ใครที่มีโอกาสสำรวจความเห็นของบุคคลนิรนามตามเว็บไซด์ต่างๆ
คงจะสังเกตเห็นว่าความเกลียดชังที่คนไทยมีต่อคนต่างเชื้อชาติต่างศาสนา
ได้พุ่งสูงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ดังปรากฎว่าได้เกิดการโจมตีเหยียดหยามหลักคำสอน, ศาสดา, ศาสนา
และอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของคนบางกลุ่มขึ้นอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
น่าสนใจว่าการโจมตีเหล่านี้
ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่คนกลุ่มซึ่งมีความแตกต่าง ทางเชื้อชาติ และศาสนา
แต่เพียงอย่างเดียว หากแม้แต่คนที่มีคุณสมบัติครบถ้วนทุกประการของความเป็นคนไทย ก็ยังมีโอกาสจะตกเป็นเหยื่อของการโจมตีเหล่านี้ได้ด้วย ถ้าได้แสดงความเห็นท้วงติงความเกลียดชัง
ระหว่างเชื้อชาติ และศาสนา เอาไว้ให้เห็นอย่างชัดเจน
อ.จอน
อึ๊งภากรณ์ หนึ่งในวุฒิสมาชิกอิสระ
ที่มีบทบาทน่ายกย่องที่สุดในรัฐสภาชุดปัจจุบัน ให้ความเห็นเอาไว้สั้นๆ ทว่ากินใจความว่า
ไม่มีรัฐบาลไหนสร้างการแบ่งแยกในหมู่คนไทยได้เท่ารัฐบาลนี้ แต่ก็ไม่มีที่ไหนในโลกอีกเช่นกัน
ที่ลำพังรัฐบาลจะมีสมรรถภาพมากพอ จะทำให้เกิดสถานการณ์ อันอาจนำไปสู่
สงครามระหว่างชาติพันธุ์
ขณะที่ฝ่ายเสรีนิยมในวุฒิสภาเห็นว่า
รัฐบาลคือสาเหตุของความเกลียดชังเหล่านี้ ฝ่ายทหารและหน่วยข่าวกรองกลับเห็นว่าการแบ่งแยกในชาตินั้น เกิดจาก จอมบงการ ผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ไม่สงบรายวัน
จึงนำไปสู่ปฏิบัติการไล่ล่าจอมบงการโดยวิธีการต่างๆ อย่างกว้างขวาง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จในการเปิดโปง
จอมบงการ แม้แต่ครั้งเดียว
น่าสังเกตว่าผู้ถูกสงสัยว่าคือ
จอมบงการ ล้วนเป็นบุคคลซึ่งเป็นที่นับถือของคนเชื้อสายมลายูมุสลิม จนกล่าวได้ว่า ผู้นำทางการเมืองและศีลธรรม
ของคนมลายูมุสลิม ล้วนเผชิญประสบการณ์กล่าวหา, จับกุม, อุ้มฆ่า,
ประทุษร้าย ฯลฯ มาแล้วทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ส.ส., ส.ว., โต๊ะครู,
ปอเนาะ, ด๊อกเตอร์วัน, พ่อเฒ่าอายุ 65 หรือแม้แต่เด็กนักเรียนอายุ
18 ปี
ถ้าครึ่งหนึ่งของคนที่ถูกกล่าวหานั้นเป็นจอมบงการจริง ความไม่สงบในภาคใต้ก็คงเบาบางกว่านี้ไปมาก
แต่มองในทางกลับกัน
ถ้าเพียงแค่ร้อยละสิบของผู้ที่ถูกกล่าวหานั้น เป็นผู้บริสุทธิ์ ก็น่าคิดเหมือนกันว่า ทฤษฎีจอมบงการ จะทำให้สถานการณ์ภาคใต้เลวร้ายลงไปเพียงใด
นักวิชาการ
160 คน ไม่ได้ตอบคำถามว่า การแบ่งแยกและเกลียดชังระหว่างคนไทยเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ให้ความเห็นว่า รัฐบาลทำให้ความเกลียดชังในชาติรุนแรงขึ้น
รวมทั้งกระตุ้นให้การแบ่งแยกดินแดนขยายตัวขึ้นด้วย ทำให้ต้องเจรจาให้รัฐบาลอ่อนน้อมถ่อนตน
