่เรียกว่า Lehrling ในสมัยนั้น หรือ มาเปลี่ยนเป็น Auszubildende
ในตอนหลัง ซึ่งจะใช้ระยะเวลาศึกษาอยู่ประมาณ 3 ปี ครึ่ง (คนไทยจะรู้จักกันในระบบ
Dual System คือ ฝึกงานด้วย เรียนด้วย) ในส่วนแม่บ้าน หรือ ผู้หญิงที่แต่งงานตามสามีมาอยู่ที่เยอรมัน
จะน้อยกว่าปัจจุบัน
ตอนนั้นผมพักอยู่กับคนไทยด้วยกันที่เมือง
Hamburg (Wandsbeker Chaussee) ขออนุญาตเอ่ยชื่อเพื่อนร่วม Wohnung
เผื่อพวกเราจะรู้จักคือ คุณศุภวิทย์ เปี่ยมพงษ์ศานต์ หรือ พวกเราในสมัยนั้นเรียกแก่ว่า
Professor (เพราะแกจะตอบปัญหาได้เกือบทุกปัญหา เป็นคนกว้างขวางและชอบให้ความช่วยเหลือแก่เพื่อนคนไทยในเมืองต่างๆ)
และอีกคนคือ คุณวิษณุ (ต้องขออภัยที่จำนามสกุลไม่ได้)
อย่างที่เขียนเกริ่นให้ทราบว่า
Professor ศุภวิทย์ ของเรานั้นมีความกระตือรือล้นใน กิจกรรมต่างๆ
ที่นักศึกษาจัดขึ้น (เค้าเป็นอุปนายกของสมาคมฯด้วย) ผมจึงมีโอกาสตาม
Professor ไปร่วมประชุมใหญ่และย่อยของสมาคมนักเรียนไทยในเยอรมัน
ในพระบรมราชูปถัมภ์ (ส.น.ท.ย.) หลายครั้ง เนื่องจากผมเป็นคนสนใจในกิจกรรมของ
เพื่อนรุ่นพี่ที่เรียนอยู่ ณ เวลานั้น จำได้ว่าครั้งแรกที่ผมไปประชุม
ส.น.ท.ย. ที่เมือง Zeven เมืองเล็กๆ ทางภาคเหนือ (เข้าใจว่าจะติดกับเมือง
Bremen หรือ Bremehaven อะไรทำนองนั้น) ผมมีโอกาสเห็นเพื่อนรุ่นพี่ที่เดินทางมาจากเมืองต่างๆ
จากภูมิภาคต่างๆ ในเยอรมัน และเมืองจากประเทศข้างเคียงมาร่วมประชุม
เลือกตั้งกรรมการ มาแข่งกีฬา เช่น ปิงปอง ฯลฯ โดยเฉพาะกีฬาฟุตบอล
จะเป็นกีฬาสุดฮิตในสมัยนั้น อาจเป็นเพราะ ถ้ามีการแข่งขันกีฬาฟุตบอลมากทีมเท่าไหร่
จะยิ่งดึงคนมาประชุมมากขึ้นเท่านั้น เช่น ถ้ามีทีมมาแข่งซัก 5 ทีม
ก็จะมีคนมาร่วมงานประชุมไม่ต่ำกว่า 70-80 คน ขึ้นไป เท่าที่ผมจำได้
จะมีนักศึกษาทหารที่ได้รับทุนมาเรียนต่อ ไม่ว่าจะเป็นทหารบก, ทหารเรือ
หรือ ทหารอากาศ จะมาชุมนุมเล่นฟุตบอลกันเป็นจำนวนมากด้วย ซึ่งทำให้การจัดการ
ประชุมใหญ่จะไม่ค่อยขาดทุนกัน อีกกลุ่มหนึ่งที่มาประชุมเท่าที่เห็น
และมีโอกาสร่วมสัมผัส ในครั้งแรกด้วย คือ การประชุมเพื่อถกปัญหาทางด้านวิชาการ
การพูดถึงปัญหาของ
บ้านเมืองในขณะนั้น เราคงจำกันได้ว่า ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์วันมหาวิปโยค
คือ วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 นั้น ประเทศไทยถูกปกครองโดยเผด็จการทหารมาเกือบจะตลอดเวลา
