วันที่
๒๐ ธันวาคม ๒๕๔๖
เวลา ๑๔.๓๐ ถึง ๑๙.๐๐ น.
ณ ห้องประชุมอาจารย์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ท่าพระจันทร์ กรุงเทพ
๑๔.๓๐
น.
เปี๊ยก บรรเจิด อาจารย์คณะนิติฯ มธ. เจ้าของสถานที่กล่าวต้อนรับเพื่อนที่มาประชุมกันที่มธ.
เปี๊ยกรู้สึกยินดีมากที่เห็นการรวมตัวกันของคนที่มีความตั้งใจดี
อยากจะทำอะไรดีๆ ร่วมกัน
โด่ง
สุนทรียา กล่าวคร่าวๆ ถึงที่มาที่ไปของการพบปะของพวกเรา รวมทั้งตกลงเรื่องลำดับและวัตถุประสงค์ของการพบปะในครั้งนี้
ว่าจะเริ่มจากการแนะนำตัว และการคุยเพื่อหาข้อสรุปเรื่องวัตถุประสงค์
และเนื้อหาการทำกิจกรรมในอนาคตของพวกเรา รวมทั้งการรับฟังกิจกรรมของเพื่อนๆ
ในกลุ่มเพื่อนไทยเสวนา แคลิฟอร์เนีย แขกของพวกเรา
๑๔.๔๕
น. เริ่มการแนะนำตัวของผู้เข้าร่วมประชุม (รวมทั้งการผลัดกันสัมภาษณ์จากเพื่อนๆ
และในที่สุดกลายเป็นการคุยกันในเนื้อหาไปในตัวด้วย)
คนแรก
คือ อาจารย์ประจักษ์ จากคณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์สอนเรื่องการเมืองไทย
ได้มาประชุมด้วยเพราะรู้จักกลุ่มเพื่อนไทยเสวนา แคลิฟอร์เนียผ่านอินเตอร์เน็ทมาก่อน
ส่วนตัวมีความสนใจเรื่องกลุ่มผลประโยชน์ พรรคการเมือง และการรวมกลุ่มแบบต่างๆ
จึงอาจมีไอเดียอะไรมาแชร์ได้
ยู สิวินีย์ถามว่า การเมืองไทยมี Logic ถึงกับเอามาสอนได้เชียวหรือ
(เพื่อนๆ ฮา)
โด่งแนะนำเพิ่มว่า ประจักษ์จบตรีทางรัฐศาสตร์ โททางประวัติศาสตร์จากธรรมศาสตร์
ทำวิทยานิพนธ์เรื่องสิบสี่ตุลา และได้รับรางวัลวิทยานิพนธ์ดีเด่น
นอกจากนี้สมัยเรียนตรี จักษ์เป็นอุปนายกอมธ. ที่แข็งขัน
อัจฉริยา
(ก๊อง) จากกลุ่มเพื่อนไทยเสวนา ทำงานให้ Asian Women Shelter บ้านพักฉุกเฉินของผู้หญิงเอเชีย
ในซานฟรานซิสโกซึ่งหน่วยงานให้คำแนะนำแก่ผู้หญิงและเด็ก และผู้สูงอายุเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ทางกฎหมาย
เคยทำงานบริษัทโฆษณาใหญ่ เจ วอลเตอร์ ทอมป์สันและงานในวงการสื่อสารมวลชนไทย
ปัจจุบันสอนตัดต่อดิจิตอลฟิล์มในมหาวิทยาลัยที่ซานฟรานฯ
ศิริพร
(เซียว) เป็น Software Engineer อยู่อเมริกา จบธรรมศาสตร์ เรียนรหัส
๒๘ เคยเป็นเอ็นจีโอเกี่ยวกับเยาวชน อยู่ที่ซานฟรานฯ มา ๑๒ ปีแล้ว
เจี๊ยบ ทำปริญญาเอกด้านนโยบายพลังงานทดแทน เรียน USA ตั้งแต่ปริญญาตรี
ทุนกพ.
