หนุ่มสาวดัดจริต > ตัดแต่งยีนให้หายดื้อ

 

จีเอ็มโอ (GMO) หรือ Genetic Modified Organism กำลังเป็นที่กล่าวขานกันทั่วเมือง ทุกวันนี้อยากได้อะไร มนุษย์ก็สามารถบันดาลให้เป็นจริงได้หมด ไม่อยากให้แมลงกัดกินพืช ก็ตัดแต่งพันธุกรรมของพืชเสียใหม่ให้มีภูมิต้านทานต่อแมลงชนิดนั้น ๆ ในไม่ช้า คงจะมีคนที่คิดตัดแต่งยีนลูกหลานของเราให้ “หายดื้อ” เป็นแน่แท้ อันที่จริงเขาว่ากันว่า “เด็กดื้อเป็นเด็กฉลาด” แต่สังคมไทยเรานิยม “เด็กว่าง่าย” เสียมากกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ เด็กที่เถียงหรือมีปากมีเสียงจึงถูกจำแนกว่าเป็น “เด็กดื้อหรือเด็กก้าวร้าว” นาน ๆ ครั้งจึงจะมีโอกาสแสดงความคิดเห็นสักที นับว่าเป็นการจำกัดโอกาสของเด็ก ในการที่จะฝึกสื่อสารกับผู้อื่นอย่างน่าเสียดาย และไม่น่าแปลกใจที่ทุกวันนี้ เด็กบางคนขาดความมั่นใจและไม่สามารถสื่อสารได้อย่างถูกต้อง ยิ่งอยู่ในช่วงวัฒนธรรมสับสน เด็กไม่รู้จะเลือกใช้ชีวิตหรือประพฤติตัวอย่างไรให้เหมาะสม จึงเลือกรับวัฒนธรรมอะไรก็ได้ที่ทำให้ตนเองเป็นที่ยอมรับในหมู่คณะก็เพียงพอแล้ว และที่น่าเป็นห่วงก็คือ เด็กบางคนเลือกที่จะใช้ความรุนแรงเพื่อที่จะได้รับการยอมรับจากเพื่อนฝูง

ปัญหาส่วนใหญ่ของเยาวชนในปัจจุบันจึงกลายเป็นปัญหาความรุนแรง ดังที่เห็นได้จากหน้าหนังสือพิมพ์มาอย่างต่อเนื่อง เช่น เด็กวัยรุ่นภาคเหนือตั้งแก๊งค์ซามูไร เด็กวัยรุ่นภาคกลางยกพวกตีกันเป็นพันคน หรือเด็กวัยรุ่นบางกลุ่มฉุดเด็กสาวไปข่มขืน บางกลุ่มเป็นแก๊งค์มอเตอร์ไซด์ หรือเด็กวัยรุ่นภาคใต้กลายเป็นผู้ก่อการร้าย เป็นต้น แต่ไม่ว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นในพื้นที่ใด ผู้ใหญ่ในพื้นที่นั้น ต่างก็ปวดใจไม่แพ้กัน ดังนั้นปัญหาการใช้ความรุนแรงจึงเป็นปัญหาของคนทั้งประเทศ ไม่ใช่ปัญหาของสังคมใดสังคมหนึ่ง ซึ่งต้องย้อนกลับมามองว่า อันที่จริงแล้ว เขาเหล่านั้นเลือกที่จะใช้ความรุนแรงเพราะสภาพจิตใจที่อ่อนแอลงไปใช่หรือไม่ และถ้าจะมองกันให้ลึกซึ้งลงไปอีก ภาวะความเครียดไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับกลุ่มวัยรุ่นเท่านั้น แต่เกิดขึ้นกับประชาชนทั้งประเทศ สังคมผู้ใหญ่ก็มีความเครียดไม่น้อย หากแต่ผู้ใหญ่มีภูมิต้านทานต่อความเครียดมากกว่า เนื่องจากมีความรับผิดชอบ มีครอบครัว มีความเชื่อ มีศาสนาที่สามารถเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจได้ระดับหนึ่ง แต่กลุ่มวัยรุ่นซึ่งไม่มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ มีปัญหาทางบ้าน ก็ย่อมที่จะไม่พร้อมและพ่ายแพ้ต่อสภาพแวดล้อมที่กดดันในปัจจุบัน จึงแสดงอาการเครียดและสับสน ซึ่งเห็นได้จากการรวมกลุ่มกันและใช้พลังในทางที่ไม่เหมาะสม แทนที่จะมีกิจกรรมในเชิงสร้างสรรค์ กลับทำร้ายผู้อื่นให้ได้รับความเดือดร้อน ทั้งนี้ก็เพราะสภาพจิตใจที่อ่อนแอ ถูกชักจูงและครอบงำด้วยพลังด้านลบได้โดยง่าย ซึ่งบางครั้งกลายเป็นเครื่องมือของกลุ่มผลประโยชน์ไปโดยปริยาย