(เรามีรัฐบาลทหารที่ได้รับการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ก็เป็นเพียงละครฉากสั้นๆ
เท่านั้น) ทำให้เราเริ่มมีการวิเคราะห์ วิจารณ์รัฐบาลที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
(เพราะเรามาอยู่ใน ประเทศที่ทุกคนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนา
ในการออกความคิดเห็นโดยอิสระ เสรีได้) แต่ก็คงจำกัดอยู่ในวงแคบๆ
ถ้าเทียบกับผู้ที่ไปร่วมกิจกรรมทางด้านกีฬาแล้ว การเสวนา (หรือ การสัมมนา)
ในเรื่อง การเมือง ยังเป็นเรื่องรอง แต่เพื่อให้บรรยากาศ ของงานเรียบร้อยสมบูรณ์
กรรมการบริหารของ ส.น.ท.ย. ขณะนั้นคงคิดว่าเป็นเรื่องดี ประกอบกับกรรมการด้านฝ่ายวิชาการในสมัยนั้น
มีความกระตือรือล้นในการจัดกิจกรรม เกี่ยวกับปัญหาของบ้านเมือง เลยทำให้ผมมีโอกาสเข้าไปร่วมกับเขาด้วย
ครั้งที่ผมจำได้ไม่ลืมเลย
คือ ครั้งที่ ส.น.ท.ย. ได้จัดให้มีการประชุมสามัญประจำปี หลังจาก
ที่มีการเข่นฆ่านักศึกษา ประชาชนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
และตามจังหวัดต่างๆ ของประเทศ บ่อยและถี่ขึ้นตามลำดับ
ในสมัยนั้น
เรายังไม่มีหนังสือพิมพ์หัวเขียว หัวแดง หรือ หัวอื่นๆ อ่านกัน ข่าวสารที่พวกเรา
ได้รับส่วนใหญ่ จะเป็นลักษณะจดหมายที่เรา (ค่อนข้างจะขยัน) เขียนแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ
(แฟน) ทางเมืองไทย หรือ บางครั้ง ทางเมืองไทยก็จะส่งหนังสือนิตยสารรายสัปดาห์
ซึ่งเป็นเรื่องการสรุปเหตุการณ์ สถานการณ์ ในรอบหลายๆ สัปดาห์ที่ผ่านมาให้เราอ่านกัน
ที่ผมจำได้ดี ก็จะมีสยามรัฐรายสัปดาห์, อาทิตย์รายสัปดาห์ หรือ หลักไท
เป็นต้น ซึ่งผมก็อ่าน ทุกตัวอักษร ทุกหน้า แม้แต่โฆษณาผมก็ยังอ่านเลย
เพราะช่วงที่ไปอยู่ที่เยอรมันใหม่ๆ นั้น อ่านหนังสือพิมพ์ หรือ ดู
TV เยอรมันแทบจะไม่รู้เรื่องเลย
การจัดประชุมของ
ส.น.ท.ย. ครั้งนั้น จำได้ว่าจัดแถวๆ กรุงบอนน์ ซึ่งเป็นบริเวณที่
นักเรียนไทยในภาคพื้นยุโรป ไม่ว่าจะเป็นสมาคมนักเรียนไทยในฝรั่งเศส
ในพระบรมราชูปถัมภ์ (ส.น.ท.ฝ.) หรือ คนไทยที่ศึกษาอยู่ในประเทศเนเธอร์แลนด์
ในสวิสเซอร์แลนด์ หรือ แม้แต่ในประเทศอังกฤษก็มาร่วมด้วยได้ ซึ่งเป็นธรรมเนียมของ
การเริ่มเสวนา ที่เราจะต้องแนะนำตัวเอง เพื่อให้รู้จักกันและกันก่อน
รู้ว่าเรามาจากที่ไหน กำลังศึกษา หรือ อาศัยอยู่ในประเทศใด การแนะนำตัวก็เป็นไปตามปกติ
จนกระทั่งถึงพี่ผู้หญิงสองคนที่แนะนำตัวเองว่า