แตง บรรณาธิการนิตยสารเพื่อนไทยออนไลน์ ของกลุ่มเพื่อนไทยเสวนา จบสถาปัตย์
UC Berkeley
เซียวเสริมว่า
แตงกับเจี๊ยบ run website และ dedicate ให้กับกลุ่มเพื่อนไทยเสวนามาก
ทำให้กลุ่มนักเรียนไทยและคนไทยที่โน่น มีความแข็งแกร่ง มีกิจกรรมสร้างสรรค์ต่อเนื่อง
นอกจากนี้ แตงทำหน้าที่ออกแบบบ้านให้ผู้มีรายได้น้อยที่อเมริกาด้วย
อาจารย์กิตติศักดิ์ แนะนำตัวว่าเป็นอาจารย์กฎหมายนิติศาสตร์ จบปริญญาเอกจากบอนน์
อาจารย์เคยทำกิจกรรมนักศึกษาและกิจกรรมวิชาการมามาก
โด่งกล่าวว่าเป็นเกียรติของพวกเรา
ที่อาจารย์ยินดีเข้ามาให้คำแนะนำ และเป็นกำลังใจให้แก่กลุ่มพวกเรา
เหมือนที่เคยช่วยเหลือกิจกรรมนักเรียนในเยอรมันมาโดยตลอด
แอ๋ม วณิสสา (ผู้บันทึก) จบปริญญาเอกทางวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมจากอังกฤษ
ทำงานด้านการควบคุมอากาศเสียที่กรมควบคุมมลพิษ
ยู
สิวินีย์ จบปริญญาเอกทางฟิสิกส์จากบราวชไวก์ เยอรมัน ทำงานที่สถาบันมาตรวิทยา
กรุงเทพฯ
อาจารย์กิตติศักดิ์ขอถามว่า
ความรู้ฟิสิกส์ที่เรียนมาใช้ได้ในเมืองไทยหรือไม่ เพราะอาจารย์มีเพื่อนคนหนึ่งจบนิวเคลียร์ฟิสิกส์จากเยอรมัน
รู้สึกว่าไม่มีที่ใช้ความรู้ที่เมืองไทย
ยูตอบว่าถ้าเรียนเครื่องมือมาแล้ว
ไม่มีเครื่องมือให้ใช้ ก็อาจไม่มีงานทำ
อาจารย์กิตติศักดิ์กล่าวว่า
นึกถึงอาจารย์ป๋วยซึ่งเคยประสบปัญหาคล้ายกันนี้
ยูกล่าวว่าสำหรับตัวเอง
ตอนนี้ยังได้ใช้วิชาความรู้ที่เรียนมา ไม่มีอะไรที่ไม่ได้ประโยชน์
วิน
จบเศรษฐศาสตร์จากเยอรมัน เรื่องกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ทำงานอยู่แบงค์ชาติ
อาจารย์กิตติศักดิ์ถามว่า
ความรู้เรื่องการเงินจากแบงค์ชาติ ที่ประชาชนได้รับกับที่รู้ในรัฐบาลต่างกันเพียงใด
วินบอกว่าแม้แต่ในแบงค์ชาติเอง
กับรัฐบาล และหน่วยงานรัฐต่างๆ ยังรู้ไม่เท่ากัน
อาจารย์กิตติศักดิ์บอกว่านี่เป็นตัวอย่างของการจัดการองค์ความรู้
อาจารย์อยากทราบว่าตอนนี้เปลี่ยนไปแค่ไหน
วินบอกว่าตอนนี้ก็ยังมีการ
manipulate ข้อมูลอยู่
อาจารย์กิตติศักดิ์ว่าคนไทยไม่ชอบทำให้คนรู้ แต่ชอบทำให้คนเชื่อ
ยูบอกว่าทุกอย่างมี
uncertainty อาจารย์แฟรงค์ถามยูว่า uncertainty มีเกิน 100%
ไหม
ยูจึงอธิบายเพิ่มว่า uncertainty เพียงแต่บอกว่าเราไม่มีทางที่จะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้แน่นอน
อาจารย์ตี่ ถามว่าความอยุติธรรมเป็นค่าสัมบูรณ์หรือค่าสัมพัทธ์
อาจารย์กิตติศักดิ์บอกว่า
ความยุติธรรมไม่สัมบูรณ์แต่ความอยุติธรรมสัมบูรณ์
โด่งแนะนำตัวเองว่า
เรียนจบกฎหมายปกครองและสิ่งแวดล้อม แต่สนใจทุกเรื่อง
ตี่
ถามต่อว่าความยุติธรรมสัมผัสไม่ได้แล้วศาลทำงานอย่างไร
ยูบอกว่า
โด่งเป็นคนที่ทำให้หลายคนปั่นป่วนในเยอรมัน
ดร.เอเชีย ถามว่าตอนนี้จัดการแกได้หรือยัง (ที่ประชุมหัวเราะ)
อาจารย์ตี่แนะนำตัวเองว่าสอนที่มหิดล
คณะเภสัชศาสตร์ ไปเรียนที่ปารีสมา
โด่งเสริมว่าตี่มีความสามารถด้านเขียนอักษรจีนโบราณด้วย
อาจารย์กิตติศักดิ์ถามว่าปัจจุบันทำวิจัยด้านไหน
ตี่บอกว่า ทำวิจัยเกี่ยวกับโรคกุ้ง เนื่องจากคนไทยให้ความสำคัญกับกุ้งมากกว่าคน
อาจารย์กิตติศักด์บอกว่า