และมีท่าทีนุ่มนวลขึ้น จึงจำเป็นที่นายกรัฐมนตรีต้องออกมาขอโทษประชาชน
ข้อเรียกร้องเชิงการเมืองแบบนี้น่าสนใจ เพระทำให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย มีโอกาสแสดงบทบาททางการเมืองต่อมาได้อีกมาก แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เข้าใจสาเหตุของความเกลียดชังในชาติได้มากนัก
ซ้ำยังสุ่มเสี่ยง ที่จะทำให้การเสียชีวิตของพลเรือนหลายร้อยคนโดยปราศจากหลักฐาน
กลายเป็นเรื่องที่มีสถานะเท่ากับการขยับริมฝีปากของนายกรัฐมนตรีเพียง
1 นาที
จริงอยู่ว่าความเกลียดชังระหว่างผู้คนนั้นเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ไม่ง่าย
แต่หากพิจารณาข้อเท็จจริงว่ามีคนมุสลิมเสียชีวิตในกรณีตากใบ 84 ราย ซ้ำยังตายจากการอุ้มฆ่าและไล่ล่าโดยปราศจากหลักฐานอีกมาก ขณะที่มีเจ้าหน้าที่ และพลเรือน เสียชีวิตจากการลอบฆ่ารายวันอยู่มากด้วยเช่นกัน ก็ถือว่า ความเคลื่อนไหวของความตายเหล่านี้
เป็นดัชนีชี้วัดระดับความเกลียดชังระหว่างผู้คนในชาติได้พอสมควร
เราจะทำความเข้าใจความเกลียดชังอย่างรุนแรง ที่ขยายตัวขึ้นในเวลาอันรวดเร็วนี้
ว่าอย่างไรดี?
อันดับแรกสุด ความเกลียดชังไม่ได้เกิดขึ้นโดยปราศจากสาเหตุ แต่ความเกลียดชังเป็นผลผลิตของความรับรู้ที่เรามีต่อโลกจริงในบางลักษณะ
ซึ่งหากพูดให้ถึงที่สุดแล้ว
ความรับรู้ก็สัมพันธ์กับโครงสร้างความรู้สึก และ ระบบการให้ความหมายต่อข้อมูลข่าวสารที่ไหลเวียนอยู่ในสังคม
บทความของ คุณกวี จงกิจถาวร ในหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น ประจำวันที่ 8
พฤศจิกายน เปิดเผยรัฐบาลแทรกแซงและควบคุม ข่าวสาร ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับกรณีตากใบ
ไม่ว่าจะเป็นการเรียกเก็บภาพเหตุการณ์ที่สถานีโทรทัศน์ต่างๆ บันทึกไว้
รวมทั้งสั่งห้ามไม่ให้เผยแพร่ภาพถ่ายที่แสดง ความจริง ว่าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจงใจใช้อาวุธปืนยิงใส่ผู้ชุมนุม
อันที่จริง
ควรระบุด้วยว่า นับตั้งแต่เกิดเหตุไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ควบคุมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์ทั้งหมดอย่างต่อเนื่อง
ทำให้สื่อนำเสนอภาพข่าวและคำอธิบายตามที่รัฐป้อนให้ นั่นก็คือคนมุสลิมภาคใต้เป็นพวกหัวรุนแรง
ฆ่าพระ ฆ่าคนแก่ ติดยาเสพติด คลั่งศาสนา ฝักใฝ่การก่อการร้าย
มีแผนก่อการจลาจล รวมทั้งมุ่งหวังแบ่งแยกดินแดน
ด้วยการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาลและสื่อดังนี้ สังคมไทยทั้งหมด จึงมองปัญหาภาคใต้ ภายใต้ข้อมูลและคำอธิบายที่รัฐผูกขาดอย่างเต็มที่