ชื่อวาณี พนมยงค์และสุดา พนมยงค์ ด้วยความตกใจ ระคนกับความดีใจ ผมเลยโพล่งถามออกไปอย่างเสียมารยาทในที่ประชุมว่า
เป็นอะไรกับอาจารย์ปรีดี
พนมยงค์ ผู้ซึ่งผมรู้จักแค่จากตัวอักษรด้านความดี และด้านอื่นๆ
ของท่าน บุคคลที่ ผม เคารพและศรัทธามากที่สุดคนหนึ่ง
ผมยังพูดต่ออีกว่า
พี่อย่ามาล้อผมเล่น เพราะผมศรัทธาในตัวท่านอาจารย์มาก
หลังจากสัมมนาแล้ว
ผมยังเกาะติดพี่ทั้งสองไม่เลิก เพราะผมไม่เชื่อในที่ประชุมว่า พี่ผู้หญิงทั้งสองเป็นบุตรสาวอาจารย์จริง
(ด้วยความโง่ของผมเอง) พวกเราทราบไหมครับว่า ผมมีความรู้สึกอย่างไรในขณะนั้น
ผมรู้สึกตื่นเต้นและดีใจเป็นอย่างยิ่ง
จนอยากจะตะโกนออกมาว่า ผมพบแล้ว ผู้ที่ผมค้นหามานาน ผู้อภิวัตน์
2475 ผู้ที่ถูกกล่าวหาต่างๆ นานา ว่าไปแล้ว ผมตื่นเต้น เหมือน อคิเมดิส
ปราชญ์ชาวกรีกผู้ค้นพบทฤษฏีการคำนวนหาความถ่วงจำเพาะของโลหะ ได้ในครั้งแรก
กล่าวคำว่า Eureka ยังไงยังงั้น แต่ผมไม่กล้าแสดงออกมากนัก เพราะเดี๋ยวจะหาว่าผม
เว่อร์
ความจริงอย่างหนึ่งที่ผมไม่ค่อยได้บอกกับใครมากนักว่า
ทำไมผมถึงไปร่วมการประชุม ประจำปีของส.น.ท.ย. แทบจะทุกครั้งก็เพราะ
อยากจะรู้จักอาจารย์ปรีดี อยากฟังสุนทรพจน์ อยากสัมผัสนักปราชญ์
ซึ่งท่าน Professor ศุภวิทย์ บอกกับผมว่า อาจารย์จะมาร่วมประชุม
กับพวกเราด้วยเกือบทุกครั้ง เพราะอาจารย์ผูกพันกับสมาคมของเรามาก
และนักเรียนไทย ก็ผูกพันกับอาจารย์มากเช่นกัน อาจเป็นเพราะว่าอาจารย์เป็นผู้หนึ่งที่ได้ก่อตั้งสมาคม
นักเรียนไทยในภาคพื้นยุโรปด้วยท่านหนึ่งด้วยก็เป็นได้
รุ่นพี่ที่ผมรู้จักมักจะบอกว่า
เวลาส.น.ท.ย.จะจัดประชุมสัมมนาทางวิชาการ หรือ ประชุมใหญ่ของสมาคมฯ
ก็จะมีสาส์นไปเรียนเชิญอาจารย์ให้มาร่วมให้ความรู้แก่พวกเรา ด้วยทุกครั้ง
ซึ่งอาจารย์ปรีดีจะให้ความร่วมมือด้วยเกือบจะทุกครั้ง ยกเว้นตอนที่อาจารย์ป่วย
หรือ ติดภารกิจจริงๆ ส่วนลูกๆ อาจารย์ก็จะมาร่วมด้วยทุกครั้ง
สมัยนั้น
เวลาอาจารย์จะมาร่วมงานกับเรา สถานทูตไทยในกรุงบอนน์ ก็จะจัดรถไปรับท่าน
ถึงประเทศฝรั่งเศสเลยทีเดียว เพราะท่านเป็นรัฐบุรุษอาวุโสท่านเดียวของไทยที่มีอยู่
แต่ด้วยความที่อาจารย์ไม่ชอบเป็นภาระแก่ใคร และต้องการมาร่วมงานกับพวกเราในฐานะ
สมาชิกคนหนึ่งของส.น.ท.ย. ท่านจะมาของท่านเอง
หลังจากที่ผมได้มีโอกาสรู้จักกับครอบครัว
พนมยงค์ ผมก็ได้มีการแลกเปลี่ยนข่าวสารกับ พี่วาณี และพี่สุดาอยู่อย่างสม่ำเสมอ