หากจะเปรียบเทียบเยาวชนของชาติ เสมือนกับต้นไม้น้อย ๆ ที่กำลังถูกชอนไชด้วยแมลงหรือศัตรูพืช อันได้แก่ วัฒนธรรมความรุนแรง ที่กระหน่ำผ่านสื่อต่าง ๆ เข้ามาในประเทศอย่างไร้ปราการป้องกัน หากเยาวชนของเรามีภูมิต้านทานที่ไม่ดีพอ ไม่มีเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ความรุนแรงก็จะสามารถกัดกินความคิดของลูกหลานเราอย่างง่ายดาย 

ผู้ใหญ่ในสังคมที่เปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่และมีภูมิต้านทานที่สูงกว่า จำเป็นที่จะต้องดูแลเอาใจใส่ ป้องกันและให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่เยาวชน กลั่นกรองให้เห็นถึงประโยชน์และโทษของวัฒนธรรมบางประเภท ปลูกฝังจิตสำนึกและเน้นเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม นอกจากนี้ผู้ใหญ่จะต้องเป็นตัวอย่างที่ดี สร้างสังคมแห่งการแบ่งปันสิ่งดีงามให้แก่กันและกัน เป็นการให้คุณค่าและสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกหลาน  ประดุจร่มเงาที่ปกคลุมต้นไม้เล็กต้นไม้น้อยที่ยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่ แม้ขณะนี้อนาคตของชาติจะถูกแมลงหรือหนอนกัดกินไปบ้าง แต่ในที่สุดธรรมชาติก็จะสร้างภูมิต้านทานให้แก่เขาได้ในไม่ช้า และต้นไม้ก็จะเติบใหญ่เป็นต้นไม้ที่แข็งแรง สามารถให้ความรู้แก่ลูกหลานในรุ่นต่อไปได้ในอนาคต

สุดท้ายนี้ แม้เทคโนโลยีจะเจริญก้าวหน้าไปมากมายเพียงใดก็ตาม กระทั่งสามารถตัดแต่งพันธุกรรมในสิ่งมีชีวิตระดับต่าง ๆ ได้ แต่เทคโนโลยีก็ไม่สามารถตัดแต่งพันธุกรรมให้เยาวชน “หายดื้อ” หรือเป็นไปอย่างที่สังคมต้องการได้ รวมทั้งไม่สามารถทำให้คนหายเครียดหรือพ้นทุกข์ได้ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่คนรุ่นเราต้องกลับมาคิดและช่วยกันวิเคราะห์ถึงสาเหตุอันแท้จริงของความเครียดในสังคม เพราะความรุนแรงเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องที่ไม่มีใครแพ้หรือชนะ แต่เป็นเรื่องที่ทำร้ายจิตใจคนในชาติเดียวกัน ฉะนั้นจึงเป็นสิ่งที่สังคมต้องเอาใจใส่ หาหนทางป้องกัน ช่วยกันสร้างจิตของสังคมให้วิวัฒน์งอกงาม เป็นต้นไม้ใหญ่ที่แข็งแรง สามารถแผ่กิ่งใบปกคลุมให้ต้นไม้เล็ก ให้เจริญเติบโตภายใต้ร่มเงาได้อย่างปลอดภัย ดังที่ศาสตราจารย์ประเวศ วะสี พูดเสมอว่า “จงทำจิตให้ใหญ่” ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างภูมิต้านทานต่อโรคร้าย ที่กำลังเรื้อรังในสังคมปัจจุบันไม่ให้คุกคามถึงเยาวชนในรุ่นต่อ ๆ ไป มิฉะนั้นอนาคตของประเทศก็คงจะไม่สดใสอย่างที่คิดแน่นอน 

 

 

จารุพรรณ กุลดิลก

กลุ่มจิตวิวัฒน์



หน้าแรก
| ปัญญาชนสยาม | หนุ่มสาวดัดจริต | กังวานเกี่ยวข้อง | ข้าวตอกดอกมะเขือ | กลับสู่ด้านบน

เว็บไซต์นี้จัดทำด้วยความกระตือรือล้นของใครหลายคนนั้น
ก้อนหิน และหรือดอกไม้ กรุณาหารือกับนักการ
พยายามปรับปรุงข้อมูลครั้งล่าสุด เมื่อวันที่
๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๗