ที่บ้านเลี้ยงกุ้ง ทราบว่า วิธีให้ยาปฏิชีวนะแก่กุ้งนี่ชาวบ้านคิดเองโดยเอาใส่ในกล้วย
วิธีปรับ pH ชาวบ้านไปซื้อเปลือกสับปะรดจากโรงงานแล้วใส่ในบ่อ และซื้อกากชาใส่บ่อเพื่อปรับ
pH ยืนยันว่าที่ชาวบ้านทำ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เพราะที่นั่นเป็นทะเลทรายอยู่แล้ว
ตี่และยู
แย้งว่าอาจารย์แน่ใจได้อย่างไรว่า อาจารย์ไม่ได้ทำลายทะเลทราย (ที่ประชุมหัวเราะ)
อ.กิตติศักดิ์เล่าเรื่องบริษัท
CP ว่าเอาเปรียบชาวบ้านด้วยการนำเอาพันธุ์กุ้งใหม่ๆ มาให้ชาวบ้านทดสอบเลี้ยงว่าพันธุ์ไหนดี
จากนั้นก็ย้ายไปผลิตเมืองจีน ชาวบ้านจะเลี้ยงกุ้งรอดหรือไม่ ไม่สนใจ
สภาพแวดล้อมจะเป็นอย่างไรก็ไม่สนใจ
อาจารย์บรรพต
สอนวิศวเครื่องกลที่พระนครเหนือ เคยเรียนที่ฝรั่งเศสเกี่ยวกับกลศาสตร์ประยุกต์
ออกแบบโครงสร้าง
อาจารย์กิตติศักดิ์ถามว่า
เมื่อไหรวิศวกรไทยจะสร้างเครื่องจักรของตัวเองได้
บรรพต
บอกว่าวิศวกรไทย ทำตามแบบเก่ง แต่ออกแบบไม่ได้ ช่างบางคนดูประกายไฟก็บอกได้แล้วว่าต้องใช้โลหะชนิดไหน
คนไทยขาดการ assembly ความรู้ ความสามารถในเรื่องการจัดการ เรื่องการผลิตเครื่องจักร
ของคนไทยยังไม่มี
อาจารย์กิตติศักดิ์บอกว่าจริงๆ
คนไทยมีความสามารถ มีจินตนาการ
ประจักษ์เสริมว่าเช่นพวกเล่นหวย
อาจารย์สรยุทธ
(เอเชีย) สอนที่มหาวิทยาลัยมหิดล จบจากเยลด้านชีววิทยา ทำงานให้สกว.เรื่องวิทยาศาสตร์ท้องถิ่น
สนใจเรื่องควอนตัม อาจารย์จาเล่าเรื่องกลุ่ม ที่เอเชียหลอกอาจารย์หมอประเวศ
อาจารย์เสน่ห์ให้มาช่วยโครงการจิตวิวัฒน์ เกี่ยวกับเรื่องการเรียนรู้
อาจารย์กิตติศักดิ์ ตั้งคำถามว่า เหตุที่มีปัญหาการศึกษาตอนนี้เพราะคนกลุ่มอาจารย์รุ่นเก่าๆ
หรือเปล่า เช่น อาจารย์สิปปนนท์
เอเชียบอกว่าการศึกษาไทยมีลายนิ้วมือของอาจารย์สิปปนนท์อยู่เยอะ
อาจารย์กิตติศักดิ์บอกว่า
การศึกษาไทยมาจากศาสนาพุทธเยอะ ของไทยมีวรรณกรรมจากชาดกเยอะ ความคิดทางศาสนา
มิใช่แค่การสอนกันทื่อๆ แต่ไปปรากฏในวรรณคดีเลย อันแสดงให้เห็นถึงความลึกซึ้งในระดับการคิดและพัฒนาการที่เหนือกว่าประเทศใกล้เคียงอื่นๆ
แต่การศึกษาแบบเดิมมาถอนรากตอน ร.๔ ตอนนี้ทุกอย่างมาจากศูนย์กลางหมด
เอเชีย บอกว่าตอนนี้กำลังจะพัฒนาไปแล้ว ไปสู่ความสับสนยุ่งเหยิง
เซียวบอกว่า
แสดงว่าเอเชียเชื่อเรื่องภูมิปัญญาชาวบ้านใช่ไหม
เอเชียบอกว่าภูมิปัญญาชาวบ้านยังไม่ใช่คำตอบทั้งหมด ทั้งภูมิปัญญาชาวบ้าน
และความคิดวิทยาศาสตร์แบบฝรั่งยังมีความไม่สมบูรณ์ อาจารย์กิตติศักด์เสริมว่า
อันที่จริงเราอย่าเชื่อภูมิปัญญาชาวบ้านมากนัก เพราะยังไม่ใช่ทางออกที่แท้จริง
บรรพต
ยกตัวอย่าง วิชากลศาสตร์ที่ต้องเกิดควอนตัม
อาจารย์กิตติศักดิ์บอกว่า
อันนี้อาจเป็นเพราะความปล่อยปละละเลยหลังจากที่ปฏิรูปตอนร.๔ แล้ว
อันนี้เป็นปัญหาว่า ระหว่างการเรียนรู้ด้วยตัวเอง กับการเรียนรู้จากคนอื่น
เรื่องกฎหมายสำคัญที่ method ไม่ใช่ตรงตัวบทกฎหมาย เช่นเดียวกับพุทธศาสนา
จากหนึ่งสู่ทั้งหมด จากทั้งหมดสู่หนึ่ง
เจี๊ยบบอกว่า
มีคนพูดเรื่องนี้ที่บอสตันเช่นกัน
บรรพตบอกว่าอันนี้เป็นเรื่องน่าสนใจ
ที่โยงกับวิธีตั้งกลุ่มกิจกรรมต่างๆ ด้วย
จาแนะนำตัวว่าเป็นอาจารย์