(ว่าไปแล้ว พี่ทั้งสองกรุณาส่งข่าวสารให้ผมทราบ มากกว่า) พี่วาณีได้ทำจดหมายสรุปข่าวประจำสัปดาห์
หรือรายปักษ์ส่งข่าวสารให้สมาชิก ทราบความเคลื่อนไหว ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ
การเมือง และสังคม (เรียกว่า Bullentine)
เราคงจำกันได้ว่า
หลังจากที่เผด็จการถนอม ประภาสและณรงค์ กิตติขจร (ซึ่งเราเรียกว่า
3 ทรราช) ได้พยายามสร้างกระแสเพื่อจะกลับเข้ามาประเทศไทยอีกครั้ง
โดยใช้ขบวนการ ต่างๆ เช่น ขบวนการลูกเสือชาวบ้าน ขบวนการกระทิงแดง
(ของสายหยุด หัสดินฯ), ขบวนการนวพล ตลอดจนขบวนการแยกนักศึกษาออกจากขบวนการประชาชน
พยามสร้าง กระแสให้เห็นว่า นักศึกษาฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ จะทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์
ฯลฯ โดยใช้ สถานีวิทยุยานเกราะ (อุทาน สนิทวงศ์ฯ)
หนังสือพิมพ์ดาวสยาม
(กระแช่) และนักพูดอย่างนายสมัคร สุนทรเวช จนกระทั่งมีบุคคล ที่นุ่งเหลืองที่เรียกตัวเองว่า
พระ คือกิตติวุฒโท ออกมาโฆษณาชวนเชื่อว่า ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป
มีรูปการ์ตูนล้อเลียนกิตติวุฒโทในหนังสืออาทิตย์รายสัปดาห์ ที่เป็นภาพกิตติวุฒโทสะพายอาวุธรอบตัว
เราซึ่งเป็นนักศึกษาไทยในต่างประเทศในห้วงเวลา นั้น มีความวิตกกังวลมากว่า
จะเกิดการปฏิวัติรัฐประหารเข่นฆ่าประชาชนครั้งใหม่ขึ้นใหม่ อีกครั้ง
เรามีความกลัวกันว่า
เผด็จการซึ่งมีอำนาจเหนือประชาธิปไตยหลังวันมหาวิปโยคที่ประชาชน
สามารถเอาชนะเผด็จการที่ปกครองประเทศไทยมาเป็นระยะเวลาอันยาวนานหลังการอภิวัฒน์
2475 จะกลับมาอีกครั้ง
ประกอบกับการต่อสู้ของขบวนการประชาชนในประเทศเวียดนามและในลาวมีความเข้มข้นมาก
ทำให้มีการนำทฤษฎี Domino มากล่าวอ้าง เพื่อปลุกกระแสให้คนไทยต่อต้านขบวนการ
นักศึกษา ประชาชนที่ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม
จนเกิดเหตุการณ์นองเลือดครั้งประวัติศาสตร์
6 ตุลาคม 2519 (1976) อย่างที่คนไทยที่เรียก ตัวเองว่าเป็น ชาวพุทธ
ก็ยังไม่กล้าทำกับสัตว์เดรัจฉาน อย่าว่าแต่คิดจะทำกับคนไทย ซึ่งเป็น
ชาวพุทธ ด้วยกัน
Winfried
Schalau ซึ่งเป็นผู้สื่อข่าวที่อยู่ในเหตุการณ์ (ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)
บรรยายในข่าวที่ส่งออกไปทั่วโลกว่า
ขณะที่ผมรายงานอยู่นี้
มีเสียงปืนและ เสียงระเบิดยิ่งเข้ามาที่บริเวณนี้อยู่ตลอดเวลา นักศึกษาที่
หลบอยู่ที่ลาน Campus ต้องมอบอยู่กับที่ด้วยความหวาดกลัว...