จนสูญเสียสติปัญญาและวิจารญาณในการตั้งคำถามง่ายๆ เช่น ถ้าผู้ชุมนุมที่ตากใบมีอาวุธสงคราม
ทำไมไม่มีเจ้าหน้าที่บาดเจ็บแม้แต่รายเดียว
วุฒิสมาชิก
ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ตั้งถามคำถามได้สนุกกว่านี้ เพราะเมื่อแม่ทัพภาค 4 ชี้แจงต่อวุฒิสภาว่าผู้ชุมนุมที่ตากใบซุกซ่อนอาวุธสงครามเอาไว้ ไกรศักดิ์ได้ถามกลับไปว่าคนเหล่านั้นซุกปืนเอ็ม
16 , เอชเค และปืนไร้แรงสะท้อน ไว้ในโสร่งหรืออย่างไร
อันดับที่สอง
ความเกลียดชังแบบนี้
เกิดขึ้นในช่วงของรัฐบาลที่มีเสียงข้างมากในสภา
อย่างไม่เคยมีมาก่อน จึงเป็นรัฐบาล ที่เป็นภาพสะท้อนความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวทางการเมือง
ในหมู่ประชาชนในระดับที่รุนแรงอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเปรียบเทียบกับรัฐบาล
ที่มาจากการเลือกตั้งในช่วงหลังปี 2531 เป็นต้นมา
แน่นอนว่าความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวอย่างรุนแรงนั้น
เป็นผลผลิตของเงื่อนไขหลายข้อ เช่นการโฆษณาชวนเชื่ออยู่เป็นนิจ นโยบายประชานิยม การจูงใจและปลุกปั่นความเห็นสาธารณะ ฯลฯ
แต่หนึ่งในปัจจัยที่มีความสำคัญที่สุด ก็คือ สภาวะที่อัตลักษณ์รวมหมู่แบบชาตินิยมเชิงชาติพันธุ์
(ethno-nationalism) เติบโตทางการเมืองอย่างสูงสุดในปัจจุบัน
นับตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจปี
2540 เป็นต้นมา ได้เกิดปรากฎการณ์ทางวัฒนธรรมหลายอย่าง ที่แสดงให้เห็นการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ความเป็นชาติ
ในกำกับของสมมติทัศน์ทางสัง-
คม (social imaginary) แบบโลกาภิวัตน์ ตัวอย่างเช่น
สุริโยทัย ที่ประดิษฐ์สร้างอดีตเพื่อตอกย้ำความสำคัญของชาติ หรือ บางระจัน ที่อธิบายความเป็นไทยในแง่มุมของ
ชีวะอำนาจ (bio-power) ว่าด้วยการสละชีวิตของประชาชน
ปฏิพากย์
(interplay) ระหว่างความเป็นชาติ และความเป็นไทย
เป็นเรื่องเยิ่นเย้อเกินกว่าจะกล่าวในที่นี้ แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
คือ อัตลักษณ์ แบบที่ผูกชาติกับเชื้อชาติแน่นแฟ้นกว่าที่ผ่านมา
ในทางการเมืองนั้น
บรรยากาศแบบนี้กระตุ้นให้เกิดการต่อสู้เคลื่อนไหว ที่อิงแอบกับความเป็นชาติ
จึงปรากฎการโจมตีรัฐบาลในอดีตว่าขายชาติ ขณะที่อีกฝ่ายก็นำเสนอตัวเองว่าเป็น
ไทย รัก ไทย ซึ่งแสดงให้เห็นโลกทัศน์ว่า
ความเป็นไทย คือคำตอบของความเป็นชาติ ส่วนการเกิดรัฐบาลชุดปัจจุบัน
ก็เป็นหลักฐานว่า สมการทางอัตลักษณ์ข้อนี้ได้เดินทางมาถึงจุดสูงสุดทางการเมือง
คนไทยหรือเปล่า เป็นคำถามยอดนิยม ของสภาวะลุ่มหลงความเป็นไทยเช่นนี้ และโดยตัวคำถามนี้ก็เผยให้เห็นความมืดบอด
ต่อการมีอยู่ของความ ไม่ไทย ซึ่งนำไปสู่ชาตินิยมเชิงชาติพันธุ์
อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
มักเข้าใจว่าอิสลามคือปฐมเหตุแห่งความเกลียดชังที่
คนไทย มีต่อผู้คนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
แต่แท้จริงแล้ว
ความเป็นอิสลามไม่ได้เป็นปัญหาต่อสังคมไทยในแง่ไหนทั้งนั้น ยกเว้นแต่จะคิดถึงอิสลาม ในฐานะอัตลักษณ์ทางศาสนาของคนชาติพันธุ์มลายู
จึงกล่าวได้ว่าความเป็นมลายูต่างหาก ที่เป็นปฐมเหตุของความเกลียดชังข้อนี้
เพราะเมื่อเป็นมลายู ก็เท่ากับ เป็นอื่น ถึงขั้นที่ไม่มีทางทำให้เป็นไทย
ชาตินิยมเชิงชาติพันธุ์และข้อมูลข่าวสารเป็นตัวอย่างของมูลเหตุที่ทำให้
คนไทย เกลียดชังผู้คนร่วมประเทศในระดับไร้สติอย่างในปัจจุบัน และหากคิดใคร่ครวญต่อไป ก็คงค้นพบมูลเหตุของสภาวะเช่นนี้อีกมาก
ไม่ว่าจะเป็นกระแสโลก
ผลพวงจากการครอบงำทางอุดมการของอเมริกา ฯลฯ
แน่นอนว่าทุรวาจาของนายกรัฐมนตรีมีส่วนให้คนในชาติแบ่งแยกกันรุนแรงขึ้น
แต่ลำพังปากและหัวคิดของนายกนั้นเล็กเกินกว่าจะสร้างผลเลวร้ายได้ถึงขั้นนี้
การเรียกร้องให้ขอโทษจึงเป็นมาตรการที่ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น นอกจากทำให้ทุกฝ่ายเป็นข่าวมากขึ้น
เพราะความเกลียดชังในชาติในขณะนี้ ได้หยั่งลึกเกินกว่าจะแก้ด้วยมธุรสวาจาเพียงประโยคเดียว
ถึงที่สุดแล้ว
ประเด็นที่ควรเป็นจุดเริ่มต้น ในการพิจารณาปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็คือ การตระหนักถึงสถานการณ์ ที่คนต่างเชื้อชาติ
ต่างศาสนา ได้เสียชีวิตไปในระดับหลายร้อยคน โดยเฉพาะในกรณีตากใบกรณีเดียว ก็มีผู้เสียชีวิตมากกว่าจำนวน
คนไทย ที่ตายไปในการเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยครั้งสำคัญๆ
ในวันที่
14 ตุลาคม 2516 ความตายของผู้คน
70 คน ทำให้เกิดแรงเหวี่ยงทางการเมืองที่มีอิทธิพลไม่น้อยกว่า 3 ปี ส่วนความตายของคน 41 ราย ในวันที่ 6 ตุลาคม
2519 ก็นำไปสู่การขยายตัวของสงครามจรยุทธในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน
ขณะที่เหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535
ก็เป็นปัจจัยสำคัญของการปฏิรูปการเมือง และรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
ณ
บัดนี้ ความตายของ 84 ศพ ที่ตากใบ รวมทั้งอีกหลายร้อยศพของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ได้พัดพาความรู้สึกนึกคิด และจินตนาการทุกอย่าง
เกี่ยวกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มาสู่จุดที่ยากจะเยียวยาได้ จึงถึงเวลาแล้ว
ที่จะต้องเผชิญความจริงว่า เรากำลังอยู่ในสภาวะการณ์ ที่ต้องคิดถึงรัฐประชาชาติไทย
ในบริบทของการมีอยู่ของชาติพันธุ์มลายูให้มากขึ้น ไม่ใช่รัฐประชาชาติของคนเชื้อชาติไทยล้วนๆ
อีกต่อไป
ศิโรตม์
คล้ามไพบูลย์
|