คณะวิศวะ มหิดล สนใจเรื่องหลากหลาย ได้ไปเรียนทั้งที่อังกฤษและเยอรมันมา
โด่งบอกว่า จาเป็นแกนนำคนสำคัญของกลุ่มชุมชนชาวไทยในเบอร์ลิน และของสมาคมนักเรียนไทยในเยอรมัน
จาแอ็คทีฟ ชอบการเรียนรู้ และเมื่อกลับมาเมืองไทย จาได้สัมผัสกับผู้ใหญ่หลายท่าน
เช่น อ.ประเวศ อ.เสน่ห์ อ.เอกวิทย์ อ.ประสาน ต่างใจ และมักจะนำไอเดียและกิจกรรมใหม่ๆ
มานำพวกเรา
จาบอกว่า
เริ่มได้ไปร่วมกิจกรรมกับครูบาอาจารย์หลายท่าน โดยเริ่มจากแค่เป็นคนส่งหนังสือธรรมะจากหมู่บ้านพลัมไปให้คุณหมอประเวศ
โด่งบอกว่า หากมีโอกาส อยากขอให้เอเชียและจาแนะนำ เรื่อง
dialogue ที่นักคิดไทยกำลังสนใจกัน
อาจารย์แฟรงค์
วีระพันธ์ แนะนำตัวว่ารับราชการที่คณะวิศวะไฟฟ้า จุฬา จบจากเมืองฮันโนเวอร์
ได้เริ่มต้นทำกิจกรรมกลุ่มนักเรียนไทยในเยอรมัน ซึ่งช่วงแรกไม่เหนียวแน่น
แต่ภายหลังเฟื่องฟูขึ้น แฟรงค์บอกว่า ในการทำกิจกรรม มีปัญหาเรื่องการเมืองและความแตกต่างทางความคิดเยอะ
(ยูเสริมว่าความหลากหลาย) อาจารย์แฟรงค์บอกว่าอยากให้นักเรียนไทยเข้ามารวมกลุ่มกัน
เพื่อระดมความคิด เพื่อให้แนวคิดมีพลัง ไม่ใช่ความคิดของคนบ้าคนเดียว
๑๖.๐๐
น. หลังจากการแนะนำตัวแสนยาวเสร็จ โดยระหว่างการแนะนำตัว พวกเราได้แทรกความคิดแล้วไว้หลายเรื่องแล้ว
จึงมีการคุยกันต่อว่าทุกคนอยากให้รูปแบบของกลุ่มเป็นอย่างไรต่อไป
และขอให้ทางอเมริกาเล่าเรื่องกิจกรรมที่นั่น
อาจารย์กิตติศักดิ์
บอกว่า อยากให้คุยกันในเรื่องที่อยู่ในกระแส เช่น เรื่องผลกระทบหากรัฐบาลจะออก
Smartcard ฯลฯ แล้วแต่ละครั้งขอให้มีข้อสรุปออกมาเผยแพร่ เน้นว่าอย่าเชื่อ
อ.สุลักษณ์ อ.หมอประเวศ หรือผู้อาวุโสทั้งหลาย ต้องรู้จักเถียงและหาคำตอบใหม่ๆ
โดยเฉพาะให้เถียงว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในวันนี้อาจเป็นเพราะคนรุ่นก่อนๆ
ทำไว้ ยูบอกว่า ใช่เลยค่ะ อาจารย์กิตติศักดิ์พูดว่าอยากให้คุยกันต่อกับคนที่ทำงานด้าน
information system ด้วย เพราะเป็นเรื่องสำคัญในปัจจุบัน
เอเชียขออนุญาตโยนระเบิด
โดยยกคำถามว่า ทำอย่างไรจะจัดการเรื่องกลุ่ม ที่พวกเราทุกคนมีความรู้มาก
ให้มาร่วมกันสร้างความรู้ความคิดให้เกิดพลังให้ได้ ควรจะทำด้วยวิธีไหน
เพราะพวกเราดูจะมีหน้าใหม่ๆ มาอยู่เรื่อยๆ จำเป็นต้องหาวิธีที่ฉลาดในการจัดการ
มิฉะนั้นจะเป็นการเจอกันแบบฉาบฉวย ไม่มีพัฒนาการและผลผลิตที่ดี สำหรับการคุยแบบ
AIC (Appreciation, Integration and Control) วิธีนี้มีเป้าหมาย
มีแผน แต่เป็นวิธีการรวมกลุ่มหรือเป็นการประชุมที่อาจจะเริ่มล้าสมัย
ในการพบปะกัน เอเชียจึงขอแนะนำเรื่อง dialogue:system thing ซึ่ง
David Bohm เป็นคนเริ่มเอามาใช้เกี่ยวข้องกับกระบวนทัศน์ใหม่ พัฒนาจากนิวโตเนียนสู่ควอนตัม
จากแนวคิดแยกส่วนสู่ควอนตัมองค์รวม คิดอย่างเป็นระบบแบบองค์รวม ร่วมกันแบบกลุ่ม
( Group thinking) อันเป็นการร่วมกันคิดและพัฒนาไปเป็นกลุ่ม ซึ่งจะให้ผลมากกว่าการเอาผลย่อยมารวมกัน
เพราะจะมี Emerging เกิดความคิดใหม่ร่วมกันได้ วิธีนี้เป็นวิธีฝึกการฟัง
ฝึกการพูดที่สำคัญ โดยไม่จำเป็นต้องมีหัวข้อ ไม่จำเป็นต้องมีข้อสรุป
เอเชียบอกว่าเคยใช้วิธีนี้ในการคุยกันที่เชียงราย ใช้เวลา ๓ ชั่วโมงกับคน