จนทำให้เกิดการต่อสู้ด้วยกองกำลังติดอาวุธ
ทำให้นิสิต นักศึกษา และประชาชนที่ยึดหลัก อหิงสาธรรมในการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม
ต้องหนีเข้าป่า หนีลี้ภัยในต่างประเทศ ฯลฯ
ผมขออนุญาตตัดภาพเหตุการณ์กลับมาที่อาจารย์ปรีดีจะดีกว่า
(เพราะเมื่อใดก็ตามที่ผม รำลึกถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาที่ไร ผมจะเกิดความแค้นขึ้นมาทุกที)
ว่าทำไมผมถึงภาคภูมิใจ และศรัทธาในความเป็น คนดีของโลก ของท่านอาจารย์
ก็อย่างที่พวกเราที่ศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทยมา
หรือเพื่อนๆ ที่มีประสบการณ์ช่วงต่อสู้ ในขณะนั้น หรือน้องๆ ที่เกิดรุ่นหลังได้ทราบว่า
พวกเรานักเรียนไทยมีการเกาะกลุ่มทำ กิจกรรมทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง
สาเหตุหนึ่งที่พวกเราส่วนหนึ่งเกาะกันเหนียวแน่น ก็คือกิจกรรมทางการเมือง
อาจเป็นเพราะกิจกรรมทางการเมืองก็เป็นได้ (พวกเราสมัยนั้น ยังคงจำกันได้ว่า
เราเติบโตในยุคเผด็จการครองเมือง ไม่ว่าจะเป็นยุคสฤษดิ์ ธนรัตน์
ยุคถนอมประภาส
ผมเองมีโอกาสหย่อนบัตรเลือกตั้งครั้งแรกในชีวิต
เมื่ออายุย่างเข้า 24 ปี ก็ที่ประเทศ เยอรมันนี่เอง คือการเลือกตั้งตัวแทนนักศึกษาในมหาวิทยาลัย)
ผมจะไปร่วมกิจกรรมกับ กลุ่มคนไทยทุกครั้งที่ได้ข่าวว่าอาจารย์ปรีดี
จะมาร่วมกับเราด้วย จนกระทั่ง การเลือกตั้ง นายก ส.น.ท.ย. ปี 2525
(1982) ผมก็ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกส.น.ท.ย. โดยความช่วยเหลือ ของเพื่อนๆ
เช่น คุณสมยศ เชื้อไทย, คุณบุญศรี มีวงศ์อุโฆษ, คุณปรีชา (จำนามสกุลไม่ได้
จาก Berlin) พี่ที่มาทำงานวิจัยที่มหาวิทยาลัย Heidelberg (Alzheimer
กิน เลยจำชื่อพี่ เค้าไม่ได้)
ผมเดินทางไปกราบคารวะ
คุณตา (อีกสมญานามหนึ่งที่บุคคลใกล้ชิดใช้เรียกอาจารย์ปรีดี พนมยงค์)
ที่ประเทศฝรั่งเศส เพื่อปรึกษาหารือในกิจกรรมร่วมกันระหว่างสมาคม
นักเรียนไทยในฝรั่งเศส ในพระบรมราชูปถัมภ์ (ส.น.ท.ฝ.) ซึ่งคุณเสาวณีย์
ลิมมานนท์ แว่น หญิงเหล็ก (ตัวจริง) นักอภิปรายของขบวนการนักศึกษาช่วง
14 ตุลา 2516 (1973) เป็นนายกในปีเดียวกัน กับ ส.น.ท.ย. เนื่องจากมีเหตุการณ์ครั้งสำคัญๆ
เช่น เป็นปีที่ ประชาธิปไตยที่ก่อกำเนิดขึ้นในประเทศไทยครบ 50 ปีพอดี
และเป็นปีที่การต่อสู้ของ ขบวนการประชาธิปไตยถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ
(เลี้ยว หรือ ต่ออย่างไร ถ้ามีโอกาสจะเขียนมา เล่าสู่กันอ่านอีก)
ฯลฯ
สิ่งที่ผมประทับใจ
คุณตา และ คุณยาย (ท่านผู้หญิงพูนศุข) มากๆ ก็คือ ท่านให้ความรัก
ความเมตตาต่อพวกเรามาก ท่านต้อนรับขับสู้พวกเรา ถึงแม้ว่าส่วนมากแล้ว
เราไปก่อความ วุ่นวายซะมากกว่า
บางครั้งอาจารย์ยังเช่าโรงแรมให้ผมพัก
เพราะกลัวผมจะพักผ่อนไม่สบาย ทั้งๆ ที่ผมก็ไป พักบ้านเพื่อนๆ ที่อยู่ที่ฝรั่งเศสก็ได้
เช่นที่บ้านของแว่น หรือ ของคุณวิษณุ วรัญญู หรือของ คุณ หมู ใจเดียว
ผุดผาดน้อย วรวุฒิ ก็ได้
ท่านไม่เคยปฏิเสธความร่วมมือ
หรือปฏิเสธการชี้แนะ ถึงแม้ว่า คุณตา จะชราภาพมาก หรือ บางครั้งจะไม่ค่อยสบายก็ตาม
(ขณะนั้นท่านอายุ 82 ปีแล้ว) บางครั้งท่านยังเดินทางมา ร่วมกิจกรรมกับทาง
ส.น.ท.ย. ซึ่งมีระยะการเดินทางมากกว่า 800 กิโลเมตร หรือ บางครั้ง
ส.น.ท.ย. ไปร่วมกิจกรรมกับ ส.น.ท.ฝ. อาจารย์ก็จะมาร่วมสนุกกับเราด้วย
ตอนที่เราไปร่วมงานวันสงกรานต์กับ
ส.น.ท.ฝ. คุณตากรุณามาปาฐกถาเรื่องประเพณี วันสงกรานต์ ผมยังจำได้อย่างดีว่า
คุณตาหอบเอกสารมาเป็นจำนวนมาก เพื่อใช้อ้างอิงเผื่อ ข้อมูลตกหล่นหรือข้อมูลที่อาจารย์กลัวว่าจะไม่ถูกต้อง
ตลอดเวลาร่วม 2 ชั่วโมงที่อาจารย์ บรรยายถึงความเป็นมาของนางสงกรานต์
กำเนิดของการนับวันขึ้นปีใหม่ของไทย อาจารย์ บรรยายได้อย่างน่าฟัง
ชวนให้น่าติดตามมาก ความจำของท่านถือว่าสุดยอดมาก เพราะอาจารย์ไม่ได้พลิกตำราที่ท่านเตรียมไว้อ้างอิงแม้แต่ครั้งเดียว
ตรงกันข้าม ท่านกลับ พูดถึงตอนนี้ ให้ไปพลิกดูที่หน้านี้ ฯลฯ ผมประทับใจจริงๆ
จนถึงทุกวันนี้ผมยังจำภาพ เหตุการณ์ในวันนั้นได้อย่างเม่นยำ (คุณเดวิด
บัณฑุวงศ์ กรรมการบันเทิง ของ ส.น.ท.ย. เป็นคนบันทึกวีดีโอไว้) สิ่งหนึ่งที่ผมพูดเขียนและยืนยันเกี่ยวกับอาจารย์ปรีดี
พนมยงค์ได้ อย่างเต็มปากเต็มคำก็คือ อาจารย์มีความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์มาก
สามารถพิสูจน์ได้ ด้วยวัย 82 ปี ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีความจำเป็นเลิศ