๗๐ กว่าคน ได้ผลดีมาก วิธีการ Dialogue มีหลายรูปแบบ มีทั้งแบบเร้าใจแบบที่
อ.ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ ทำอยู่ หรือแบบอื่นๆ เอเชียเสริมว่า ให้ลองค้นข้อมูลเพิ่มถ้าสนใจ
search ใน internet ในเรื่องนี้มั่งก็ได้
จาเสริมว่าวิธีนี้เหมือน
อาศรม ๔ ของทางพุทธ
ก๊อง
เล่าให้ฟังเรื่องกิจกรรมที่คล้ายกันที่ทำอยู่ในอเมริกา
เอเชีย
เล่าเพิ่มว่า ในการพบปะพูดคุย อยากให้ทุกคนวางทุกอย่างไว้ตรงกลาง
อาจจะมี agenda ของตัวเองแต่เอามาวางไว้ตรงกลาง ทุกคนจะมีพื้นที่การเรียนรู้ของตนเอง
ไม่มีใครเป็นผู้นำ แต่จะเรียนรู้ร่วมกัน ไปพร้อมๆ กัน
โด่งเล่าเรื่องประสบการณ์จากวัดพลัม ที่หลวงพ่อนัทฮันต์วางกฎของสังฆะที่นั่น
เกี่ยวกับการเจรจา และการพบปะพูดคุยประชุมกันไว้หลายเรื่อง เช่น
หลัก Flower watering คือถ้าจะวิจารณ์ ติกัน ก็ควรพูดถึงสิ่งดีๆ
ที่เขาได้ทำไว้ก่อน การพูดจะได้ไม่ก่อศัตรูและรักษามิตรภาพที่ดีไว้ได้
หรือ เรื่องการฟังโดยฟังจริงๆ ซึ่งต้องฟังว่าเขาคิดอะไร อยากสื่ออะไร
โดยเรายังไม่ต้องเริ่มคอมเมนท์ (แม้คอมเมนท์ในใจก็ห้าม) หรือหาทางถกเถียง
เอาชนะ ซึ่งมนุษย์ส่วนใหญ่ชอบเป็นอย่างนั้นกัน โด่งอยากให้จาและเอเชียช่วยเปรียบเทียบด้วยว่า
Deep listening แบบนี้ ต่างจากหลักของโบห์ม อย่างไร
อ.เอเชีย
เล่าต่อว่า ตัวอย่างในยุโรป ที่เดิมคริสตศาสนจักรเป็นศูนย์กลางความรู้
กว่า ๑๐๐ ปี จึงมีเรื่องที่โคเปอร์นิคัส จะเห็นว่า กระบวนการที่ก่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ใช้เวลานานมาก
สำหรับการคุยแบบ dialogue ที่ฝึกการฟังแบบจริงจัง และมีเทคนิคในการประชุมเพื่อสร้างสรรค์นั้น
เราอาจเรียกได้อีกอย่างว่า สุนทรียสนทนา (ทุกคนฮา เพราะคำหรูมาก)
โด่งพูดถึง
กลุ่มกิจกรรมใหม่ทางเชียงราย ที่วิศิษฐ์ และณัฐรส วังวิญญู ริเริ่มทำอยู่
พยายามสร้างชุมชนใหม่ ด้วยวิธีคิดแบบใหม่ และพวกเขายินดีเชิญพวกเราไปเยี่ยมชมและร่วมกิจกรรมของพวกเขาด้วย
เอเชียพูดว่าแต่ละคนมีความคาดหวังต่างๆ
กันไปเกี่ยวกับกิจกรรมกลุ่ม บางคนอาจจะแค่มาพักผ่อน มาสนุกกับพวกเรา
แต่บางคนต้องการเรียนรู้จริงๆ
๑๖.๓๐
น. อาจารย์เจ้าของสถานที่เข้ามาคุยเพิ่ม จึงมีการแนะนำตัวสั้น ๆ
กันอีกรอบ
อาจารย์เหน่ง
จันทจิรา แนะนำตัวว่าจบปริญญาเอกทางกฎหมายจาก Toulouse ฝรั่งเศส
เปี๊ยก
บรรเจิดแนะนำว่าอาจารย์เหน่งเป็นสตรีเหล็กของคณะนิติ ธรรมศาสตร์
อาจารย์เหน่งได้กล่าวต้อนรับพวกเราอีกครั้ง
และแสดงความรู้สึกดีใจที่ได้มาพบกัน เชื่อมั่นว่าพวกเราเป็นความหวังของประเทศกลุ่มหนึ่ง
อาจารย์เปี๊ยกแนะนำตัว
ว่าจบกฎหมายมหาชนจากโบคุ่ม
โด่งเสริมว่า
เป็นอดีตคนสำคัญ ที่สร้างรากฐานให้กลุ่มกิจกรรมนักเรียนทางเยอรมัน
อาจารย์เหน่งกล่าวว่า
สะกิดใจเรื่องสังคมไทยที่กำลังเผชิญกับ สงครามอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ยังไม่แน่ใจว่าศัตรูหน้าตาเป็นอย่างไร
คิดว่าคงต้องการกลุ่มคน ที่จะมาช่วยคิดในลักษณะเดียวกัน อาจารย์เหน่งถามว่า
เอเชียจะช่วยจัดการได้ไหม
เอเชีย
บอกว่าอันนี้ระบบจะต้องจัดการตัวเอง เหมือนระบบควอนตัม อย่าให้ใครคนใดคนหนึ่งต้องแบกภาระ
๑๗.๐๐
น.