เป็นกันเอง และนี่ก็เป็นปรากฏการณ์อีก ครั้งหนึ่งในหลายๆ ปรากฏการณ์ที่ผมได้มีโอกาสสัมผัสกับอาจารย์
ช่วงที่จะจัดให้มีการประชุมสัมมนาเรื่อง
50 ปีประชาธิปไตย ผมได้ไปถ่ายบันทึกภาพที่ บ้านเพื่อมาเปิดให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้รับฟัง
เนื่องจากอาจารย์ป่วยไม่สามารถมาร่วมงาน ด้วยตัวท่านเอง ก่อนการประชุมใหญ่ของ
ส.น.ท.ย. ผมได้ปรึกษากับแว่นว่า อยากจะขออาจารย์อะไรซักอย่างหนึ่ง
อย่างที่อาจารย์ยังไม่เคยทำ ที่ไหนมาก่อน แว่นนำเรื่องนี้ไปปรึกษาคุณตา
คุณตาก็ถามกลับมาว่า จะให้ทำอะไร เพราะ ในชีวิตของท่าน ท่านก็ได้ทำมาเกือบหมดแล้ว
ตอนนั้นผมเกรงว่า ถ้าผมขอไปอาจจะถูกตำหนิกลับมาก็ได้ แต่ในใจลึกๆ
ของผมแล้วคิดว่า ไหนๆ คุณตาก็กรุณาถามมาแล้วว่าจะให้ทำอะไรให้ ใครๆก็รู้ว่าคุณตาเขียนหนังสือที่มีคุณค่า
ทางประวัติศาสตร์มากมาย ท่านเขียนประวัติการต่อสู้ของท่านอย่างโชกโชน
ซึ่งหนังสือที่มี การตีพิมพ์ผมก็มีอยู่ โดยที่ผมซื้อไว้อ่านตอนที่ผมยังไม่รู้จักกับคุณตาเป็นการส่วนตัว
และเมื่อรู้จักกันแล้ว ผมก็ถือโอกาส ไถ คุณตามาอ่านฟรีก็มาก
แต่ที่ผมยังไม่มีและยังไม่เห็นมีการตีพิมพ์มาก่อนเลย
คือ ชีวประวัติของอาจารย์ ผมคิดว่า ด้วยวัยของท่านในขณะนั้น จะเป็นการน่าเสียดายมาก
ถ้าท่านจากเราไปโดยไม่ได้มีบันทึก ชีวประวัติของท่านให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา
ผมจึงรวบรวมความกล้าทั้งมวลบอกแว่นไปว่า ผมจะขอให้คุณตาเขียนชีวประวัติของคุณตา
ให้เราชนรุ่นหลังได้มีโอกาสศึกษา แล้วผมจะ ไม่รบกวนคุณตาอีกเลย
ปรากฏว่า แว่นนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับคุณตาแล้ว แว่นก็โทรศัพท์มาคุยกับผมว่าคุณตายินดี
ตอบสนองความต้องการของผม คุณตาได้เริ่มเขียนอัตชีวประวัติของท่าน
ด้วยเกรงว่าจะไม่ทันการประชุมใหญ่ของ ส.น.ท.ย. และท่านได้เขียนไว้ในคำนำหนังสือ
ชีวประวัติย่อของ นายปรีดี พนมยงค์ ว่า
เมื่อไม่นานมานี้
คุณสมบัติ เบญจศิริมงคล นายกสมาคมนักเรียนไทยในสหพันธรัฐเยอรมัน
และคุณเสาวนีย์ ลิมมานนท์ ประธานนักเรียนไทยในประเทศฝรั่งเศส ได้ขอให้ข้าพเจ้า
เรียบเรียงชีวประวัติย่อของข้าพเจ้า เพื่อจะนำไปเสนอในที่ประชุมนักเรียนไทยในแต่ละ