เอเชียพูดต่อเรื่องที่อาจารย์ประเวศเคยเล่าเรื่องกลุ่มโอกิตะ
ว่าเป็นกลุ่มคนมีปัญญาของญี่ปุ่น ที่มีความคิดแก้ไขปัญหาของประเทศช่วงก่อนและหลังสงคราม
โดยช่วงแรกคุยว่าจะเข้าสงครามหรือไม่อย่างไร ตอนหลัง คือแพ้สงครามแล้วจะทำอย่างไรกัน
เป็นกลุ่มเล็กแต่มีพลังมาก และเมื่อหันมามองดูกลุ่มพวกเรา เห็นว่าหัวใจอยู่ที่การจัดการ
เรื่องอะไรที่จะทำ วิธีอย่างไร อันนี้เป็นเรื่องของกลุ่มที่จะหาคำตอบ
จะเป็นแบบไหน ต้องหาวิธีกัน สำหรับการสนับสนุนเรื่องการเงินหรือเรื่องอื่นๆ
หาไม่ยาก เพราะมีองค์กร เช่น สสส. ฯลฯ อยากจะสนับสนุนอยู่ ในส่วนอาจารย์ประเวศก็พยายามลองตั้งกลุ่มแบบใหม่
ลดโครงสร้างในเชิงอำนาจ คือให้แต่ละคนมีบทบาท ให้มาเล่า มาคุย มาแลกเปลี่ยนกัน
อาจมีการมอบหมายให้ใครไปค้นอะไรมา ให้นำเสนอสักครึ่งชั่วโมงแล้วคุยแลกเปลี่ยนกันสองสามชั่วโมง
ไม่มีใครเป็นผู้นำกลุ่ม ถ้าใครไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด ต้อง share
leadership ไดอาล็อกเป็นการฝึกโยนิโสมนสิการและเป็นการสร้างกัลยาณมิตร
ในการคุยร่วมกันจะเกิด Intuition ได้ เป็นการทำแบบไม่ทำ มีการขับเคลื่อนไปโดยตัวของมันเอง
เจี๊ยบเสริมว่าไดอาล็อก
ทำได้ทั้งผ่านการคุยและผ่านการเขียน การแลกเปลี่ยนในเว็บบอร์ดมีข้อดีคือทำให้มีเวลาคิดกันละเอียดก่อน
โด่งถามว่า
ประจักษ์มีแนวคิดอย่างไร ประจักษ์บอกว่า Dialogue ที่คุยกันเป็นแนวคิดใหม่ที่น่าสนใจเรียนรู้มาก
ตนเองเรียนมาแต่ไดอาล็กแบบของโสเครติส อริสโตเติลซึ่งมีวิธีไม่เหมือนกับที่คุยกันนี้
แต่อยากขอถามว่า แต่ละคนที่มานี้มีแนวความคิดความคาดหวังอย่างไร
สำหรับกลุ่มนี้
เอเชียบอกว่า อันนี้เป็นตัวอย่างว่านี่เป็น agenda ของประจักษ์ ผู้พูดคนหนึ่งและเมื่อเสนอแล้วก็ให้เอามาวางไว้
โด่งเล่าเบื้องหลังว่า
ได้เชิญชวนคนเยอะ อาจจะแปลกหน้าบ้างที่มาเข้ามาร่วมกิจกรรม เพราะอยากเปิดกว้างในช่วงแรก
แต่เชื่อว่าทำไปสักพัก จะเราพบคนที่อยากทำจริงๆ ที่มาสม่ำเสมอ ว่าเป็นใคร
และทุกคนต้องช่วยกันพัฒนากลุ่มในทุกๆ เรื่องต่อไป ต้องช่วยกันคิดร่วมกัน
และถามว่าทางอเมริกาเป็นอย่างไร
เจี๊ยบเล่าว่าทางอเมริกาก็มีวิธีการคล้ายกัน
คือ พยายามจัดพบปะพูดคุยให้ได้สม่ำเสมอ ในหัวข้อต่างๆ เริ่มจากการเมือง
สังคม สิ่งแวดล้อม ไปถึงเรื่องควอนตัม เพราะต่างคนต่างมีความต้องการรูปแบบต่างกัน
มีการสรุปและนำลง webpage จากเดิมรายงานทุกอย่าง ต่อมาก็สรุปเป็นความเห็นของผู้เขียน
เพราะไม่อยากให้เกิดภาพพจน์แบบกลุ่ม elite ซึ่งกลุ่มอเมริกาก็มีปัญหาเรื่องการดึงคนมาร่วมเหมือนกัน
แตงเสริมว่าตอนแรกกลุ่มที่มาก็มาเพราะเกรงใจรุ่นพี่
ก่อนนี้ก็เคยมีคนทำมาก่อน เป็นรุ่นพี่ที่ทำอาหารเก่ง การมีบรรยากาศที่เป็นกันเอง
นั่งดื่มกัน ก็สามารถดึงคนมาร่วมได้อีกแบบ ตอนนี้การพบปะทำได้สม่ำเสมอ
การสื่อกันทางเว็บไซท์และเว็บบอร์ดช่วยได้มาก ตอนนี้แตงทำงานให้เว็บไซท์นี้แทบจะเต็มเวลา