ประเทศนั้นให้ทราบไว้ก่อนที่จะได้อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตและการงานของข้าพเจ้า
และภรรยาทุก ๆ ตอน ข้าพเจ้ายินดีสนองคำขอร้องนั้น เพื่อให้ท่านผู้อ่านทราบไว้เป็น
เบื้องต้นก่อน ลงนาม ปรีดี พนมยงค์
นอกจากนี้
ท่านยังได้มอบลิขสิทธิ์ของหนังสือเล่มนี้ให้ไปพิมพ์จำหน่าย ในงาน
ฉบับละ 50 Pf. เพื่อไว้เป็นกองทุนของ ส.น.ท.ย. ต่อไป (เป็นที่น่าเสียดายที่่ต้นฉบับที่มอบให้แก่ผม
โดยผ่านคุณเสาวนีย์ได้สูญหายไประหว่างการย้ายบ้านของผม)
ทราบว่าหนังสือเล่มนี้ได้จัดพิมพ์เป็นครั้งที่สามแล้ว
โดยคณะกรรมการ ปรีดี พนมยงค์กับ สังคมไทย ภายใต้หัวข้อว่า ชีวประวัติย่อของ
นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งพวกเราจะหาซื้อมา อ่านหรือมาเก็บไว้ในห้องสมุดของพวกเรา
ก็จะเป็นประโยชน์แก่เยาวชนคนรุ่นหลังเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่มีชนชาติใดที่จะพัฒนาประเทศชาติของเขาให้เจริญได้
โดยปราศ จากการศึกษาจากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องอย่างแท้จริงได้
และแล้ว ขณะที่ผมกำลังจะสอบไล่อีกหนึ่งวิชา เพื่อเตรียมตัวเป็นนักวิศวกรเต็มตัว
ผมก็ได้ รับโทรศัพท์ทางไกลฝรั่งเศสจาก แว่น เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม
2525 ว่า คุณตาเสียแล้ว แว่นพูดไปร้องไห้ไป ส่วนผม เหมือนกับไม่เชื่อว่าคุณตาได้จากพวกเราไป
ผมถามย้ำกลับไป ตั้งหลายครั้ง จนแน่ใจว่า แว่น ไม่ได้พูด โกหก
ผม ผมปล่อยโฮ ร้องไห้ด้วยความเสียใจ ให้กับ พ่อแห่งแผ่นดิน ของผม
แผ่นดินที่ พ่อ ได้ต่อสู้เพื่อให้ได้สันติภาพ อิสรภาพ มีภราดรภาพและประชาธิปไตย
อันเป็นอุดมการณ์ที่พวกเราที่รักชาติทั้งหลายต่อสู้เพื่อให้ ได้มา
และจะต่อสู้ต่อไปในยุค IMF ยุคที่ทุนต่างชาติยึดครองเศรษฐกิจชาติไทยอีกนานเท่านาน
ขอให้วิญญาณของคุณตาไปสู่สัมปรายภพ เพื่อเป็นอนุสาวรีย์แห่งผู้กล้า
แห่งผู้ทรงไว้ซึ่ง คุณธรรม แห่งผู้ที่ได้เสียสละตลอดชีวิตของท่านให้แก่แผ่นดินเกิด
ประเทศไทยอันเป็น ที่รักยิ่งของพวกเราทุกคน ไม่เป็นการกล่าวเกินเลยไปว่า
ประเทศอินเดียมี มหาตมะคานธี ประเทศไทยของเรามีสามัญชนผู้ยิ่งใหญ่
ปรีดี พนมยงค์ คนดีของโลก กรุงเทพฯ
02/02/2000
เพื่อนไทย
ปีที่ ๓๓ ฉบับที่ ๒ เดือนมกราคม - มีนาคม ๒๕๔๓
|