สมาชิกผ่านเว็บและเมลลิ่งลิสต์มีเป็นร้อย
แอ๋มเล่าให้ฟังเรื่องความรู้สึกของตัวเองต่อการรวมกลุ่มแบบนี้
เมื่อทราบข่าวเรื่องไอเดียการตั้งกลุ่ม รู้สึกเกรงว่าจะกลายเป็นอีกกลุ่มนักเรียนนอกที่มาสร้างปัญหาให้เมืองไทย
คือ เสนอการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยโดยที่ประชาชนคนอื่นทั่วๆ ไป ไม่ได้มีส่วนเห็นชอบหรือรับรู้
แต่เห็นด้วยว่าการตั้งกลุ่มจะทำให้พวกเราซึ่งมีสถานภาพคล้ายๆ กัน
คือ เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ ได้ไปเห็นอะไรๆ มา ซึ่งคงต้องการเวทีที่จะช่วยให้ความคิดของเราเติบโตงอกงามต่อไป
แม้ว่าจะถูกมองหรือคาดหวังจากที่ทำงานของตัวเองอยู่แล้ว โดยกิจกรรมกลุ่มสามารถทำได้ในหลายรูปแบบ
กิจกรรมทัศนศึกษาก็น่าสนใจ
เอเชียบอกว่าเห็นด้วยกับเรื่องชมรมคนอยากรู้ที่ยูได้เคยส่งมาทางอีเมล์
โด่งเสริมเรื่องว่าเคยคุยกันเรื่องกิจกรรมทัศนศึกษากันด้วย เช่น
แอ๋มสนใจทำทัวร์ตามรอยพระเจ้าตาก ออกไปนอกสถานที่ด้วยกัน มีการคุยเรื่องประวัติศาสตร์และสังคมร่วมกัน
โด่งเล่าว่าตอนอยู่เยอรมัน ยูแอ๋มเคยจัดทัวร์ตามรอยลูเธอร์
แอ๋มเสริมว่าอยากทำทัวร์พระเจ้าตากจริงๆ
เพราะรู้สึกว่าไม่ได้อยู่เมืองไทยมานาน เมื่อได้กลับมาแล้วก็อยากไปมาเรียนรู้สัมผัสประเทศของเราอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
ยูพูดถึงเรื่องการไปทัวร์ธรรมชาติด้วย
ซึ่งหลายๆ คนในที่ประชุมเห็นด้วย แต่มีบางคนติงว่าถึงอย่างไรเรื่องกลุ่มกิจกรรมสนทนาก็ควรคงไว้เป็นหลัก
เพราะการออกไปเที่ยวทำให้จำกัดเรื่องจำนวนคนที่จะไปร่วมได้ รวมทั้ง
บางคนอาจจะมาเพราะอยากเที่ยวโดยไม่สนใจเรื่องกิจกรรมกลุ่ม
ประจักษ์ยกตัวอย่างกลุ่มคิดถึงเมืองไทยก่อนช่วง
๑๔ ตุลาคม ที่มีอาจารย์ชาญวิทย์เป็นแกน เป็นกลุ่มที่มีพลัง และมีบทบาทมาก
ต่อการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทย ที่เริ่มจากกลุ่มเล็กๆ การรวมกันเป็นกลุ่มสามารถสร้างแรงบันดาลใจร่วมกันได้ดี
แฟรงค์บอกว่า
นึกถึงเรื่องเคยมีการตั้งโจทย์ ตั้งแต่สมัยเรียนในต่างประเทศว่า
เราจะทำอะไรเมื่อเรากลับมาเมืองไทยแล้ว ก็อยากตอบคำถามว่าในท้ายที่สุดพวกเราจะให้อะไรแก่สังคมไทยได้
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา การทำกิจกรรมมีปัญหาเหมือนกัน จึงไม่อยากให้มีการตั้งแง่
หรือโกรธกัน ในการแสดงความคิดเห็น ไม่อยากให้มีการหาประโยชน์จากความคิดเห็นที่ได้จากกลุ่มด้วย
วินกล่าวว่า
เรื่องคุณสมบัตินักเรียนนอก ไม่น่าจะเป็น criteria ของการตั้งกลุ่มเรา
เพราะเราควรจะเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้ามาร่วม เชิญเพื่อนคนใดเข้ามาในกลุ่มก็ได้เพราต้องเรียนรู้หลายอย่างเกี่ยวกับเมืองไทยจริงๆ
วินอยากให้มีการแลกเปลี่ยนหนังสือที่แต่ละคนอ่าน ทำกิจกรรม Book
Review ที่อาจจะให้ใครมาแนะนำหนังสือที่ตัวเองสนใจในการพบปะแต่ละครั้ง
จะได้เรียนรู้กันผ่านหนังสือและทำให้เปิดโลกกว้างขึ้นในแต่ละสาขาวิชา
เพื่อก้าวข้ามผ่านพรมแดนในด้านต่างๆ รวมทั้งการแนะนำกิจกรรมดีๆ ที่น่าสนใจอื่นๆ
หรืออาจร่วมกันแปลหนังสือ
แฟรงค์บอกว่า พวกเรามีความเป็นนักวิชาการ การคุยกันน่าจะมีข้อมูลสืบค้นมาแสดงกัน
ไม่ใช่แค่พูดมาจากการแสดงความคิดเห็น อาจจะต้องมีการทำการบ้านกันก่อนการพูดคุยด้วย
จาบอกเพื่อนกลุ่มที่มาจากอเมริกาว่าอยากฟังเรื่อง IT
แฟรงค์บอกว่าคราวที่แล้วคุยกันยังไม่ก้าวหน้าไปไหนและ เห็นว่าไม่ใช่เรื่องง่าย
ในการหาข้อสรุปแต่ละเรื่อง เปี๊ยกกล่าวว่า จากมุมมองของตน
ประเทศชาติกำลังเผชิญกับปัญหาที่เป็นเรื่องหนัก ตัวเองสนใจและกำลังวุ่นกับปัญหาภาพรวมของประเทศ
โดยเฉพาะปัญหาเรื่องปฏิรูปการเมืองและกฎหมาย ที่อาจจะต้องทำกันยกใหญ่อีกรอบ
เปี๊ยกอยากให้เน้นเรื่องการนำเสนอข้อมูล
เพราะการมีข้อมูลลึกๆ ในแต่ละเรื่องอย่างถูกต้อง คนจะตัดสินใจได้ถูกว่าควรทำอะไรต่อไป
ประจักษ์เล่า
ในฐานะอดีตอุปนายกขององค์การนักศึกษาธรรมศาสตร์ว่า ที่ธรรมศาสตร์ตอนนี้กิจกรรมค่อนข้างเงียบไม่มีอะไร
ในฐานะอาจารย์ การประชุมเฉพาะสาขาวิชาก็มีข้อจำกัดในตัวของมัน การรวมกลุ่มแบบนี้อาจจะจุดประกายได้ดีกว่า
แฟรงค์บอกว่า
อันนี้เป็นปัญหาร่วมกัน ที่มหาลัยอื่นก็มีปัญหาเช่นนี้ด้วย กลุ่มเราน่าจะแทรกแนวคิด
เรื่องปฏิรูปการศึกษา ที่ได้เห็นมาจากประสบการณ์ของแต่ละคนในต่างๆ
ประเทศ
๑๘.๐๐
น. เริ่มวางแผนกันเรื่องการพบปะกันในอนาคต
แฟรงค์
วิน แอ๋มเสนอหัวข้อเรื่องควอนตัมกับสังคม ประมาณวันที่ ๑๑ มกราคม
ซึ่งประจักษ์และเปี๊ยกติดประชุมที่เชียงใหม่ จาไปต่างประเทศ มาร่วมไม่ได้
จาบอกว่าอันที่จริงอยากให้จัดกิจกรรมในช่วงนี้ได้สักครั้ง
เพราะเพื่อนกลุ่มทางอเมริกายังอยู่ ขอให้พวกอเมริกาได้นำประเด็น
แตงตั้งโจทย์ว่า
จะทำอย่างไรให้เยาวชนสนใจเรื่องอื่นๆ นอกจาก sex และเกมส์ เสนอว่าน่าจะคุยเรื่องที่เกี่ยวกับวิธีการนำเสนอข้อมูลให้เยาวชนรุ่นใหม่
ยูเสนอว่า
น่าจะพูดเรื่องสิ่งแวดล้อมเพราะ เจี๊ยบ โด่งและแอ๋ม เรียนมาและมีข้อมูลอยู่แล้ว
และเป็นหัวข้อที่คนส่วนใหญ่สนใจ ที่ประชุมจึงตกลงกันว่าจะคุยเรื่องสิ่งแวดล้อมในการประชุมครั้งหน้าในวันที่
๑๑ มกราคม โด่งบอกอาจจะขอสถานที่เป็นบ้านอาจารย์พนัส ทัศนียานนท์
ซึ่งเป็นประธานกรรมาธิการสิ่งแวดล้อมของวุฒิสภา และเป็นบุคคลสำคัญที่ยกร่างพระราชบัญญัติสิ่งแวดล้อม
ฉบับปัจจุบัน คาดว่าไม่น่าจะมีปัญหา นอกจากนี้ เพื่อนๆ มีการเสนอสถานที่อื่นอีก
เช่น ศาลายา จุฬาฯ โรงเรียนรุ่งอรุณ สวนรถไฟ สวนลุมพินี ฯลฯ ซึ่งอาจเตรียมไว้สำหรับการประชุมครั้งถัดไปในเรื่องฟิสิกส์ประมาณเดือนกุมภาพันธ์
ปิดการประชุม
เวลา ๑๘.๒๐ น. หลังจากนั้น ส่วนหนึ่งเดินเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา ไปทานข้าวต่อที่ร้านเฮมล็อค
ท่าพระอาทิตย์ อีกกลุ่มติดนัดเพื่อน ที่ร้านอาร์อัส พหลโยธิน คุยกันถึงดึก
|